ตอนที่ 4 บ้านสกุลจาง
ตอนที่ 4
บ้านสกุลจาง
“ตัวซวย ตัวสิ้นเปลือง ไม่รู้เจ้าจะพามาด้วยทำไมอาจือ”
ตลอดหลายวันมานี้ที่จางอี๋หนิงอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ที่ทำมาจากดิน เด็กชายจะได้ยินเสียงบ่น เสียงต่อว่า หลุดออกจากปากของหญิงสาว ที่พี่จางจือของเขา บอกให้เรียกหล่อนว่า พี่สะใภ้ใหญ่
“เบาเสียงลงหน่อยพี่สะใภ้ เดี๋ยวอาหนิงจะได้ยิน”
ทางด้านจางจือเองก็ไม่อาจทำอะไรได้มาก เพราะบ้านหลังนี้บิดามารดายกให้เป็นของพี่ชายคนโตเรียบร้อยแล้ว เพราะพวกท่านคิดว่าเขาคงอยู่ที่จวนสกุลโจวไปจนตาย
“เบาเสียง เบาทำไม คิดว่าเด็กนั่นยังเป็นคุณชายอยู่หรืออย่างไร หน็อย...ตั้งแต่พาเข้ามาอยู่ในบ้านของข้า ผักที่เคยขายได้ กลับขายไม่ออกเสียอย่างนั้น หาเงินเข้าบ้านไม่ได้ ยังต้องมาเสียค่าอาหารเพิ่มขึ้นมาอีก เป็นแบบนี้แล้ว เจ้าจะให้ข้าต้องมาพะเน้าพะนอเอาใจคุณชายตกอับนั่นอยู่หรือ”
‘ซูลี่เหม่ย’ สะใภ้ใหญ่ของบ้านจาง ยกสองมือขึ้นเท้าสะเอว ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่น้องชายของสามี ลำพังแค่น้องของสามีมาอาศัยอยู่ด้วย นางก็ไม่บ่นอะไรหรอก แต่นี่กลับพาเด็กน้อยที่ไม่ใช่คนในครอบครัวมาอยู่ด้วย แล้วไม่รู้ว่าคนที่ลงมือฆ่าล้างตระกูลโจว จะตามหาตัวเด็กคนนี้อยู่หรือเปล่า แบบนี้ จะให้นางทำใจยอมรับได้อย่างไร หากเด็กนี้นำอันตรายมาสู่ลูกชายลูกสาวของนางเล่า ใครจะรับผิดชอบ
“เรื่องค่าใช้จ่าย พี่สะใภ้ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะเข้าเมืองไปหางานทำ หาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวเอง”
จางจือพยายามอธิบายให้พี่สะใภ้ฟังอย่างใจเย็น การที่เขาไม่บอกว่านำทรัพย์สินของคุณชายติดตัวมาบางส่วน เพราะรู้ดีว่า นิสัยขี้งกเห็นแก่เงินอย่างพี่สะใภ้ ต้องยึดเอาทรัพย์สินของคุณชายไปเป็นของตัวเองแน่ เขาจึงวางแผนจะเข้าเมืองไปหางานทำ แล้วมอบเงินเดือนของตัวเอง ให้พี่สะใภ้เอาไว้จับจ่ายใช้สอยแทน
“แต่ข้าก็ไม่อยากให้เด็กนั่นอาศัยอยู่ในบ้านด้วยอยู่ดี”
ลี่เหม่ย อย่างไรก็ไม่ชอบขี้หน้า เด็กที่จะพาอันตรายมาสู่ครอบครัวอยู่ดี
“เอาน่า เหม่ยเอ๋อร์ เห็นแก่ชีวิตน้อย ๆ หนึ่งชีวิต ก็เลี้ยงเขาเอาไว้เถอะ พอเด็กนั่นโตมา ก็สามารถใช้แรงงานหาเงินเข้าบ้านได้”
‘จางหยาง’ ออกปากช่วยน้องชายอีกแรง แต่พอเห็นสายตาขุ่นเขียวของภรรยาสุดที่เคารพรัก ก็กลับมาทำตัวสงบปากสงบคำตามเดิม
ถ้อยคำพูดทั้งหลายทั้งมวลของผู้ใหญ่ทั้งสาม เด็กชายวัยหกหนาว ที่บังเอิญผ่านมาได้ยินเข้าทุกคำพูด ใบหน้าเล็กเศร้าหมอง เดินคอตกก้มหน้าออกจากบ้านดิน เดินไปตามถนนที่ทอดยาวไปสู่ผืนป่าท้ายหมู่บ้าน
เดินเข้าป่ามาได้ไม่ไกลนัก ก็ถึงลำธารขนาดเล็ก ที่ที่เขาชอบมานั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเพียงลำพัง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านเป็นใคร อยู่ที่ไหน ทำไมถึงทอดทิ้งให้ข้าอยู่กับผู้อื่น”
