บท
ตั้งค่า

๗ อุปสรรคของเรา (๒)

“จูบอีกหน่อยสิ” บอกรักเสร็จแต่อารมณ์ยังไม่จางหาย เธอเงยหน้ามาสบตาเขาพร้อมอ้อนเสียงหวาน ยื่นหน้าเข้าไปใกล้หมายจะจูบแต่ถูกมือหนาดันหน้าเอาไว้

“พอแล้ว เด็กแก่แดด”

“เด็กอีกแล้ว เฌอบอกแล้วไงว่าเฌอไม่ใช่เด็กสักหน่อย เฌอโตแล้วนะคะ ถ้าอาปราบอยากรู้ว่าเฌอโตแค่ไหน งั้นเราลอง...” ไม่ว่าเขาจะปฏิเสธอย่างไรเธอก็สามารถวกกลับเข้าเรื่องนี้ได้ตลอดจนร่างสูงถึงกับส่ายศีรษะด้วยความระอาปนเอ็นดู

“อาทำอาหารไว้ให้เฌอด้วยนะ ไปกินข้าวเย็นกันดีกว่า” คนแรงมากกว่ายกหญิงสาวลงจากตัก ค่อยเดินเข้าครัวเพื่อทำอาหารเย็น ปล่อยให้เธอมองตามแผ่นหลังกว้างแล้วพรูลมหายใจเสียงหนัก ไม่รู้จะหวงตัวทำไมนักหนา

ได้ตอนไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ ทีเธอยังไม่เห็นจะหวงตัวเลย

“หาเรื่องเฉไฉ หึ อาปราบหนีเฌอไม่พ้นหรอก” คิดอย่างหมายมาดแล้วเดินตามร่างสูงเข้าไปในครัว กอดแผ่นหลังกว้างแล้วคอยช่วยเขาทำอาหารเย็น

พร้อมกับเรื่องเล่ามากมายที่นำมาพูดคุยกัน...ไม่รู้จบ

วันหยุดสุดสัปดาห์ทั้งบ้านจะนัดเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตา ลูกชายทั้งสามมาจากบ้านประมุขการณ์เพื่อรับประทานอาหารเย็นที่บ้านต้นตระการ ดวงหน้าคมยิ้มแย้มมีความสุข โดยเฉพาะฌานินทร์ที่ร้องอ้อนมารดามาแต่ไกล ก่อนจะพุ่งเป้ามาที่คุณตาคุณยาย ส่วนชายหนุ่มอีกสองคนทำเพียงยืนล้วงกระเป๋าพลางส่ายศีรษะระอาคนช่างประจบ

อยู่บ้านโน้นก็ทำให้คุณพัชราภารักหลง พอมาบ้านนี้ก็อ้อนไม่ต่างกัน เพราะนิสัยไหลไปเรื่อยคนจึงหลงคารม

ฌอร์นกลายเป็นน้องเมื่ออยู่บ้านหลังนี้เพราะมีพี่สาวอายุมากสุด แต่เมื่อกลับไปบ้านคุณย่าเขาก็กลายเป็นพี่ใหญ่ โดยมีฌองส์เป็นพี่รองและฌานินทร์คือน้องคนสุดท้อง ช่างต่างจากอายุซะเหลือเกิน

ดูเหมือนว่าฌอร์นจะเป็นเพียงคนเดียวที่เลือกเรียนมหาวิทยาลัยในไทยโดยไม่บินไปต่างประเทศ ด้วยความต้องการของชายหนุ่มเองและคนเป็นย่าไม่อาจให้หลานไปไกลหูไกลตาได้ ฌาร์มที่อยากให้ลูกเรียนบริหารอยู่อเมริกาจึงต้องตามใจมารดาและลูก

สุดท้ายจำยอมให้เรียนมหาวิทยาลัยในประเทศไทย โดยมีข้อแม้ว่าต้องเรียนจบเกียรตินิยมและบินไปเรียนปริญญาโทในมหาวิทยาลัยที่พ่อดูไว้ให้ทันที ซึ่งจากผลการเรียนก็ค่อนข้างเบาใจ อีกเพียงแค่ปีเดียวลูกชายก็จะเรียนจบ จึงต้องรีบดูมหาวิทยาลัยเอาไว้อีกครั้ง

