บทที่ 4 ต้องดีแค่ไหน เธอถึงจะหันมามอง
“เก็บของ เก็บไปไหนคะ”
“ก็ย้ายไปอยู่กับพวกเราไงจ๊ะ นี่แกยังไม่ได้บอกน้องเหรอตาสร!” อย่าว่าแต่ได้บอกเลย เมื่อคืนกว่าเขาจะได้หลับ ก็ต้องอยู่ปลอบคนที่อยู่ๆ ก็ร้องไห้ให้เงียบลงได้ก็ทำเอาเหนื่อยจนลืมไปหมด ลืมกระทั่งเรื่องสำคัญที่พ่อกับแม่กำชับหนักกำชับหนาว่าให้บอกคนข้างกายให้ได้รับรู้ จะได้เตรียมตัวทัน
“ผมลืมครับ” คนเป็นแม่มองค้อนลูกอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะหันกลับมา เป็นคนอธิบายให้คนข้างกายเข้าใจด้วยตัวเอง
“คืออย่างนี้นะลูกหนูสร้อย พวกเรามาคุยๆ กันแล้ว ไหนๆ ตากับยายหนูท่านก็ไม่อยู่แล้ว เราเลยอยากให้หนูย้ายไปอยู่กับพวกเราที่บ้านจ๊ะ ส่วนเรื่องแต่งงาน พี่เขาอยากรอให้หนูเรียนจบก่อน ซึ่งพ่อกับแม่เองก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้” คนได้ฟังมีท่าทีลำบากใจไม่น้อย เพราะเท่าที่คุยกันไว้ เธอกับลูกชายของท่านไม่ได้ตกลงกันไว้แบบนี้ ไม่ได้ใกล้เคียงเลยสักนิด!
“คือสร้อย…” เกิดกลายเป็นความลังเลขึ้นทันทีที่ได้รับรู้ถึงเจตนาของคนตรงหน้า ที่ต้องการกระทำต่อกัน
“อย่าปฏิเสธเลยนะหนู หนูอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก มันอันตราย อีกอย่างตาสรเองก็ต้องรับผิดชอบที่เขาล่วงเกินหนูด้วย ย้ายไปอยู่เสียด้วยกันเถอะ!” ครั้นจะอ้าปากขัด เสียงดุดันของผู้ชายอีกคนก็ดังสวนขึ้นเสียก่อน ทำให้เธอไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากพูดอะไร สุดท้ายก็เรื่องก็เลยต้องจบลงเท่านี้
กิจวัตรประจำของอดิสรณ์ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก ยามเมื่อใครอีกคนย้ายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบ้าน ทุกเช้าหล่อนจะปั่นจักรยานคันเก่า ที่ไม่ว่าใครจะขอร้องให้ทิ้งไปยังไงก็ดื้อแพ่งไม่ยอมท่าเดียวไปมหาลัย ซึ่งก็ไม่ได้อยู่ไกลจากบ้านของเขาเท่าไหร่ ส่วนเขาก็เข้าไร่เพื่อทำหน้าที่ของตัวเองเหมือนที่เคยทำมาตลอดนับตั้งแต่ที่พ่อของเขาวางมือแล้วหันไปลงเล่นการเมือง ตกเย็นถึงได้เจอหน้ากันตอนกินข้าว จากนั้นก็แยกย้ายห้องใครห้องมัน วนซ้ำอยู่แบบนี้มานานร่วมเดือน จนกระทั่งเป็นเขาเองที่เริ่มทนไม่ไหว
“สร้อยละครับพ่อ” ปากถามหา ตาก็หวาดมองหาคนที่น่าจะเดินออกไปรับเหมือนทุกวัน หากแต่วันนี้กลับว่างเปล่า ซึ่งนั่นมันทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ชอบกล
“อยู่ในครัวกับแม่แกนู้น มาถึงก็ถามหาเมียเลยนะไอ้ตัวดี ก็ไหนว่าไม่รักไม่ชอบเขา!” เขาไม่ได้ตอบอะไรนอกจากหยิบยื่นความเงียบกลับไปให้ท่าน
นั่นก็เพราะแม้แต่ตัวเขาเองยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แล้วจะให้เอาปัญญาที่ไหนไปหาคำตอบมาให้ท่าน
สิ้นสุดการรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน อดิสรณ์ก็ถูกทั้งพ่อและแม่กำชับสั่งให้อยู่พูดคุยธุระกับพวกท่าน ในขณะที่สร้อยสุดานั้น ก็ขอตัวกลับขึ้นไปอาบน้ำที่ห้องนอนของตัวเอง
“แม่ชอบเด็กคนนั้นนะ นิสัยน่ารัก ว่านอนสอนง่าย เราล่ะตาสร รู้สึกยังไงกับน้อง” เป็นแม่ของเขาที่เปิดฉากเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก ความจริงจะเรียกว่าชอบคงไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก มันเป็นความเอ็นดูเสียมากกว่าที่กำลังว่ายวนอยู่ในใจของท่าน หากตัดเรื่องความเหมาะสมออกไปแล้ว เด็กคนนั้นก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรเลยออกจะเป็นลูกสะใภ้ในฝันเสียด้วยซ้ำ
“ผม...ไม่รู้ครับ เรื่องระหว่างผมกับสร้อยพ่อกับแม่ก็รู้ว่ามันไม่ได้เริ่มต้นมาจากความรัก จู่ๆ จะให้ผมรู้สึกอะไรกับเธอเลยเลยผมทำไม่ได้...”
ทุกอย่างที่ว่ามาทั้งหมดนี้จำเป็นต้องใช้เวลา และเขาเองก็ต้องเวลามากๆ สำหรับเรื่องนี้ แต่ที่แน่ๆ การมีสร้อยสุดาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนั้นมัน ไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจเหมือนอย่างที่คิดไว้ตอนแรกเลยแม้แต่นิดเดียว อาจเพราะหล่อนวางตัวดี ซ้ำยังว่านอนสอนง่าย ไม่ทำอะไรที่เขาไม่ชอบ ทุกอย่างมันเลยลงตัวถูกที่ถูกทาง เหลือก็แค่ต้องรอเวลาเท่านั้น
“จะเอายังไงก็รีบคิด รู้ไหมตอนนี้ข่าวลือที่แกกับเมียแยกห้องนอนกันมันแพร่สะบัดไปไกลแล้ว!” เรื่องนี้เขาเองก็เพิ่งจะรู้วันนี้ ถึงได้คิดหาทางออกเอาไว้แล้ว ติดก็แต่ต้องไปคุยกับอีกคนให้เข้าใจตรงกันเท่านั้น และก็หวังว่าหล่อนจะเข้าใจ
เสียงเคาะประตูห้องที่ดังขึ้นทำให้คนที่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จต้องรีบลุกขึ้นจากเตียงมาเปิด ด้วยคิดเอาเองว่าอาจเป็นแม่สามี ที่แวะเอานมอุ่นๆ มาให้กัน เหมือนที่ท่านชอบทำเป็นประจำทุกคืน หากแต่คืนนี้นั้นกลับกลายเป็นอีกคนแทน...
“ฉันเข้าไปได้ไหม” แน่นอนว่าต้องได้ เพราะนี่มันบ้านเขา เขามีสิทธิ์เข้าออกห้องไหนก็ได้ทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ห้องนี้ ที่แม่ของเขายกมันให้กับเธอ
หญิงสาวคิดก่อนจะยอมเปิดทางให้เขาได้เข้ามาในห้อง
