2.ดวงจิตผูกพัน
*** ทักทายคร้า ***
หมอกในยามเช้าปกคลุมไปทั่วบริเวณบ้านทรงไทยล้านนาหลังงาม อากาศเย็นสดชื่นเหมาะกับการพักผ่อน ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์หลายคนต่างตื่นนอนค่อนข้างสาย ในจำนวนนั้นคงยกเว้นเอื้องเทียน ซึ่งเช้าๆ วันหยุดแบบนี้ อาจารย์สาวจะตื่นเช้าหุงข้าวและทำอาหารเพื่อเตรียมใส่บาตรเหมือนทุกวัน
ร่างบอบบางในชุดกางเกงผ้าฝ้ายสีฟ้าสวมเสื้อยืดขาวพอดีตัวยืนรอใส่บาตรอยู่หน้าบ้าน โดยมีรัมภาผู้เป็นแม่จัดโต๊ะวางอาหารและผลไม้อยู่ใกล้ๆ ร่างโปร่งระหงพนมมือกราบพระอย่างอ่อนช้อย
“พระมาแล้วค่ะแม่” เสียงหวานใสบอก เอื้องเทียนกอดเอวหนามารดา รัมภายิ้มอย่างเอ็นดูก่อนที่จะพาบุตรสาวพนมมืออธิษฐาน อุทิศบุญให้เทพที่คุ้มครองตนและบุตรสาว รวมไปถึงเจ้ากรรมนายเวร วิญญาณที่ทุกข์อยู่ในนรกภูมิให้ได้รับผลบุญที่เธอและบุตรสาวทำให้ทุกๆ วัน
พระสงฆ์เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าอย่างสำรวมแล้วเปิดฝาบาตรออกเพื่อรับบิณฑบาตอาหาร รัมภาและเอื้องเทียนหยิบถุงกับข้าว ถุงข้าว และผลไม้ใส่ลงในบาตร เสร็จแล้วสองแม่ลูกก็นั่งพนมมือรับพรจากพระอย่างสงบ หลังรับพรเสร็จ เอื้องเทียนก็พยุงมารดาลุกขึ้น ครั้นมองไปด้านหลังของพระสงฆ์องค์เดิม อาจารย์สาวถึงกับนิ่งงันประคองมารดานิ่งอยู่กับที่ ผู้หญิงแต่งชุดไทยประยุกต์สีฟ้ายืนยิ้มให้เธออย่างอ่อนหวาน รัมภามองหน้าบุตรสาวอย่างแปลกใจ
“มีอะไรเอื้อง”
“เปล่าค่ะแม่”
“สิ่งพิเศษที่อยู่ในตัวของโยม ใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเองและประเทศนะโยม” เสียงแหบแห้งเอ่ยออกมาอย่างเมตตา เอื้องเทียนและรัมภาพนมมือไหว้อย่างเลื่อมใส
“แต่เอื้องไม่อยากจะรับรู้เรื่องแบบนี้หรอกค่ะหลวงตา” หญิงสาวบอกพลางมองไปยังสาวชุดไทยที่ยังยืนอยู่ที่เดิม
“คนที่ปรากฏตัวให้เห็นเคยผูกพันกับโยมมาแต่ชาติก่อน ขอให้โยมตั้งมั่นทำความดีและถือศีลภาวนาอย่าได้ขาด แล้วทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นกับโยมจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี” ว่าแล้วหลวงตาก็เดินจากไปพร้อมกับร่างหญิงในชุดไทยก็หายไป
“เห็นอีกแล้วเหรอลูก” นางรัมภาเอ่ยถาม ยกมือลูบแขนบุตรสาวอย่างเห็นใจ เพราะนางรู้มาตลอดว่าลูกสาวและลูกชายต้องทนอยู่กับภาพต่างๆ ที่คนอื่นไม่สามารถมองเห็นได้มานานแล้ว