“วันนี้อยู่ครบสี่หน่อ บ้านป่วนแน่เลย” คุณตาที่ยังคงแข็งแรงเอ่ยขึ้นระหว่างที่ทุกคนต่างเดินไปนั่งเก้าอี้ประจำของตัวเอง

ถึงเวลารับประทานอาหารโดยมีของโปรดหลานทั้งสี่วางไว้เรียงราย เฌอรีนานั่งข้างคุณยายซึ่งเป็นที่ประจำของหล่อนและห้ามใครแย่ง ข้างกายคือฌอร์นที่นั่งข้างพี่สาว ส่วนฌานินทร์จับจองนั่งข้างมารดาเป็นที่เรียบร้อย

“ไม่ป่วนหรอกครับ ฌาเป็นคนเรียบร้อย สงบเสงี่ยม ไม่ค่อยพูด...” รีบตอบรับอย่างรวดเร็ว จนทุกคนถึงกับยิ้มขำ

เวลาที่ฌานินทร์เงียบมีแค่หลับเท่านั้นแหละ นอกนั้นพูดเป็นต่อยหอยฟังแทบไม่ทัน

“เราน่ะตัวดีเลยฌานินทร์ พ่อได้ข่าวว่าสอบตกวิชาคณิตไม่ใช่เหรอ” คนเป็นพ่อที่รู้ผลการเรียนของลูกได้รวดเร็วแม้อีกฝ่ายยังไม่บอกก็เอ่ยขึ้น ทำเอาฌานินทร์ซึ่งพยายามจะปิดต้องหันขวับมองบิดาอย่างรวดเร็ว จะแก้ตัวก็คงไม่ทันแล้วล่ะ

พอพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทีไรอาหารที่กินเข้าไปไม่อร่อยทันที มือเขี่ยข้าวแต่ก็ยังตักเข้าปาก พลางเอ่ยแก้ตัวรวดเร็ว ถึงจะฟังไม่เข้าท่าก็ตาม

“โธ่ป๊า คณิตใครเขาเรียนผ่านกันล่ะ”

“ฌองส์ไง ท็อปคณิตของสายชั้นตลอด เราให้น้องติวให้บ้างสิ” เธอไม่ได้พูดเพื่อการเปรียบเทียบ เพียงแค่อยากให้ลูกชายคนเล็กติวให้พี่ที่ตกวิชาคณิตซ้ำๆ บ้าง เรียนจนจะจับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ไม่เคยมีสักเทอมที่ผ่านวิชานี้

“ม้าอ่ะ ใครจะให้คนอายุน้อยกว่ามาติวหนังสือให้กันล่ะ ไม่เอาหรอก มันไม่เท่” รีบเชิดหน้าไปทางอื่นแล้วเหลือบหางตามองน้องชายของตนที่นั่งกินข้าวเงียบๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์ต่อปากต่อคำ ไม่ยอมให้พี่ชายหาเรื่องฝ่ายเดียว

“ผมก็ไม่อยากติวให้พี่เหมือนกัน รอยหยักในสมองน้อยเกินไป สอนไปไม่เคยจำสักอย่าง” ตอบหน้านิ่งไม่มองอีกฝ่ายด้วยซ้ำ เล่นเอาคนโดนด่าว่าโง่ทางอ้อมถึงกับเบิกตากว้าง วางช้อนส้อมในมือแล้วชี้หน้าน้องชาย

“อ้าวไอ้ฌองส์ เขาเรียกคนมีเอกลักษณ์เว้ย” แก้ตัวให้ตนเองแต่ก็โดนตอกกลับ

“เขาเรียกโง่” ฌองส์ไม่ได้ใส่อารมณ์ทางน้ำเสียงหรือสีหน้า แต่คนโดนด่าก็เต้นเป็นเจ้าเข้า รีบกอดแขนมารดาพลางเขย่าเหมือนเด็กไม่มีผิด

