ตอนที่ 13 ลักลอบออกจากตำหนัก
เฉิงอ๋องก็เริ่มกินแล้วเช่นกัน จากนั้นก็แทบไม่มีเสียงสนทนาใด ๆ อีก เมื่อกินอาหารคาวไปแล้ว อู๋เสี่ยวหรันเรียกให้สาวใช้นำรังนกต้มน้ำตาลที่ใส่พุทราเชื่อมและเม็ดบัวลงไปด้วย เพราะนางรู้ว่าเฉิงอ๋องชอบกินของหวานชนิดนี้จากความทรงจำของอู๋เสี่ยวหรัน
“อืม วันนี้รังนกอร่อยมาก”
“ท่านชอบก็ดีแล้วเจ้าค่ะ ข้าตุ๋นเองเลยนะถึงจะเสียไปบ้างก็เถอะ...คิก คิก”
อู๋เสี่ยวหรันนางทำเตรียมไว้ตั้งแต่กลางวันเพื่อเอาใจเขาโดยเฉพาะ แม้ว่าคืนนี้เขาไม่มานางก็จะนำไปส่งให้ด้วยตนเอง
“ทำดีกับข้าเช่นนี้หรันเอ๋อร์ต้องการสิ่งใดหรือ” เขาถามอย่างรู้ใจนาง
“ไม่มีทางปิดท่านได้เลยนะเจ้าคะ ข้ามีเรื่องที่ต้องการจริง ๆ เจ้าค่ะ คือข้าอยากจะขอฝึกร่างกายให้แข็งแรง จึงอยากให้ท่านอนุญาตเจ้าค่ะ”
“ได้สิ แต่อย่าฝืนร่างกายเด็ดขาด ให้พวกเหมยฮวากับคนอื่น ๆ ช่วยเจ้าก็ได้ พวกนางถนัดเรื่องการฝึกฝนร่างกายอยู่แล้ว”
“ขอบคุณพี่เสวี่ยเยวียนมากเจ้าค่ะ” อู๋เสี่ยวหรันยิ้มให้เขาอีกครั้ง
สาวใช้เดินเข้ามาแล้วกล่าวรายงานเบา ๆ สีหน้าของนางดูไม่พอใจและยุ่งยากใจเป็นอย่างยิ่ง
“ทูลท่านอ๋อง ทูลพระชายา อนุซ่งนำของหวานมาเพคะ”
หลังจากได้ยินสาวใช้รายงานจบ สีหน้าของเฉิงอ๋องดูดำทะมึนขึ้นเล็กน้อย แต่เขาก็ก้มลงตักรังนกในถ้วยขึ้นมากินต่อโดยไม่สนใจ
อู๋เสี่ยวหรันเห็นดังนั้นจึงเป็นผู้ออกปากแทน
“ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน”
“อนุซ่งทราบว่าท่านอ๋องอยู่ด้วยจึงได้ฝากตะกร้าไว้และกลับไปที่เรือนแล้วเพคะ”
“เช่นนั้นก็ยกตะกร้าเข้ามาดูว่านางทำสิ่งใดมา”
สาวใช้ยกตะกร้าส่งให้กับเหมยฮวา จากนั้นเหมยฮวาหยิบออกมาวางที่โต๊ะใช้เข็มเงินทดสอบพิษ ซึ่งสีของเข็มไม่ได้เปลี่ยนแปลง ก่อนจะส่งให้เจ้านาย
“เป็นขนมทังหยวนในน้ำขิงยังอุ่นร้อนอยู่ น่าจะเพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ เพคะ”
“นางช่างรู้ใจท่านเหลือเกินเจ้าค่ะพี่เสวี่ยเยวียน ข้าจำได้ว่าขนมชนิดนี้ท่านเองก็ชอบกินเช่นกัน”
อู๋เสี่ยวหรันยังคงอมยิ้มเช่นเดิม แต่เฉิงอ๋องก็เพียงเหลือบมองเล็กน้อยแต่ไม่ได้กล่าวอะไร นางจึงหันไปหาเหมยฮวา
“ตักมาเถิดข้าอยากลองชิมสักหน่อย ตักให้ท่านอ๋องชิมด้วย”
เมื่อได้รับถ้วยทังหยวนอุ่น ๆ มาแล้ว อู๋เสี่ยวหรันดมเล็กน้อยก่อนจะจิบน้ำขิงคำเล็ก ๆ ตามความเคยชินและสัญชาตญาณที่อยู่ในสนามรบมานาน นางต้องทำเช่นนี้ทุกครั้งก่อนกินสิ่งใดก็ตาม เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีสิ่งแปลกปลอมจึงกินคำใหญ่ตาม
“อืม...รสชาติดีใช้ได้เลย พี่เสวี่ยเยวียนท่านลองชิมสักคำสิเจ้าคะ”
“เจ้าชอบก็ดีแล้วเก็บไว้กินเถิด ข้ายังมีงานค้างอยู่” พูดจบเขาก็หันไปสั่งเหมยฮวา “ตกรางวัลให้อนุซ่งด้วย”
“เพคะท่านอ๋อง”