จางอี๋หนิง นั่งกอดเข่าแผ่นหลังพิงเข้ากับลำต้นของต้นไม้ใหญ่ กล่าวตัดพ้อบิดามารดาที่เขานึกไม่ออกว่าเป็นใคร และหายไปไหน รวมไปถึงคนในครอบครัวคนอื่น ๆ ด้วย
ถึงแม้ว่าเขาจะนึกอะไรไม่ออก แต่กลับรู้สึกเศร้าหมอง เจ็บปวดในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก จนหยดน้ำสีใสไหลหยดอาบแก้มลงมา
“อาหนิง มาหลบอยู่ที่นี่เอง”
เสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้เด็กชายรีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาให้เหือดแห้ง ก่อนจะหันไปฉีกยิ้มให้พี่ชาย
“ท่านพี่ ข้าแค่มานั่งดูปลานะขอรับ ว่าแต่ท่านพี่รู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่”
“ทำไมพี่จะไม่รู้ ทุกครั้งที่เจ้าไม่สบายใจ ก็จะแอบมาหนีเข้าป่ามา”
จางจือเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้างคุณชายน้อยของเขา ทอดสายตามองน้ำใสจนมองเห็นตัวปลากำลังแหวกว่ายไปมา ก่อนจะถอนหายใจออกมาเป็นทอด ๆ
“อย่าได้ถือสาพี่สะใภ้ใหญ่เลยนะ นางเป็นคนปากร้ายไปหน่อย แล้วยังต้องจัดสรรค่าใช้จ่ายภายในบ้าน เดียวพอพี่หาเงินให้นางได้มากพอ นางก็จะดีกับเจ้าเอง”
“ข้าไม่ได้คิดอะไรขอรับ ข้ารู้ดีว่าครอบครัวของพวกท่านลำบากกันขนาดไหน ตัวข้าเสียอีกเข้ามาเป็นตัวภาระให้ครอบครัวของท่านพี่แท้ ๆ”
เด็กชายพยายามฉีกยิ้มกว้าง แสดงให้พี่ชายตรงหน้าเห็น ว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลย แต่แววตาของเขากลับปิดบังความรู้สึกเอาไว้ไม่ได้
“อย่าได้คิดว่าตนเองเป็นภาระของใคร เจ้าเป็นน้องชายของพี่ ลืมไปแล้วหรือ”
“ท่านพี่” อี๋หนิงซาบซึ้งใจ อย่างน้อยเขาก็ยังมีพี่ชายคนนี้คอยอยู่เคียงข้าง คอยปลอบใจเขาอยู่เสมอ แต่ถ้าหากเขาได้อยู่กับครอบครัวที่แท้จริง มันจะดีกว่านี้หรือเปล่า
“ท่านพี่ขอรับ ตกลงท่านจะบอกข้าได้หรือยัง ว่าพ่อแม่ ครอบครัวของข้าอยู่ที่ไหน แล้วทำไมข้าถึงมาอยู่กับท่านได้” ในที่สุดเด็กชายก็ตัดสินใจเอ่ยถามเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะรู้ดีว่าคำตอบจะออกมาเช่นไร
“ขอโทษนะอาหนิง ตอนนี้พี่ยังบอกเจ้าไม่ได้ เอาไว้เจ้าโตกว่านี้ก่อน พี่จะบอกความจริงเจ้าทุกอย่าง”
จางจือ ไม่ได้คิดจะปิดบังคุณชายไปจนตาย เพราะไม่แน่ว่า วันใดวันหนึ่งเด็กชายอาจจะได้ความทรงจำกลับคืนมา เขาแค่อยากประวิงเวลาของความเสียใจ เลื่อนออกไปเรื่อย ๆ จนกว่าคุณชายจะโตพอ ยอมรับกับความเศร้าเสียใจได้
“ก็ได้ขอรับ ข้าจะรอ”
เด็กน้อยและพี่ชายของเขา พากันนั่งพูดคุยอยู่ใต้เงาของต้นไม้ใหญ่ ชี้ชวนกันดูฝูงปลาที่แหวกว่ายล่อตาล่อใจ เชิญชวนให้มนุษย์ลงไปจับขึ้นมาเป็นอาหาร จนดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงมาก ถึงได้ชักชวนกันเดินออกจากผืนป่ากลับเข้าหมู่บ้าน
ทันทีที่มาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบ้านสกุลจาง จางอี๋หนิงยืนทำใจอยู่สักพัก กับการต้องเข้าไปพบเห็น ใบหน้าบึ้งตึงแววตาไม่ยอมรับของผู้หญิงคนนั้น
