ตอนที่ 15 ชายแปลกหน้าที่คุ้นเคย
วัดร้างอยู่ไม่ไกลจากโรงเตี๊ยมเพียงใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ ก็มาถึงทางขึ้นเพื่อไปยังวัดที่อยู่บนเนินเขา พวกนางให้คนขับรถม้ารออยู่ด้านล่าง ซึ่งเขาก็ไม่ได้ติดขัดอะไรเพราะบริเวณใกล้ ๆ นี้ก็ยังมีโรงเตี๊ยม และโรงพักม้าให้เขาได้ไปจิบน้ำชาและพาม้าไปกินหญ้าได้
“เหตุใดจึงมีเนินเขาอยู่บริเวณกำแพงเมืองเช่นนี้กัน หากว่ามีคนปีนกำแพงขึ้นมา หรือมีการลักลอบออกจากเมืองทางด้านนี้ จะป้องกันได้ทันท่วงทีหรือ” อู๋เสี่ยวหรันถามสิ่งที่สงสัยออกไประหว่างที่เดินขึ้นไปบนเนินนั้น
“ที่ตรงนี้มีมานานแล้วเจ้าค่ะ เอ่อ ขอรับ ตั้งแต่จำความได้ตรงนี้ก็มีเนินและมีวัดอยู่ซึ่งร้างมานาน ข้าเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดไม่ทำลายหรือปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่ราบเหมือนกับส่วนอื่น ๆ แต่มีคนเล่าลือกันว่าด้านหลังวัดร้างมีปีศาจสิงสถิตอยู่ ไม่มีใครกล้าเข้าออกทางด้านหลัง และหากจะมองจากด้านนอกกำแพงเมือง ตรงนี้ก็ไม่สามารถปีนขึ้นมาได้เช่นกันขอรับ”
ระหว่างที่อู๋เสี่ยวหรันฟังข้อมูลที่เหลียนฮวาเล่ามา นางก็มองบรรยากาศรอบ ๆ ไปด้วย เนินนี้มีป่าค่อนข้างรก บดบังสายตาจากภายนอกได้ดี การปล่อยข่าวว่ามีปีศาจร้ายอยู่ด้านหลัง ก็ทำให้คนทั่วไปที่ขวัญอ่อนไม่กล้าเข้ามาลองดี หากเข้าใจไม่ผิดด้านหลังวัดร้างยังสามารถเข้าออกได้ด้วย สถานที่แห่งนี้เหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้เป็นฐานลับ
ในที่สุดพวกนางก็เดินขึ้นมาถึงซุ้มประตูที่เป็นซากปรักหักพัง ดูก็รู้ว่าไม่ได้ถูกดูแลมานานมาก เสาที่ทำมาจากหินแกะสลักเป็นลวดลายสวยงาม ก็พอจะเดาได้ถึงความใหญ่โตในอดีต แต่ก็ถูกบดบังด้วยตะไคร่สีเขียว ด้านในเป็นโครงสร้างของอาคารเหมือนกับวัดทั่วไป แต่ว่าตามประตูหน้าต่างและหลังคากลับมีรอยแตกหัก
หลังจากมองเห็นโครงสร้างอาคาร ก็เริ่มเห็นมีคนใช้ชีวิตอยู่ในนี้ มีทั้งเด็กมีทั้งวัยผู้ใหญ่และมีคนชรา พวกเขามีใบหน้าที่อมทุกข์ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่มองไม่ออกแล้วว่าสีเดิมนั้นเป็นสีอะไร
เหลียนฮวาเห็นว่านางชะงักไปและมองไปรอบ ๆ ก็คิดว่าพระชายาอาจจะเกิดความกลัวขึ้นมา
“คุณชายท่านไหวหรือไม่ขอรับ”
“ข้าไม่เป็นไร” อู๋เสี่ยวหรันต่อไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงอาการหวาดกลัวรังเกียจเวทนาใด ๆ ทั้งสิ้น นั้นก็ทำให้เหลียนฮวาวางใจขึ้นมาได้ระดับหนึ่ง
“ท่านหมอช่วยมาดูท่านแม่ของข้าด้วยขอรับท่านแม่อาเจียนออกมาเป็นเลือด!” เด็กหนุ่มคนหนึ่งร้องตะโกนน้ำเสียงดูร้อนรนและติดสะอื้นไห้ เขาวิ่งออกมาจากอาคารทางด้านขวาและเขาวิ่งไปทางด้านซ้าย