อู๋เสี่ยวหรันเห็นว่าเขากำลังจะลุกขึ้นแล้ว นางจึงวางช้อนในมือเดินตามไปส่งเขาที่หน้าประตูดังเช่นทุกครั้ง
เมื่อกลับเข้ามายังห้องโถงที่นั่งกินมื้อค่ำเมื่อสักครู่ อู๋เสี่ยวหรันยังคงตักขนมทังหยวนขึ้นมากินต่ออีกสองสามคำ
“พระชายาท่านไม่กลัวว่าอนุซ่งจะเล่นลูกไม้กับขนมนี่หรือเจ้าคะ” เหลียนฮวาถาม
“นางไม่กล้าหรอกนางแค่อยากจะมีตัวตนในสายตาของท่านอ๋องบ้างก็เท่านั้น”
“เมื่อครู่ตอนที่ท่านออกไปส่งท่านอ๋อง ข้าเห็นคนจากตำหนักเยว่กวางและคนของเรือนอนุซ่ง แอบมองอยู่ที่หน้าตำหนักด้วยเจ้าค่ะ”
หวงหลานรายงาน ซึ่งจริง ๆ แล้วอู๋เสี่ยวหรันเองก็เห็นแล้วเช่นกัน แต่นางไม่รู้จักว่าทั้งสองเป็นคนของใคร
“มีคนของโจวเพ่ยเพ่ยด้วยหรือ โอ้ เรื่องนี้น่าสนุกแล้วสิ”
แล้วอู๋เสี่ยวหรันก็คิดบางอย่างออก
“ให้ใครสักคนไปทำให้คนของตำหนักเยว่กวาง ให้รู้โดยบังเอิญว่าท่านอ๋องตกรางวัลให้กับอนุซ่งอย่างงาม”
อู๋เสี่ยวหรันอมยิ้มและตักกินของหวานตรงหน้าต่อจนหมด และก็เป็นอย่างที่อู๋เสี่ยวหรันคาดเอาไว้จริง ๆ
“พระชายารองเจ้าคะ บ่าวเห็นอนุซ่งไปที่ตำหนักเจินจูด้วยเจ้าค่ะ นางร้ายกาจนัก นางรอเวลาที่ท่านอ๋องเข้าไปด้านในแล้วจึงตามไปเจ้าค่ะ”
สาวใช้ที่มีนามว่าจูจิ่นที่เป็นคนคอยสืบเรื่องราวต่าง ๆ มารายงานอย่างรวดเร็ว
“แล้วนางได้พบท่านอ๋องหรือไม่”
โจวเพ่ยเพ่ยถามออกไป ถึงแม้ว่าแผนการนี้นางจะเป็นคนยุยงอนุซ่งด้วยตนเอง แต่เมื่อเห็นว่าอนุซ่งพยายามเข้าหาท่านอ๋องมากเพียงไหน ตัวนางก็ยิ่งไม่พอใจเท่านั้น มือที่วางอยู่บนตักก็เผลอกำผ้าเช็ดหน้าไว้แน่น
“บ่าวคิดว่านางไม่ได้พบท่านอ๋องเจ้าค่ะ เพราะว่านางเข้าไปเพียงชั่วครู่ก็กลับออกมาแล้ว สีหน้าดูไม่ค่อยพอใจนัก แต่ข้าบังเอิญได้ยินสาวใช้ที่มีหน้าที่เก็บกวาดพูดว่า ท่านอ๋องทรงประทานรางวัลให้กับอนุซ่งอย่างงามด้วยเจ้าค่ะ เหตุผลเพราะว่านางทำขนมถังหยวนได้อร่อยถูกใจ”
จูจิ่นยังคงรายงานต่อไป โดยไม่ได้มองสีหน้าของเจ้านาย ว่าตอนนี้มันเริ่มบิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อได้รับอนุญาตจากเฉิงอ๋องแล้ว อู๋เสี่ยวหรันก็ไม่รอช้า นางให้คนมาปรับพื้นที่ข้าง ๆ เรือนนอนของนางเอง เพื่อทำเป็นลานสำหรับฝึกฝน วางหุ่นไม้ ขนย้ายอาวุธชนิดต่าง ๆ เข้ามา และยังทำเป้ายิงธนูที่เป็นอาวุธที่นางถนัดที่สุด นอกจากทวนยาวอีกอย่างด้วย
“เหลียนฮวาให้คนไปตามช่างตัดเย็บมาหาข้าก่อนมื้อเย็นด้วย”
หลังจากสั่งเสร็จอู๋เสี่ยวหรันก็หันไปหยิบกระดาษพู่กันร่างแบบเสื้อผ้าสำหรับใช้ฝึกยุทธ์แบบคร่าว ๆ ตามความชอบแต่เดิมของนาง เน้นไปทางความคล่องตัว และยืดหยุ่นและต้องเป็นผ้าที่แข็งแรงไม่ขาดง่าย
ทุกอย่างใช้เวลาเตรียมการเพียงสองวันก็เสร็จเรียบร้อย มีอำนาจในมือมีกำลังคนในมือ อะไร ๆ มันช่างง่ายดายเสียจริง