แต่พอทำใจเดินผ่านเข้าไปในตัวบ้าน บรรยากาศกลับเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
“พากันกลับมาแล้วหรือ รีบไปล้างไม้ล้างมือ จะได้มากินข้าวเย็นด้วยกัน”
น้ำเสียงหวานที่อี๋หนิงไม่เคยได้ยิน นับตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่นี่ แต่วันนี้กลับได้ยิน ไหนจะรอยยิ้มแห่งไมตรี ที่อีกฝ่ายส่งมาให้อีก มันทำให้เขาทำตัวไม่ถูก จนต้องแหงนหน้าขึ้นมองพี่ชาย ว่าควรจะทำเช่นไรดี
“จะพากันยืนนิ่งอีกนานไหม รีบไปล้างมือสิ” ลี่เหม่ยพูดย้ำ ทำราวกับว่า ก่อนหน้านั่น นางไม่เคยบ่นเรื่องของเด็กชายเลยแม้แต่น้อย
จางจือ แม้จะสงสัยกับท่าทีที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำแค่เพียงพาน้องชายตัวน้อย ไปล้างมือแล้วก็มานั่งร่วมโต๊ะพร้อมหน้าพร้อมตากับทุกคน
“โอ้โห วันนี้ท่านแม่ทำกับข้าวเยอะจัง ยังมีไก่ย่างของโปรดข้าด้วย” บุตรชายคนโตของบ้านจาง จ้องมองอาหารบนโต๊ะอย่างตื่นเต้น ปกติมารดาของเขาประหยัดเรื่องอาหารการกินจะตาย
“พอดีวันนี้แม่คิดได้ว่า ทำตัวไม่ดีกับอี๋หนิงเกินไป เลยตั้งใจทำอาหารพวกนี้ เพื่อขอโทษ เจ้าจะให้อภัยข้าได้หรือเปล่า” สะใภ้ของบ้านจาง หันไปทางเด็กชายที่นั่งอยู่ติดกับบุตรชายของนาง
จางอี๋หนิง ทำสีหน้าไม่ถูก ที่อยู่ ๆ หญิงสาวตรงหน้ามาทำดีด้วย ไหนจะยังคำขอโทษนั่นอีก แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยอมรับในตัวเขา มันก็ดีแล้วมิใช่หรือ เด็กชายจึงรีบตอบกลับไป
“ข้าไม่เคยโกรธพี่สะใภ้เลยขอรับ”
“ขอบใจมาก ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็กินเยอะ ๆ นะ”
ลี่เหม่ยยิ้มหวานให้เด็กชาย หนำซ้ำยังฉีกน่องไก่วางลงในจานข้าวของเด็กชายด้วย
อาหารมื้อนี้ จึงเป็นมื้อที่ทุกคนมีความสุขและรู้สึกสงบใจมากที่สุด ต่างคนต่างกินอาหารบนโต๊ะ จนหมดเกลี้ยง
หลังจากช่วยกันเก็บถ้วยชามไปล้างแล้ว ก็พากันแยกย้ายเข้าห้องใครห้องมัน ดูเหมือนว่าวันนี้ทุกคนจะรู้สึกง่วงนอนกันเร็วเป็นพิเศษ พอเอนศีรษะลงบนหมอนก็พากันหลับสนิทในทันที...
“ได้แค่นี้เองหรือ”
ซูลี่เหม่ย มองเงินอีแปะในมือ สีหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไร นางนึกว่าอย่างน้อยน่าจะได้ถึงหนึ่งตำลึงเงินเสียอีก
“ใช่ ได้เท่านี้แหละ ท่าทางเด็กนั่นเหมือนลูกคนมีอันจะกิน ทำอะไรไม่เป็น ต้องสอนงานก่อนขายต่อ ถึงจะได้ราคา ให้ราคานี้ก็บุญแล้ว หากไม่พอใจก็พาตัวกลับไปได้เลย”
ชายร่างท้วม ผิวคล้ำ ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา เอื้อมมือจะไปหยิบถุงเงินในมือของหญิงสาวตรงหน้ากลับคืนมา
“แค่นี้ก็แค่นี้ รีบพาตัวมันไป เดี๋ยวคนในบ้านข้าตื่นขึ้นมาจะยุ่ง” ลี่เหม่ย ยืนมองพ่อค้าทาส สั่งให้คนอุ้มตัวเด็กชายที่หลับไม่ได้สติ เพราะถูกวางยานอนหลับ ขึ้นรถม้าไป ในที่สุด นางก็หาทางกำจัดตัวซวยนี้จนได้...