จากนั้นก็เห็นเด็กหนุ่มคนนั้นกึ่งลากกึ่งจูงชายผู้หนึ่งที่มีอายุประมาณสี่สิบปีหนวดเครารุงรังสะพายย่ามเอาไว้ ผ่านหน้าพวกนางกลับไปทางเดิม คาดว่าคนที่ถูกดึงลากมานั้นน่าจะเป็นหมอพเนจร
“ตามไปดู” อู๋เสี่ยวหรันพูดจบนางก็เดินตามหลังเด็กหนุ่ม โดยมีเหลียนฮวาตามนางไปติด ๆ
ระหว่างที่พวกนางทั้งสองเดินไปนั้น เหล่าคนเร่ร่อนที่อยู่ภายในก็มองตามหลังไปด้วยสายตาสงสัย แต่ก็ไม่ได้มีใครห้ามปรามหรือเข้ามายุ่มย่าม
ทางที่เดินผ่านไปพาพวกเขาทะลุออกไปด้านหลังอาคารแรก ที่ตรงนั้นมีเพิงหมาแหงนที่สร้างไว้ชั่วคราวแบบลวก ๆ ใช้เศษไม้เศษใบไม้ขึ้นมามุงเป็นหลังคาและกำแพง
เด็กหนุ่มดึงตัวท่านหมอเข้าไปด้านในตรงนั้นไม่มีประตูกั้น พวกนางจึงยังเห็นว่าด้านในมีคนนอนแน่นิ่งอยู่ไม่ขยับเคลื่อนไหว เสื้อผ้าของนางเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดง
หมอที่เห็นดังนั้นเขาก็รีบไปจับชีพจรอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เปิดย่ามล้วงเอาห่อผ้าขึ้นมา สิ่งที่เขาหยิบขึ้นมานั่นคือเข็มขนาดยาวมากกว่าเข็มเย็บผ้าทั่วไป เขาค่อย ๆ ฝังมันลงไปตามหน้าอกของหญิงคนนั้นอย่างแม่นยำและดูไม่ได้ลังเล เขาใช้เวลานานทีเดียวจนกระทั่งเก็บเข็มสุดท้ายกลับเข้าไปที่ห่อผ้า
หลังจากนั้นก็พูดคุยบางอย่างกับเด็กหนุ่ม และล้วงเอาห่อใบไม้ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นห่อยาให้กับเด็กหนุ่มไป เด็กหนุ่มนั่งลงคุกเข่ากอดห่อใบไม้นั้นและโขกหัวตรงหน้าหมอพเนจร ที่เพิ่งจะช่วยยื้อชีวิตมารดาเขาไว้
หมอคนนั้นเดินออกมาจากเพิง ก็ได้พบกับอู๋เสี่ยวหรันและเหลียนฮวาที่ดักรออยู่ เขาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกนาง เงยหน้ามองเล็กน้อยและพูดว่า
“ข้าไม่รักษาพวกท่านเห็นหรือไม่ว่าที่นี่มีแต่คนเจ็บป่วย พวกท่านมีเงินมีทองก็ไปหาจ้างหมอดี ๆ เถิด”
เหลียนฮวาทำท่ากำลังจะพูดบางอย่าง แต่นางถูกอู๋เสี่ยวหรันดึงตัวเอาไว้เสียก่อน
“ท่านช่างเป็นหมอที่มีน้ำใจงามจริง ๆ และท่านก็เข้าใจถูกต้องแล้วว่าข้าคุณชายผู้นี้มีเงินทองมากพอที่จะจ้างหมอดี ๆ สักคนมารักษา แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าพิษในตัวข้า ไม่มีหมอคนใดรักษามันได้ นอกจากผู้ที่เป็นศิษย์ของฮั่วท้อเซียนซือเท่านั้น”
“คุณชายท่านนี้อย่าได้มาหลอกข้าเสียให้ยาก ฮั่วท้อเซียนซือหากใครได้เคยมาคุยกับข้าก็บอกไปเช่นนั้นเหมือนกันทั้งหมด”
“เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ท่านหมอ หากท่านลองจับชีพจรให้ข้าสักครั้ง และท่านวิเคราะห์ถูกว่าข้าเป็นอะไรรวมถึงช่วยรักษาข้า และไม่ว่าท่านจะรักษาได้หรือไม่ คนทั้งหมดที่อยู่ในวัดร้างแห่งนี้ ข้าจะดูแลอุปถัมภ์พวกเขา ให้มีงานทำให้มีที่พักพิงให้มีข้าวกินอิ่มทุกมื้อ แพทย์ย่อมมีจิตใจเมตตาดุจบิดามารดาข้าเชื่อว่าท่านคงอยากเห็นพวกเขามีชีวิตที่ดีแน่นอน”
