4.คนร้ายจริงมั้ย
*** ทักทายคร้า ***
วิสุทธิ์นั่งรอแขกที่ไม่ได้รับเชิญไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ชายหนุ่มเดินไปเปิดประตู ทันทีที่เห็นใบหน้านวลผ่องของคุณหมอสาว ทำเอาเลขาหนุ่มตกตะลึงเล็กน้อย ถ้าไม่รู้จากประชาสัมพันธ์ว่าเธอเป็นแพทย์หญิงเขาคงไม่เชื่อ
“สวัสดีค่ะ ฉันมาขอพบคุณพัฒน์ค่ะ”
เสียงหวานทำให้วิสุทธิ์ได้สติ ยิ้มให้คุณหมอสาวอย่างสุภาพ
“สวัสดีครับ คุณคงเป็นคุณหมอที่มาขอพบเจ้านายผม”
“ใช่ค่ะ” กาญนรีหยิบนามบัตรส่งให้ วิสุทธิ์รับนามบัตรมาอ่านรายละเอียด คิ้วหนายกขึ้นด้วยความแปลกใจระคนสงสัย
“จริงๆ วันนี้เจ้านายผมติดธุระทั้งวัน”
“แต่ฉันมีเรื่องสำคัญอยากคุยกับเขานะคะ” ท่าทีร้อนใจของกาญนรีทำให้วิสุทธิ์มองด้วยความสงสัย
“งั้น เชิญครับ”
ในที่สุดวิสุทธิ์ก็พาเธอขึ้นลิฟต์มาที่ห้องทำงานของเจ้านายหนุ่ม หญิงสาวยืดตัวสูดลมหายใจเข้าไปในปอด วิสุทธิ์หันไปมองริ้วรอยกังวลบนใบหน้างาม
“เชิญครับ” วิสุทธิ์เปิดประตูออกกว้างแล้วเดินนำแขกเข้าไปพบเจ้านาย กาญนรีเดินเข้าไปในห้องทำงานกว้าง รังสีของอำนาจของเจ้าของห้องกระจายรอบๆ จนเธอใจไม่ดี “คุณหมอมาแล้วครับบอส”
“ให้รอก่อน ฉันเซ็นเอกสารอีกหน่อยก็เสร็จแล้ว” เสียงทุ้มเต็มไปด้วยอำนาจสั่งขณะที่ตาไม่ยอมละจากเอกสารบนโต๊ะ กาญนรีได้ยินถึงกับเลือดขึ้นหน้าที่ไม่ได้รับเกียรติจากเจ้าของห้อง
“คุณคิดว่างานตัวเองสำคัญอยู่คนเดียวหรือไง”
เสียงแว้ดหวานทำเอาวิสุทธิ์หันไปมองคนมาใหม่ เพราะไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำ นอกจากพูดจาอ่อนหวานเพื่อจะได้มีข่าวกับเจ้านายเขา
“ถ้ารอไม่ได้ก็กลับไป เพราะผมไม่มีความจำเป็นต้องพบหมอโรคจิตหรือหน่วยพิสูจน์หลักฐาน”
“แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับคุณโดยตรง ฉันขอเวลานิดเดียว เสร็จแล้วจะกลับทันที” กาญนรีเดินไปหยุดหน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่ กลิ่นกายหอมๆ ลอยมากระทบปลายจมูกทำให้หัวใจแกร่งกระตุกอย่างไม่เคยเป็น ใบหน้าคมค่อยๆ เงยขึ้นช้าๆจนกระทั่งสายตาประสานกับคนมาใหม่
‘สวย…’