“ค่ะแม่” หญิงสาวตอบ แล้วช่วยมารดายกของเข้าไปในบ้านไม้หลังงามที่ค่อนข้างเงียบสงบ ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ความร่มรื่นไปทั่วบ้านเรือนไทยหลังงาม
“เตรียมกระเป๋าเสร็จหรือยังเอื้อง” รัมภาเอ่ยถามบุตรสาวที่ต้องเดินทางไปทำงานไกลบ้าน เอื้องเทียนวางถาดและโถข้าวบนโต๊ะในห้องครัว แล้วเดินมาหามารดาที่ห้องนั่งเล่น
“เสร็จแล้วค่ะ” ร่างบอบบางล้มตัวลงนอนหนุนตักอุ่น นางรัมภายิ้มเอ็นดู มืออูมลูบศีรษะเล็กอย่างแสนรัก เอื้องเทียนจับมือมารดามาวางไว้บนอก
“ไปเที่ยวนี้คงไม่ได้กินกับข้าวฝีมือแม่หลายวันเลย สงสัยน้ำหนักคงลดไปหลายกิโลแน่ๆ” เสียงหวานใสบอกอย่างเอาใจมารดา รัมภายิ้มบีบจมูกรั้นของลูกสาวเบาๆ
“จ้า อาจารย์ก็กลับมากินวันหยุดก็ได้นี่จ๊ะ”
“แม่อยู่คนเดียวนานนะคะเที่ยวนี้ ไม่รู้งานจะเสร็จเมื่อไหร่” หล่อนบอกพลางกอดเอวหนาของมารดา
“คนเดียวที่ไหนกัน กำไล นายหวัง สมคิด แม่สร้อย แล้วก็ตาหมายก็อยู่” ดวงตาผู้เป็นมารดามองใบหน้านวลเนียนสะอาดหมดจดและดวงตากลมโตสีสนิมใสของบุตรสาว “แล้วไปพักกันที่ไหนล่ะจ๊ะ”
“พักที่บ้านที่อยู่ในเขตสำรวจค่ะ เห็นลุงโชคบอกว่าเป็นบ้านเรือนไทยที่เจ้าของอนุญาตให้อยู่ได้ชั่วคราว ชื่อคุณหญิงอะไรสักอย่างนี่ล่ะค่ะ เอื้องจำไม่ได้”
ร่างบอบบางลุกขึ้นนั่ง เอนศีรษะซบไหล่มารดา
“ทุกที่มีเจ้าที่ปกป้องคุ้มครองอยู่ ไปอยู่บ้านท่านก็ต้องขออนุญาตนะลูก” รัมภากุมมือบางของลูกสาวแล้วกล่าวเตือนเสียงนุ่มนวล
“จ้ะ” เอื้องเทียนยกแขนเรียวโอบกอดมารดาอย่างประจบ
“แล้วแวะไปหาพี่เขาด้วยล่ะ” นางรัมภาเอ่ยถึงชัชชลบุตรชายที่เป็นนายอำเภออยู่ในอำเภอหนึ่งของจังหวัดกาญจนบุรี
“ต้องแวะไปสิคะ ยังไงแม่ก็ต้องให้เอาของฝากไปให้พี่ว่านอยู่แล้ว” เอื้องเทียนยิ้มอย่างรู้ใจมารดา
รัมภาหัวเราะเบาๆ หลายปีที่นางเฝ้าอบรมลูกทั้งสองให้เติบโตมาเป็นคนดี มีเมตตา และต้องช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากอย่าได้ขาด ลูกทั้งสองคนของนางก็ไม่เคยสร้างความผิดหวังสักครั้ง
โมกข์ขับรถเข้ามาจอดที่หน้าตึกสีขาวทรงยุโรปที่ปลูกอยู่ภายในเนื้อที่กว้างขวาง ด้านหน้าเป็นสนามหญ้าเขียวขจี ต้นไม้ดอกไม้ปลูกประดับประดาอย่างกลมกลืน