“หม่าม้า ไอ้เด็กปากเสียมันว่าผม”

“พอๆๆ กินข้าวได้แล้ว พูดมากจังเลย” ปริณดาต้องเป็นฝ่ายสงบศึกของสองพี่น้อง ไม่รู้ว่าอยู่ด้วยกันได้อย่างไร คุณพัชราภาไม่ปวดหัวแย่หรือ ขนาดมาหาหล่อนไม่ถึงชั่วโมงยังทะเลาะกันจนเริ่มปวดหัว

ฌานินทร์มองน้องตาวาว พูดโดยไม่ออกเสียงกับคนที่จ้องตนไม่วางตา ‘ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ’ ขณะที่ฌองส์ทำเพียงยักไหล่ไม่สนใจ ลงมือรับประทานอาหารโดยมีคนกุมบทสนทนาคือลูกชายช่างพูดช่างเจรจา

เฌอรีนากลายเป็นคนเงียบทันที เธอแอบมองโทรศัพท์ที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะบ่อยครั้ง กองปราบกลับไร่สองถึงสามวันโดยที่หญิงสาวไม่ได้ตามไปด้วยเพราะติดงาน จึงต้องสื่อสารทางข้อความหากันตลอด จนบิดาซึ่งนั่งฝ่ายตรงข้ามหน้านิ่วไม่พอใจ

คิดว่าพูดกับกองปราบรู้เรื่องแล้วซะอีก...

“สวัสดีครับ” จังหวะที่ทุกคนกำลังรับประทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย ชายหนุ่มข้างบ้านที่คุ้นหน้าค่าตาเป็นอย่างดีถือวิสาสะเดินเข้ามาด้านใน พร้อมกล่าวทักทาย ไม่ลืมแจกจ่ายรอยยิ้มหวานให้แก่ทุกคน

คุณรุ่งรดาที่เอ็นดูกองปราบเป็นทุนเดิม ถ้าไม่ได้ฌาร์มเป็นลูกเขยก็มองชายผู้นี้เอาไว้รีบยิ้มให้ทันที มองกระเช้าผลไม้ที่อีกฝ่ายถือก็รู้ทันทีว่ามาจากไหน คงเพิ่งกลับจากไร่ลิขิตสกุล ทว่ายังไม่ได้ถามไถ่มากกว่านั้น เสียงหลานสาวก็แทรกซะก่อน

“อาปราบ!” เรียกไม่พอยังลุกจากเก้าอี้หวังจะเดินเข้าไปหา สร้างความตกใจปนงุนงงให้คนทั้งบ้าน ยกเว้นฌาร์มที่รู้เรื่องเป็นอย่างดี

“เฌอ นั่งลง..” สั่งบุตรสาวเสียงเข้ม จ้องจนสุดท้ายร่างแบบบางต้องทรุดกายลงที่เดิม ไม่กล้าเดินเข้าไปหาแฟนของตน

กองปราบเม้มปากแน่นไม่กล้ากระทั่งจะเหลียวไปมองร่างบาง ยิ้มแย้มให้คุณรุ่งรดาพร้อมยกกระเช้าผลไม้ที่นำมาจากสวนของตน จนแม่บ้านที่ยืนคอยท่าต้องรีบเข้ามารับ

“ผมเพิ่งมาจากไร่ เลยเอาผลไม้มาฝากครับ” กลับไร่คราวนี้ได้ครุ่นคิดบางอย่าง จึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าต้องกลับไปเดินเส้นทางเดิม ทำทุกอย่างให้ถูกต้องไม่ควรฝืนเพียงเพราะคำว่ารัก

บางทีคนที่รักอาจจะไม่ต้องใช้ชีวิตร่วมกันก็ได้

ขอเพียงให้เธอมีความสุข...เดินในเส้นทางที่ถูกต้องก็พอแล้ว ปล่อยให้เขาคือความผิดพลาดในอดีต