“ท่าน…. ท่านเป็นใครกันถึงได้รับปากว่าจะดูแลคนถึงครึ่งร้อยในนี้ได้” หมอผู้นั้นมองอู๋เสี่ยวหรันตั้งแต่หัวจรดเท้า โดยใช้สายตาที่ไม่มีความเชื่อถือเลยสักนิด
ครั้งนี้เหลียนฮวาเดินหน้าขึ้นมาบดบังสายตาเขาและพูดว่า
“เจ้านายข้าสามารถเลี้ยงคนได้ทั้งเมือง รับรองพวกเราไม่มีทางหลอกลวงท่าน”
หมอเคราแพะทำสีหน้าครุ่นคิดสักครู่จากนั้นเขาจึงบอกว่า “พวกท่านตามข้ามา”
หมอพเนจรออกเดินนำหน้าไปทางด้านหลังของวัด อู๋เสี่ยวหรันและเหลียนฮวาหันมองหน้าและสบตากัน จากนั้นจึงเดินตามเขาไปทั้งหมดหยุดลงที่โต๊ะตัวหนึ่ง ที่ทำมาจากหินแกะสลักใต้ต้นโพธิ์สูงใหญ่ หมอพเนจรนั่งลงและส่งสายตาเป็นสัญญาณให้อู๋เสี่ยวหรันนั่งตรงกันข้ามกับเขา
ตอนนี้อู๋เสี่ยวหรันรู้แล้วว่าหมอยินดีที่จะตรวจชีพจรให้กับนาง จึงเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามเขาและยื่นแขนออกมาวางตรงกลางโต๊ะแต่โดยดี
“ข้าควรเรียกท่านว่าอะไรดี”
“เรียกหมอพเนจรเหมือนคนอื่น ๆ ก็ได้” หมอพเนจรตอบนางและใช้สองนิ้ววางทาบทับลงไปบนข้อมือ ตรงเส้นชีพจรที่กำลังเต้นอยู่
หลังจากที่เขาวางนิ้วลงไปชั่วอึดใจเขาก็ทำสีหน้าตกตะลึงเงยหน้าขึ้นมามองสบตากับอู๋เสี่ยวหรันทันที เมื่อเห็นว่าหญิงสาวอมยิ้มกลับมาเขาก็ก้มหน้าลงและวิเคราะห์ชีพจรของนางต่อ เพื่อความแน่ใจเขาขอจับชีพจรนางจากทั้งสองข้าง
หลังจากเก็บมือกลับมาแล้วหมอพเนจรเงียบไปพักใหญ่ เขานั่งนิ่ง ๆ ไม่พูดจาหรือวิเคราะห์สิ่งใดออกมา แต่เขากลับหันไปมองเหลียนฮวาแทน
“ท่านนี้ก็คงเป็นแม่นางเหมือนกันสินะ”
ท่าทางของเหลียนฮวาและอู๋เสี่ยวหรันไม่ได้แปลกใจเลยสักนิด เพราะหากว่าหมอพเนจรผู้นี้มีความสามารถจริง เพียงแค่จับชีพจรดูเขาก็ต้องรู้แล้วว่า ท่านชายตรงหน้าแท้จริงแล้วเป็นผู้หญิง
“ถูกต้องเจ้าค่ะท่านหมอ”
หมอพเนจรได้ฟังก็ถอนหายใจออกมาจากนั้นก็หันไปมองหน้าของอู๋เสี่ยวหรัน “คุณชายพิษของท่านมันเข้าไปอยู่ทุก ๆ ส่วนในร่างกายทั้งหมดแล้ว ไม่เว้นแม้แต่กระดูก มีหลายชนิดเสียด้วยแต่โชคยังดีที่พิษของตะกั่วมันได้ถูกหยุดไว้ก่อน หากท่านรับมานานอีกสักหน่อยข้าคงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว”
ฟังประโยคที่เขาบอกคล้ายว่าร่างกายของนางนั้นเกินเยียวยาเสียแล้ว แต่เมื่อฟังถึงประโยคสุดท้าย คนฟังก็เริ่มมีความหวังขึ้นมาแล้ว
“จริงหรือเจ้าคะท่านหมอท่านช่วยพระชา เอ่อ นายท่านของข้าได้จริง ๆ ใช่ไหมเจ้าคะ”
“ในเมื่อท่านรับปากแล้วว่าจะช่วยทุกคนที่นี่ ข้าเองก็ไม่ขอปฏิเสธที่จะช่วยเหลือท่าน เพียงแต่ขั้นตอนมันอาจจะยุ่งยากไปสักหน่อย ขอเวลาให้ข้าได้จัดเตรียมตัวยาและสมุนไพรให้ครบถ้วนก่อน”
อู๋เสี่ยวหรันได้ฟังก็รู้สึกว่าชีวิตนี้เริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้างแล้ว