นั่นคือคำแรกที่ผุดขึ้นในใจของพัฒน์ วโรรัตน์ ดวงตาคมเข้มมองหน้าเรียวสวยนิ่งเฉย แต่ในหัวกลับเก็บภาพดวงหน้างดงามไว้ วิสุทธิ์เห็นท่าทีตกตะลึงของเจ้านายก็อมยิ้มแล้วเดินออกจากห้อง กาญนรีอยู่กับเขาตามลำพังก็ใจไม่ดี
“มีอะไรก็ว่ามา ผมมีเวลาไม่มากนัก”
“ฉันมาเรื่องมูลนิธิเด็กยากไร้ในสลัมของครูสอางค์” ชื่อที่หลุดออกมาจากริมฝีปากอิ่มรูปกระจับสีชมพู ทำเอาพัฒน์ขยับตัว
“ถ้าจะมาเรื่องการตายของจิตตาภา ผมไม่มีอะไรจะพูด”
“เด็กคนนั้นมาพบคุณก่อนที่เธอจะถูกฆ่าสองวัน”
“คุณก็เลยเหมาว่าผมฆ่าเธอว่างั้น ระวังเจอข้อหาหมิ่นประมาทนะหมอ” พูดจบเขาก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วเดินอ้อมโต๊ะทำงานมาหยุดตรงหน้าเธอ กาญนรีถอยห่างแต่ความรีบร้อนทำให้เธอสะดุดเท้าตัวเองจะล้ม โชคดีที่มือหนาคว้าข้อมือเธอไว้ทัน เขาออกแรงเบาๆ เธอก็ลอยเข้าไปในวงแขนแกร่ง
“เป็นหมอซุ่มซ่ามแบบนี้ได้ไง” เขาถามพลางก้มหน้าลงไปหาจนปลายจมูกโด่งห่างจากแก้มปลั่งไม่ถึงเซนติเมตร กาญนรีใจเต้นแรง ดิ้นออกจากวงแขนแข็งแรง
“ปล่อยเลย ไม่ต้องมาเบี่ยงเบนความสนใจ เมื่อคืนเธอบอกฉันเองว่ามีคุณเท่านั้นที่จะช่วยได้”
คิ้วดกหนาขมวดมุ่ยด้วยความแปลกใจ คนที่ตายไปแล้วจะบอกเล่าเรื่องราวได้ยังไง กาญนรีเห็นเขาเงียบไปก็ยิ่งเข้าใจผิดคิดว่าเขาตกใจ
“ตลกหรือเปล่าหมอ จิตตาภาตายสองวันแล้ว เมื่อคืนคุณจะพบเธอได้ยังไง ถ้าอยากออกเดตกับผมก็หาวิธีที่เนียนกว่านี้หน่อยนะ”
“ยี้ อีตาบ้า หลงตัวเองสุดๆ หน้าโหลอย่างคุณมีเกลื่อนไป” เธอเบ้ปาก ดิ้นออกจากวงแขนเขา
พัฒน์มองปากจิ้มลิ้มที่อยู่ห่างไม่ถึงคืบ ปากอิ่มรูปกระจับน่าจูบเป็นบ้า ขอจูบหน่อยนะแล้วจะรับผิดชอบเองคนสวย…
เร็วเท่าความคิด ปากหนาก็ฉกวูบลงไปจูบริมฝีปากนุ่ม กาญนรีสะดุ้งดิ้นรนสุดกำลัง มือเล็กทั้งหยิกทั้งข่วนเขาเพื่อเอาตัวรอด แต่เขาไม่สะทกสะท้านหรือเจ็บปวดแม้แต่น้อย ความหวานล้ำทำเอาพัฒน์อยากลิ้มรสหวานนั้นต่อ เขาและเล็มกดย้ำกลีบปากนุ่มจนแดงก่ำ กาญนรีดิ้นรนแต่เขาไม่ยอมหยุด เธอจึงกระแทกส้นรองเท้าสูงลงบนรองเท้าคู่ใหญ่
“โอ๊ย…” พัฒน์ร้องเพราะความเจ็บแล้วถอยไปนั่งบนโซฟา ส่วนกาญนรีถอยไปยืนหน้าแดงหอบหายใจหลังโต๊ะทำงานเขา
“เจ้าพ่อตัณหากลับ คอยดูนะ ฉันจะหาหลักฐานมาเอาคุณเข้าคุกให้ได้” คุณหมอสาวบอกอย่างโมโหพลางยกมือลูบแก้มลูบปากตัวเอง
*** ขอบคุณคร้า ***