ไม่ว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้นในตำหนักแห่งนี้ ย่อมไม่รอดพ้นสายตาของผู้สอดรู้สอดเห็นทั้งหลาย และเรื่องที่อู๋เสี่ยวหรันนางทำลานฝึกฝนขึ้นมาภายในตำหนักของตัวเอง ได้แพร่สะพัดออกไปทั่วทั้งตำหนักอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนักก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์แตกออกเป็นสองเสียง เสียงแรกบอกว่าเป็นเรื่องที่ดีพระชายาอยากออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงหลังจากเฉียดความตายมาแล้ว
อีกเสียงก็บอกว่าเป็นเรื่องที่กุลสตรีในเรือนที่ไหนจะกระทำกัน เที่ยวจับดาบจับอาวุธร่ายรำหมัดมวย แทนที่จะทำสิ่งที่ชายาเอกควรทำ ทำให้ตำหนักอ๋องแห่งนี้เสื่อมเสียเกียรติ นางควรไปอยู่จวนแม่ทัพมากกว่า
แต่ก็ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่วางตัวเป็นกลาง เพียงบอกว่าเป็นเรื่องของเจ้านาย ท่านอ๋องไม่ได้ว่าอะไรผู้อื่นก็อย่าได้สอดจะดีกว่า
แต่ถึงแม้จะลือกันแค่ไหนในเมื่อท่านอ๋องที่เป็นเจ้านายสูงสุดเห็นชอบแล้ว คนที่เหลือก็ทำได้เพียงซุบซิบในที่ลับเท่านั้น
เสียงเล่าลือเหล่านี้อู๋เสี่ยวหรันหาได้สนใจไม่ นางขอเพียงให้ร่างกายนี้แข็งแรงได้สักหกในสิบส่วนของร่างเดิมของนางก็พอใจมากแล้ว
หากยังปล่อยให้ร่างกายอ่อนแอเช่นนี้ นางจะเอาแรงที่ไหนไปแก้แค้นเล่า นางในตอนนี้ยังห่างไกลจุดนั้นอยู่มากโข เพียงแค่เดินรอบตำหนักของตัวเองนางก็หายใจหอบเสียแล้ว
และอีกอย่างวิชาแพทย์ของนางนั้นเรียกได้ว่าอ่อนด้อยยิ่งกว่าสหายร่วมสำนักของนางมาก หากรู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นนี้นางจะต้องเรียนวิชาการปรุงยาให้แตกฉานมากกว่านี้ จะไม่เรียนเพียงการจับชีพจรวิเคราะห์โรคและการรักษาพิษเท่านั้น
หลังจากที่ลานฝึกยุทธ์และเสื้อผ้าทุกอย่างพรั่งพร้อมหมดแล้ว อู๋เสี่ยวหรันก็เริ่มตื่นแต่เช้าออกมาขยับร่างกาย โดยมีสาวใช้คนสนิททั้งห้าออกมาฝึกพร้อมกับนางด้วย หญิงสาวทั้งหกแลกเปลี่ยนวิธีการฝึกที่ถนัดของแต่ละคนให้กันและกันฟัง
แรกเริ่มเดิมทีอู๋เสี่ยวหรันไม่อยากให้ใครรู้ว่านางเป็นผู้มีวรยุทธ์คนหนึ่ง นางจึงให้สาวใช้ทั้งห้าผลัดเปลี่ยนกันมาสอน วิธีการฝึกฝนร่างกายของแต่ละคนให้นางในทุก ๆ เช้าและเลียนแบบพวกนาง
เฉิงอ๋องเคยมาดูพวกนางฝึกฝนบ้างเป็นบางครั้ง เมื่อเห็นว่าอู๋เสี่ยวหรันสามารถทำได้เป็นอย่างดี และคล่องแคล่วทะมัดทะแมง เขาจึงวางใจปล่อยให้นางฝึกฝนโดยมีสาวใช้คอยดูแล
“วันนี้พอเท่านี้ก่อนเถอะข้าหิวแล้วไปอาบน้ำแล้วมากินข้าวกันดีกว่า” อู๋เสี่ยวหรันเหวี่ยงทวนไม้ในมือ ลงบนรางไม้สำหรับเก็บทวนอย่างแม่นยำ ก่อนจะออกเดินกลับไปยังห้องเพื่อชำระล้างร่างกาย
“ฝีมือของพระชายานับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วเจ้าค่ะ” เหลียนฮวากล่าวอย่างชื่นชม
“จริงด้วยการออกท่าทางและฝีมือทวนของท่านก็ยอดเยี่ยม หากเป็นกลุ่มเด็กที่ฝึกฝนอยู่ต้องได้ขึ้นเป็นชั้นหัวกะทิอย่างรวดเร็วแน่นอนเจ้าค่ะ” เหมยฮวาก็กล่าวชื่นชมและยังยกนิ้วให้นางอีกด้วย
“มันเป็นเพราะข้ามีอาจารย์มีอย่างพวกเจ้าอย่างไรเล่า”
อู๋เสี่ยวหรันบอกพวกนาง
“มิบังอาจรับคำว่าอาจารย์จริง ๆ เจ้าค่ะพระชายา เดี๋ยวพวกบ่าวจะอายุสั้นเอา”
“ฮ่า ๆ พวกเจ้าทุกคนเก่งมากจริง ๆ รับคำชมจากข้าไปเถอะ”
อู๋เสี่ยวหรันหัวเราะเบา ๆ
หลังจากการชำระร่างกายและเปลี่ยนมาอยู่ในภาพลักษณ์ของพระชายาเอกแล้ว อู๋เสี่ยวหรันก็ได้รับข่าวจากสามสิบว่าหมอพเนจรกำลังจะออกไปจากเมืองหลวงแล้ว นางต้องการให้รั้งไว้หรือไม่
“ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกัน”
“พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ นอกประตูเมืองทางทิศเหมันต์ขอรับ”
“ไปหาเขากัน”
อู๋เสี่ยวหรันลุกขึ้น
“ไม่ได้นะเจ้าคะ ท่านจะออกไปไม่ได้ หากมีใครเห็นเข้าต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอนเจ้าค่ะ”
เหมยฮวารีบห้ามนางเอาไว้
“เหมยฮวาเจ้าคิดว่าในเมืองหลวงมีใครเคยเห็นหน้าของข้าบ้าง นอกจากคนจากร้านค้าที่เข้ามาในตำหนักวันก่อน”
“คือ…. ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เจ้าค่ะ ท่านเป็นถึงพระชายาเอกแห่งตำหนักเฉิงอ๋อง ไม่ต้องพูดถึงคนนอกหากมีคนในตำหนักทราบว่าท่านแอบออกไปด้านนอก เพื่อพบหมอพเนจรคนหนึ่งนั่นจะยิ่งแย่นะเจ้าคะ”
“ถ้าไม่มีใครรู้ก็ไม่เป็นไร”
“เหลียนฮวาไปเปลี่ยนเป็นชุดของบุรุษเสียวันนี้ออกไปกับข้า”
“เจ้าค่ะ”
เหลียนฮวาไม่ปฏิเสธแม้แต่น้อย นางรับคำเสร็จก็กลับไปยังห้องพักของตนเอง เพื่อผลัดเปลี่ยนเป็นชุดบุรุษ ซึ่งนางมีเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว เวลาที่ออกไปหาสมุนไพรด้านนอก
“พระชายาแล้วถ้าท่านอ๋องกลับมาล่ะเจ้าคะ” หลังจากได้ฟังคำพูดของเหมยฮวา อู๋เสี่ยวหรันจึงหันไปหาสามสิบและถาม
“วันนี้ท่านอ๋องไปที่ไหนและจะกลับเมื่อไร”
“วันนี้ท่านอ๋องเข้าวังไปแต่เช้า ช่วงบ่ายคาดว่าน่าจะอยู่ที่ค่ายทหารทางประตูตะวันออก หากไม่ผิดจากปกติท่านอ๋องจะกลับมาหลังมื้อค่ำขอรับ”
“ดี”
พูดจบอู๋เสี่ยวหรันก็หันหลังเข้าไปยังห้องของตนเอง หยิบชุดสำหรับฝึกยุทธ์ของนางออกมาเปลี่ยน รวมถึงเปลี่ยนวิธีการเกล้าผมเป็นแบบของบุรุษอีกด้วย นางทำทั้งหมดนี้โดยไม่ต้องให้สาวใช้ช่วยเหลือเลย
เมื่อเปิดประตูห้องออกมาอีกครั้งพบว่าตอนนี้สาวใช้ทั้งห้าคนของนางมายืนรออยู่แล้ว
“เป็นยังไงบ้าง เอ๋...” อู๋เสี่ยวหรันแปลกใจในสีหน้าท่าทางของสาวใช้ ที่มองนางเป็นตาเดียวและยังมองหัวจรดเท้า เท้าจรดหัวบางคนถึงกับอ้าปากค้าง