“ท่านหมอต้องการตัวยาอะไรบ้างหรือสมุนไพรอะไรบอกข้าได้เลยนะขอรับ ที่จวนของพวกเรามีสมุนไพรให้เลือกมากมาย ข้าคิดว่าครึ่งหนึ่งของแคว้นนี้พวกเราน่าจะมีมันทั้งหมด ตัวข้าเองก็พอจะศึกษาวิชาแพทย์อยู่เล็กน้อยอาจจะพอช่วยท่านได้”
หมอพเนจรได้ฟังที่เหลียนฮวาพูด เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและหันมองหน้าอู๋เสี่ยวหรันอีกครั้ง “พวกท่านเป็นใครกันแน่ทำไมถึงมีสมุนไพรมากมายขนาดนั้น”
“พวกเราแค่เป็นคนที่มีฐานะพอมีพอกินเจ้าค่ะ อย่าได้ฟังที่สาวใช้ของข้าพูดเกินความจริงเลย นางเพียงอยากจะช่วยให้ข้าหายเร็ว ๆ ก็เท่านั้น” พูดจบนางก็หันไปหาเหลียนฮวา “เจ้าอยู่คุยเรื่องสิ่งที่ต้องการกับท่านหมอ ข้าจะไปดูรอบ ๆ”
“ไปคนเดียวไม่ได้เจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร”
“ก็ได้เจ้าค่ะแต่อย่าออกไปนอกเขตวัดนะเจ้าคะ”
เหลียนฮวาต้องยอมจำนนต่อสายตาที่ห้ามขัดของพระชายา ตามจริงแล้วทั้งคู่รู้ดีอยู่แล้วว่าตอนนี้องครักษ์เงาได้เฝ้าอยู่รอบ ๆ วัดร้างแห่งนี้ไว้ทุกด้านจึงไม่กังวลมากนัก
วัดร้างแห่งนี้มีบริเวณที่กว้างมากพอให้คนครึ่งร้อยอยู่ภายในนี้แบบไม่อึดอัดได้ ไม่น่าเชื่อว่าสถานที่เช่นนี้และยังอยู่ในเขตเมืองหลวง มันจะถูกปล่อยเอาไว้ เรื่องนี้ไม่ปกติเอาเสียเลย
อู๋เสี่ยวหรันเดินมาสักพัก นางก็ได้เห็นครอบครัวหนึ่ง ที่นางสังเกตเห็นครอบครัวนี้ได้ นั่นก็เพราะว่าเด็กทารกในห่อผ้ากำลังร้องไห้อยู่ เสียงนั้นค่อนข้างจะแหบแห้ง เหมือนกับว่าเสียงของเขานั้นใกล้จะหมดไปเต็มที
พวกเขาสร้างเพิงพักเล็ก ๆ อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ และอยู่ห่างจากครอบครัวอื่น ๆ มากพอสมควร ประกอบด้วยพ่อแม่และลูกที่ยังเป็นเด็กทารกอยู่ในห่อผ้า นางเดินเข้าไปใกล้อีกนิดเผื่อให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น
นางถึงได้เห็นว่าในมือของคนพ่อนั้นถือถ้วยเก่าที่มีรอยแตกอยู่ คนแม่กำลังพยายามใช้ช้อนเล็ก ๆ หยอดของเหลวบางอย่างลงไปในปากของทารก “ทำอย่างไรดีเขาไม่ยอมกลืนน้ำข้าวนี่เลยท่านพี่”
“คนแซ่จางที่อยู่ด้านโน้นนางก็ไม่ยอมให้ลูกเรากินน้ำนม บอกว่าเราต้องมีเงินให้นางก่อนไม่อย่างนั้นก็จะไม่ยอมแบ่งน้ำนมส่วนที่ลูกนางจะต้องกินอิ่มให้ลูกเราเปล่า ๆ ได้”
“ท่านพี่อย่าได้โมโหไปเจ้าค่ะ พวกเราที่อยู่ในนี้ล้วนแล้วแต่ลำบากด้วยกันทั้งสิ้น เห็นนางบอกว่าจะกลับไปบ้านเก่า แต่ไม่มีเงินสำหรับเดินทาง นางจะเห็นแก่เงินบ้างก็ไม่แปลกอะไร”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้ากินน้ำต้มข้าวนี่ก่อนจะได้มีน้ำนมให้ลูก”
ภาพที่เห็นคือภาพที่สามียกถ้วยแตก ๆ ใบนั้นป้อนให้ภรรยาเขากิน แม้ว่าตัวของเขาจะแอบกลืนน้ำลายด้วยความหิวอยู่ก็ตาม
อู๋เสี่ยวหรันนางแอบมองอยู่ในที่ลับตา ภาพเบื้องหน้าทำให้นางย้อนไปถึงวันเก่า ๆ เมื่อชาติที่แล้ว