ร่างสูงสง่าในชุดกางเกงยีนสีซีดกับเสื้อคอกลมสีขาวสวมทับด้วยเสื้อสูทสีดำเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ของบ้านปราบยุทธการ คุณหญิงแจ่มจรัสมองคนที่เดินเข้ามาแววตายินดี โมกข์ยิ้มกว้างเดินเข้าไปกอดมารดาอย่างเอาใจ
“คิดถึงแม่จังเลย” เอ่ยเสียงทุ้มพลางโยกร่างบอบบางของผู้เป็นแม่ คุณหญิงยิ้มพร้อมกับลูบแผ่นหลังกว้าง
“ไม่มาวันอาทิตย์เลยล่ะพ่อคุณ”
โมกข์หัวเราะกับคำประชดของมารดา ร่างสูงนั่งลงกอดมารดาแล้วจูบแก้มเบาๆ
“ตำรวจไทยงานเยอะนี่ครับ จะเอาเวลาหลวงกลับบ้านก็กลัวท่านอธิปสั่งขังกันพอดี” โมกข์บอกมารดายิ้มๆ ขณะรับแก้วน้ำเย็นจากเด็กรับใช้
“นินทาอะไรพ่ออีกล่ะไอ้เสือ” อธิปในชุดตำรวจเดินยิ้มเข้ามาอย่างอารมณ์ดี โมกข์หันไปมองและยกมือไหว้บิดา
“นิดหน่อยครับพ่อ” ชายหนุ่มบอกบิดา สายตาคมมองไปยังร่างบอบบางในชุดนักศึกษาของน้องสาวที่เดินเข้ามาในห้อง
“โอ้โฮ วันนี้ฟ้าฝนคงตกหนัก ลูกชายบ้านนี้กลับบ้านด้วย” ปาริฉัตรยกมือไหว้บุพการีและพี่ชาย
“ทำไมกลับบ้านช้าจังล่ะยัยมิน” โมกข์มองน้องสาวที่เข้าไปนั่งขนาบข้างมารดา
“มินมีประชุมที่คณะน่ะค่ะ อยู่กันพร้อมหน้าพอดีเลย มินขออนุญาตออกท้องที่นะคะ” ปาริฉัตรเอ่ยเสียงเกรงๆ พลางมองไปที่บิดาที่นั่งอยู่
“ไม่อนุญาต” โมกข์บอกเสียงเข้ม
“พี่โมกข์อะ ฟังยังไม่ทันจบเลยก็ไม่อนุญาตแล้ว” ลูกสาวคนเล็กของบ้านหน้างอง้ำเมื่อถูกขัดใจ พลตำรวจเอกอธิปหัวเราะเบาๆ
“ฟังน้องก่อนสิตาโมกข์” มารดาเอ่ยพลางหันไปหาบุตรสาว ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“คราวนี้ไปที่ไหนล่ะ” อธิปถามบุตรสาว
“เมืองกาญฯ ค่ะพ่อ”
“งานสำรวจวัตถุโบราณที่เพิ่งค้นพบเมื่อสองวันก่อนใช่ไหม” อธิปเอ่ยถาม เสียงเริ่มเครียดจนบุตรชายต้องหันไปมองสบตากับบิดา
“ใช่ค่ะ พ่อรู้ได้ยังไงคะ” ปาริฉัตรมองบิดาอย่างแปลกใจเมื่อเห็นแววตาฉายกังวล อธิปหันมองโมกข์ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องทำงาน โมกข์มองตามหลังบิดาแล้วเดินตามไป
“เป็นอะไรกันไปหมดคะคุณแม่ มินก็ออกท้องที่เหมือนทุกครั้งนี่นา” ดวงตาคมวาวใสมองประตูห้องทำงานของบิดางอนๆ คุณหญิงแจ่มจรัสยกมือลูบผมดำสลวยของลูกสาวคนเล็กอย่างเอ็นดู
“พ่อเขาคงมีเหตุผลของเขาน่ะลูก เดี๋ยวก็ออกมาบอกเองนั่นแหละ แม่ว่ามินไปอาบน้ำก่อนดีกว่าเดี๋ยวจะได้กินข้าวกัน”
คุณหญิงมองร่างบอบบางในชุดนักศึกษาเดินขึ้นบันไดไป
****