“ขอบคุณมากนะลูก คิดถึงกันตลอดเลย...” เอ่ยขอบคุณด้วยแววตาที่จริงใจ ก่อนชะงักยามได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาในห้องอาหาร ทุกสายตาจับจ้องหญิงสาวหน้าตาสะสวย แต่มองออกว่าค่อนข้างมีอายุ อาจอยู่ในวัยกลางคนเหมือนกองปราบ

ทว่าคนทั้งสอง...เป็นอะไรกัน

“ปราบคะ ลืมของไว้บนรถค่ะ” เฌอรีนานิ่งเงียบ มือกำเข้าหากันทันทีเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า หัวใจวูบไหวด้วยความกังวล ขณะที่ฌาร์มยกยิ้มมุมปากแล้วเลื่อนสายตามามองบุตรสาวอย่างรวดเร็ว ถึงจะเห็นความเจ็บปวดในดวงตากลม แต่เขาคิดว่าเจ็บตั้งแต่ตอนนี้ยังดีกว่าปล่อยให้ความผูกพันสานใยรักจนยากจะตัดขาดได้

“อ้อ นี่เป็นมะม่วงกวนที่บ้านผมเพิ่งทำขาย เอามาให้ลองชิมครับ” แม่บ้านรับไปทันทีแล้วค่อยปลีกกายเข้าห้องครัว ปล่อยคนในบ้านให้คุยกัน

ปริณดาอมยิ้มด้วยแววตาล้อเลียน มองพี่ชายข้างบ้านที่เห็นมานานแล้วค่อยถาม หลายปีมานี้เห็นเขาครองตัวโสด เฝ้าภาวนาให้มีหญิงสาวสักคนมาเคียงข้างคนแสนดีแบบกองปราบ จนวันนี้ที่ตำแหน่งข้างกายเขาไม่ว่าง

เธอรู้สึกดีใจกับชายหนุ่มจริงๆ

“แล้วพี่ปราบไม่คิดจะแนะนำคนข้างๆ ให้พวกเรารู้จักหน่อยเหรอคะ” สายนับสิบคู่มองคนทั้งสองเป็นตาเดียว โดยเฉพาะเฌอรีนาที่แทบหยุดหายใจระหว่างรอฟังคำตอบ

เขาหายไปแค่ไม่กี่วัน แต่ทำไมสถานะแฟนของเธอสั่นคลอน...

“เจนค่ะ เป็นเพื่อนของปราบตั้งแต่มหา’ลัย ตอนนี้เรากำลังจะพัฒนาความสัมพันธ์ค่ะ” เพียงแค่หญิงสาวที่ยืนข้างหนุ่มนักบินพูดจบ ลูกสาวคนโตของครอบครัวประมุขการณ์ก็หยัดยืนแล้วถามเสียงดังเหมือนไม่เชื่อ เธอกำลังคิดว่าตนเองอาจจะหูฝาด

“ว่าไงนะคะ”

“เฌอรีนพ่อบอกให้นั่งลง” ฌาร์มกดเสียงต่ำแล้วสั่งลูกสาว ทว่าเธอไม่สนใจท่าน ดวงตากลมสั่นไหวแล้วมองเจนสลับกับกองปราบ มือบางกำเข้าหากันแน่น

“อาปราบกำลังคบกับคุณเจนเหรอคะ จริงเหรอคะอาปราบ” จี้ถามเขาเพื่อให้ชายหนุ่มยืนยัน ร่างสูงไม่กล้าสบตาเธอด้วยซ้ำ เขาหลบสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่หล่อนส่งมาให้ตน ทอดถอนใจแล้วค่อยตอบเสียงเบา

เขาไม่อยากทำแบบนี้เลย แต่มันคือทางที่ดีที่สุดสำหรับเรา...

“ครับ”

บรรยากาศภายในห้องอาหารตกอยู่ในความเงียบ ปริณดาเห็นถึงเค้าลางไม่ชอบมาพากลบางอย่าง เธอเริ่มประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดแล้วเผยอปากกว้าง หันมองสามีของตนทันทีจึงเห็นรอยยิ้มของเขาลางเลือน

อย่าบอกนะว่า...

“ทั้งที่อาปราบก็กำลังคบกับเฌอเหมือนกันเหรอคะ” ประโยคของเฌอรีนาทำให้ทุกคนถึงกับหยุดหายใจ หมายความว่ากองปราบกำลังคบซ้อนอย่างนั้นเหรอ

หญิงคนหนึ่งอายุเท่ากัน ส่วนอีกคนอายุน้อยกว่าเป็นหลายรอบ ไม่น่าเชื่อเลยสักนิดว่าหนุ่มนักบินจะเป็นคนจับปลาสองมือ คุณรุ่งรดาถึงกับคว้ายาหอมมาดมโดยสามีรีบลุกมาประคองภรรยา ไม่มีใครเอ่ยอะไรเพราะสังเกตการณ์ โดยเฉพาะฌานินทร์ที่เก็บทุกเม็ด แต่ก็ยังสับสนว่าพี่สาวของตนชอบชายหนุ่มอายุเท่าพ่อได้อย่างไร

เขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ ความรักห้ามกันได้ซะที่ไหน

“พอได้แล้วเฌอรีน” ฌาร์มสั่งบุตรสาวแต่เธอกลับไม่ได้สนใจบิดาสักนิด เลือกจะถามกองปราบด้วยเสียงสั่นเครือแสดงถึงความเสียใจที่โดนหักหลัง

“อาปราบกำลังคบผู้หญิงสองคนพร้อมกัน เห็นเฌอเป็นแค่ของเล่นที่จะทิ้งตอนไหนก็ได้เหรอ ทั้งที่เราสองคน...” พรั่งพรูความจริงให้คนอื่นได้ทราบ จนคุณยายแทบลมจับกับเรื่องของหลานสาวและผู้ชายคราวลูกที่ตนเอ็นดู ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นความจริง และดูเหมือนว่าเฌอรีนาจะรักกองปราบมากซะด้วย

เรื่องราวมันเกิดขึ้นตอนไหนเมื่อไหร่ ทำไมไม่มีใครรู้เลย แล้วทำไมร่างสูงถึงนอกใจหลานตนล่ะ!

“เฌอรีนาพ่อบอกให้หยุดพูด!” ก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้ ฌาร์มสั่งลูกสาวเสียงเข้มแต่เธอตวัดสายตามามองบิดาพร้อมตะคอกกลับไม่เกรงกลัว

วินาทีนี้หล่อนไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ตัดสินใจบอกทุกอย่างให้คนในครอบครัวรู้โดยทั่วกัน ไม่ต้องเป็นความลับอีกต่อไป

“ไม่ค่ะ! เฌอไม่หยุด ไหนๆ ทุกคนก็รู้แล้ว เฌอบอกความจริงเลยแล้วกันว่าตอนนี้เฌอกำลังคบกับอาปราบ เราคบกันได้สองเดือนกว่าแล้ว” คราวนี้ปริณดาถึงกับยกมือทาบอกด้วยความตกใจ

ระยะเวลาไม่ใช่น้อยเลย หรือว่าที่บุตรสาวหายไปอยู่สตูดิโอบ่อยๆ คือไปบ้านลิขิตสกุลเหรอ

ไม่มีใครสนใจอาหารบนโต๊ะ เอาแต่มองกองปราบสลับกับเฌอรีนาด้วยความตกตะลึง มีเพียงฌองส์ที่ตักข้าวเข้าปากไม่ได้สนใจใคร เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่ก็เป็นห่วงความรู้สึกของพี่สาว ดูจากแววตาแล้วคงรักคุณอาข้างบ้านเป็นอย่างมาก

“แต่ แต่ทำไมอาปราบถึงทำกับเฌอแบบนี้”

“อาขอโทษ” เขาบอกได้เพียงแค่นั้นแล้วก้มหน้านิ่ง เจนค่อยขยับเข้ามากอดแขนหนาเอาไว้ ยิ่งทำให้เฌอรีนาเจ็บจนยืนแทบไม่ไหว ปล่อยโฮกลางห้องอาหารอย่างไม่นึกอาย

“ฮือ”

“ฌอร์น พาเฌอขึ้นบนห้อง” ฌาร์มสั่งบุตรชายกลัวว่าเรื่องจะยิ่งไปกันใหญ่

“ครับ” ร่างสูงลุกยืนจะพาพี่สาวขึ้นไปข้างบน จังหวะที่กำลังจะจับแขนก็ถูกสะบัดทันที หล่อนจ้องบิดาด้วยความแน่วแน่พลางตอบเสียงดังฟังชัด กลายเป็นม้าพยศทันทีแล้วเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า ไม่นึกอายที่ตนกลายเป็นคนโง่โดนสวมเขาต่อหน้าทั้งครอบครัว

“เฌอไม่ไป!” พูดจบก็คว้ากระเป๋าสะพายแล้ววิ่งออกจากบ้าน ทำเอาทุกคนถึงกับอึ้งไม่คิดว่าหล่อนจะวิ่งหนีออกไปแบบนี้

“เฌอจะไปไหน เฌอ! เฌอรีนา!” ฌาร์มไม่รอช้ารีบตามลูกสาวออกไปทันที ลูกชายทั้งสามถึงกับเลิกลักทำอะไรไม่ถูก แต่ปริณดากลับมองพี่ชายข้างบ้านแล้วข่มเสียงเข้ม กลายเป็นแม่ที่กางปีกปกป้องลูกน้อยยามภัยมาถึง

“พี่ปราบคะ ปลายว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันหน่อยแล้วล่ะ”

“พี่ขอไปตามน้องเฌอก่อนนะ แล้วจะกลับมาให้ปลายซักฟอก” เขารีบออกจากบ้านโดยมีเจนตามประกบไม่ห่าง เท้าหนักเร่งกลับไปยังบ้านของตนเอง แต่กลับถูกคนซึ่งเดินตามหลังคว้าแขนเอาไว้เมื่อออกจากเขตบ้านต้นตระการ

“ปราบ...คบกับน้องเฌอจริงเหรอ”

“อือ แต่มีปัญหานิดหน่อย ขอบใจเจนมากนะที่ช่วยแสดงละคร มีอะไรให้เราช่วยบอกได้ตลอดเลยนะ” ยอมรับทันทีด้วยสีหน้าหวั่นวิตก

ใช่แล้ว...เมื่อสักครู่คือการแสดงละคร เขายอมถอยออกจากเธอตามที่กองปราบบอก

“ขอส่วนลดตอนนั่งเครื่องได้ไหม”

“ไว้เราเป็นผู้บริหารการบินจะช่วยนะ” ตอบเสียงเครียดไม่มีอารมณ์ล้อเล่นกับหล่อน หญิงสาวเข้าใจดีจึงตบบ่าเป็นการปลอบแล้วค่อยเรียกแท็กซี่กลับเอง ไม่อยากรบกวนเพื่อนไปมากกว่านี้

“เฮ้อ...”

ร่างหนาถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้าเมื่อไม่ได้รับการติดต่อกลับมา เขานั่งอยู่ที่โซฟานิ่มห้องรับแขกของบ้านตนเอง หลับตาแน่นแล้วรอฟังเสียงข้อความหรือเสียงโทรศัพท์ ทว่าทุกอย่างกลับเงียบเชียบ

กระทั่งประตูบ้านเปิดออก พร้อมเสียงเรียกแสนคุ้นเคยที่เขาได้ยินเป็นประจำ

“อาปราบ...”

“น้องเฌอ” มุมปากหยักยกยิ้มแล้วโผเข้าไปหาหล่อน แต่กลายเป็นว่าหญิงสาวถอยห่างทันทีไม่ยอมให้เข้าใกล้ ใบหน้าคมจึงสลดลง

เขาผิดไปแล้ว...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel