สื่อรักแรงพิศวาส

63.0K · จบแล้ว
ทรายสีเงิน
35
บท
3.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

เธอเกิดมาพร้อมกับสิ่งที่คนอื่นไม่มี และเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น โมกข์นายตำรวจหนุ่มอนาคตไกลมาเพื่อปกป้องสมบัติของชาติ ด้วยดวงจิตที่ผูกพันในชาติปางก่อนทำให้เขาและเธอได้โคจรมาพบกันอีกครั้ง พร้อมกับสร้างตำนานความรักอันหวานละมุน... “ผมเป็นห่วง อธิษฐานให้คุณกลับมาทุกๆ นาที” โมกข์บอกเสียงนุ่ม เอื้องเทียนขยับตัวลุกขึ้นนั่ง วงแขนแข็งแรงรั้งเธอเข้ามากอดอย่างอ่อนโยน “สองวันที่เอื้องไม่รู้สึกตัว ใจผมแทบขาดรู้ไหม กลัวใครจะพรากคุณไปจากผม” โมกข์บอกเสียงนุ่ม จุมพิตกระหม่อมเล็กอย่างแสนรัก พร้อมกระชับอ้อมกอดแน่นเข้าไปอีก “ไม่มีใครเอาฉันไปจากคุณได้หรอกค่ะ” ลำแขนกลมกลึงโอบเอวหนาจากด้านหลัง ซบหน้ากับอกอุ่น “ผมอาจจะไม่ใช่ผู้ชายที่ดีมากมายอะไร แต่ผมก็รักคุณและพร้อมจะเป็นสามีและพ่อของลูกให้ดีที่สุด เท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้” เอื้องเทียนนั่งนิ่ง หัวใจดวงน้อยพองคับอกและอุ่นซ่านขึ้นมากับสิ่งที่ชายหนุ่มเอ่ยออกมา….

นิยายรักโรแมนติกประธานตำรวจข้ามมิติเกิดใหม่แฟนตาซี รักหวานๆ

1.บทนำ

*** ทักทายคร้า ***

กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง

เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงดังรบกวนผู้พันหนุ่มที่กำลังหลับอย่างมีความสุข มือใหญ่ควานหาเครื่องมือสื่อสารที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างหงุดหงิด เพราะเมื่อคืนวิ่งไล่จับพวกค้ายาเสพติดมาทั้งคืนกว่าจะได้เข้านอนก็เกือบตีสาม นิ้วแกร่งกดรับทันทีที่หาโทรศัพท์เจอ

“ฮัลโหล โทรมาอะไรตั้งแต่เช้าจ่ายิ้ม” เสียงพันตำรวจเอกโมกข์ ปราบยุทธการ กรอกไปตามสาย แต่ยังหลับตาอยู่

“จ่ายิ้มจ่าเยิ้มที่ไหนกัน นี่แม่เองนะตาโมกข์”

เมื่อรู้ว่าคนที่โทรมาหาเป็นใคร ร่างสูงก็สะดุ้งตื่น ตาสว่างทันที

“สวัสดีครับคุณหญิงแจ่มจรัส มีอะไรให้กระผมรับใช้ขอรับ” โมกข์เอ่ยชื่อเต็มของผู้เป็นแม่ นี่ถ้าเขาอยู่ใกล้ๆ คงได้รับค้อนงามๆ จากแม่เขาเป็นแน่

“ไม่ต้องมาเรียกชื่อแม่เต็มยศแบบนี้เลยนะตาโมกข์ ที่โทรมาเนี่ย อยากจะให้คุณลูกกลับบ้านวันเสาร์นี้ได้ไหมเจ้าคะ เพราะมีเรื่องจะปรึกษา”

สิ้นเสียงมารดา โมกข์ปล่อยเสียงหัวเราะออกไปตามสายกับคำประชดประชันของผู้ให้กำเนิด เขาไม่ได้กลับบ้านมาเกือบเดือนทั้งๆ ที่บ้านก็อยู่ไม่ไกล และเขาเลือกที่จะอยู่บ้านพักตำรวจเพราะใกล้ที่ทำงาน

“วันนี้ยังไงผมตั้งใจจะกลับอยู่แล้วครับ คิดถึงแม่ใจจะขาด” ชายหนุ่มบอกเสียงอ้อนเอาใจมารดา ร่างสูงลุกจากเตียงเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม

“ไม่ต้องมาพูดดี แม่ดูข่าวเมื่อคืนแล้วนะโมกข์ ดูแลตัวเองตัวนะจ๊ะ แม่รักลูก”

โมกข์นิ่งไปกับน้ำเสียงเครือๆ ของมารดาที่ดังแว่วมาตามสาย เขารับรู้ถึงความห่วงใยของมารดาทุกครั้งที่เขามีข่าวปะทะกับแก๊งค้ายาเสพติด

“แม่ครับ ร้องไห้อีกแล้วนะครับ เดี๋ยวท่านอธิปก็ดุเอาอีกหรอก” ชายหนุ่มทำเสียงหยอกเย้ามารดา เพราะทุกครั้งที่เป็นห่วงเขา พ่อของเขาที่เป็นถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็จะบอกเสมอว่าลูกเกิดมาเพื่อทดแทนบุญคุณของแผ่นดิน อย่าเสียใจถ้าพ่อและเขาต้องตายในหน้าที่

“พ่อเราก็อีกคน เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ไม่เคยคิดถึงใจคนที่รอและห่วงตัวเองอยู่ที่บ้านเลยจริงๆ”

เสียงบ่นดังมาตามสาย โมกข์ยิ้มเมื่อได้ยินเสียงบิดาพูดหยอกล้อดังเข้ามาในเครื่องให้ได้ยิน โมกข์และพ่อเข้าใจความห่วงใยของมารดาเสมอและคำพูดเหล่านี้เขาได้ยินมาตั้งแต่เด็ก และทุกครั้งที่พ่อออกไปจับคนร้าย แม่ของเขาก็จะนั่งรอพ่อที่ห้องพระ พร้อมสวดมนต์ให้พระคุ้มครองพ่อ โมกข์คุยกับมารดาได้สักพักก็วางสายและอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน

ร่างสูงสง่าสวมเครื่องแบบตำรวจเดินเข้าไปในกองปราบ หลายคนหยุดทำความเคารพผู้บังคับบัญชา โมกข์เดินเข้าไปในห้องทำงาน มีจ่ายิ้มและจ่าแสวงยืนรออยู่ในห้อง

“สวัสดีครับผู้พัน” จ่ายิ้มและจ่าแสวงยืดตัวตรงทำความเคารพ

“ไอ้เบิ้มมันเปิดปากบอกชื่อคนที่อยู่ในแก๊งมันบ้างหรือยัง” โมกข์ถามก่อนเปิดอ่านรายงานการจับกุมยาเสพติดล็อตใหญ่ที่สุดในรอบปี

“เริ่มเผยออกมาแล้วสองสามคนครับ รายชื่ออยู่ในบัญชีดำทั้งหมด” จ่ายิ้มรายงานพร้อมส่งแฟ้มประวัติคนร้ายให้ชายหนุ่ม

“ดี สอบมันจนกว่าจะยอมเปิดปาก”

“ครับผม” สองจ่ารับคำสั่งแล้วหันหลังเดินกลับออกไปจากห้อง

“เอ่อ เสาร์นี้ท่านโทรมากำชับให้ผู้พันกลับบ้านนะครับ” จ่าแสวงหันมาบอกโมกข์

ชายหนุ่มชะงักแล้วมองผู้ใต้บังคับบัญชา

“รู้แล้ว นี่ท่านก็โทรมาปลุกตั้งแต่เช้า” โมกข์บอกจ่าแสวงเสร็จก็ก้มหน้าอ่านเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานต่อ

อีกมุมหนึ่งของกรุงเทพฯ เอื้องเทียน สุนทรฉาย นักโบราณคดีและอาจารย์สอนพิเศษของมหาวิทยาลัยชื่อดังนั่งทำงานบนตึกหอศิลป์ที่เต็มไปด้วยวัตถุโบราณหลายชิ้นวางอยู่ตรงหน้า ดวงตากลมโตภายใต้แว่นสายตานั้นดำขลับ แก้มเนียนใสรับกับริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูธรรมชาติ ผมดำขลับยาวสลวยถูกรวบไว้ด้วยหนังยาง เสียงเรียกดังขึ้นที่หน้าห้องทำงานทำให้เอื้องเทียนละลายจากแว่นขยายที่กำลังส่องดูเครื่องลายครามตรงหน้า

“อาจารย์เอื้องคะ ท่านโชคชัยให้ไปพบค่ะ” เสียงหวานของเลขาฯ หน้าห้องทำให้ร่างโปร่งระหงลุกขึ้นและยิ้มสดใสส่งให้คนตรงหน้า

“ขอบใจนะสดสวย เอารายงานไปพิมพ์ให้อาจารย์ด้วยนะ” หญิงสาวส่งเอกสารให้เลขาฯ ร่างอวบที่ไม่สวยเหมือนชื่อ ก่อนที่จะเดินออกจากห้องเอื้องเทียนหันหลังกลับมาสั่งงานอีกครั้งเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอนัดนักศึกษาเอาไว้

“ฝากบอกเด็กๆ ให้รอก่อน เดี๋ยวอาจารย์มา”

“ได้ค่ะอาจารย์”

ร่างโปร่งระหงในชุดกระโปรงสีขาวเสมอเข่ากับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าพอดีตัวของเอื้องเทียนเดินมาหยุดหน้าประตูบานใหญ่ที่มีป้ายบอกชื่อพร้อมตำแหน่งต่อท้าย มือบางยกขึ้นเคาะประตูห้องของผู้บังคับบัญชาแล้วก้าวเข้าไปเมื่อได้ยินเสียงอนุญาต

“นั่งสิอาจารย์เอื้อง” ชายวัยห้าสิบสองที่มีศักดิ์เป็นทั้งผู้บังคับบัญชาและลุงของหญิงสาวยิ้มทักทายอย่างเอ็นดู

เอื้องเทียนพนมมือไหว้ก่อนที่จะนั่งลงตามคำสั่ง

“ไง ยัยเอื้อง กลับจากแหล่งสำรวจที่ภูเวียงเพิ่งได้เจอกัน แล้วแม่เราสบายดีนะ” ดอกเตอร์โชคชัยถามถึงรัมภาน้องสาว

“สบายดีค่ะ แม่ฝากของมาให้คุณลุงกับคุณป้าด้วยนะคะ เดี๋ยวเอื้องให้สดสวยเอามาให้”

“งานที่เอื้องไปสำรวจ ทางกระทรวงพอใจมากและให้ทุนกับมหาลัยเราสำรวจแหล่งโบราณคดีอีกหลายแห่ง แต่ที่ด่วนๆ น่าจะเป็นที่เมืองกาญฯ รายละเอียดอยู่ในแฟ้ม เอื้องลองไปศึกษาดู”

“ทีมงานที่ไปยังเป็นทีมเดิมใช่ไหมคะ” หญิงสาวเปิดแฟ้มอ่านรายละเอียดคร่าวๆ

“ทีมเดิม ส่วนเรื่องงบประมาณนั้นจะมากกว่าเดิม เพราะโบราณวัตถุของเพื่อนบ้านเราหายไป ทางตำรวจค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะอยู่ในงานนี้ด้วย” ดอกเตอร์โชคชัยเล่ารายละเอียดเพิ่มเติม ดูท่างานนี้คงไม่ใช่แค่การสำรวจหาโบราณวัตถุธรรมดาเสียแล้ว

“ดูท่าทางคุณลุงหนักใจกับเรื่องนี้นะคะ” เอื้องเทียนเงยหน้าขึ้นมองสบตาคมกล้านั้นขณะวางแฟ้มไว้บนโต๊ะ

“ใช่...ระวังตัวด้วยนะเอื้อง งานนี้กลิ่นไม่ค่อยดีเท่าไร”

“พวกค้าวัตถุโบราณคงต้องการของสิ่งนี้ด้วยใช่ไหมคะ” หล่อนถามยิ้มๆ หลายครั้งที่หญิงสาวออกสำรวจสมบัติของชาติที่บรรพบุรุษอุตส่าห์สะสมไว้ให้เป็นสมบัติของชาติ ก็มีคนบางจำพวกนำเอาวัตถุโบราณไปขายให้ชาวต่างชาติ พวกนี้จะทำกันเป็นขบวนการซึ่งยากต่อการจับกุมเพราะผู้มีอิทธิพลเข้ามามีเอี่ยวด้วย

เอื้องเทียนเดินออกจากห้องผู้เป็นลุง ใบหน้าสวยของอาจารย์สาวค่อนข้างเคร่งเครียดและหนักใจกับงานใหม่ที่ต้องทำ

“สดสวยจ๊ะ ส่งอีเมลบอกทีมงานสำรวจที่เมืองกาญฯ เข้าประชุมบ่ายโมงพรุ่งนี้นะ” เอื้องเทียนส่งรายละเอียดให้เลขาฯ ส่วนตัว แล้วเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงาน

กมล กานดา ปาริฉัตร และอดิศร นักศึกษาฝึกงานของกรมศิลป์นั่งรอหญิงสาวอยู่ในห้อง

“หวัดดีครับ/ค่ะ อาจารย์” ทุกคนลุกขึ้นทำความเคารพอาจารย์สาว เอื้องเทียนยิ้มทักทายลูกศิษย์ แล้วเดินไปนั่งเก้าอี้หัวโต๊ะตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ซึ่งมีโครงกระดูกมนุษย์วางอยู่บนโต๊ะ

“งานด่วนเหรอครับอาจารย์” อดิศรหัวหน้ากลุ่มถามพลางรับเอกสารจากอาจารย์

“ใช่ แต่งานเที่ยวนี้อาจจะเสี่ยงนิดหน่อย อาจารย์เลยไม่อยากบังคับ แล้วแต่ว่าใครจะสมัครใจดีกว่า” เอื้องเทียนมองหน้าของลูกศิษย์ ใบหน้าเนียนใสเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม

“เสี่ยงมากเหรอครับ” อดิศรที่เป็นผู้ชายในกลุ่มเพียงคนเดียวถามแล้วเปิดเอกสารอ่าน

“ใช่ เพราะเป็นการค้นหาวัตถุโบราณสำคัญในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และโบราณวัตถุของประเทศเพื่อนบ้านเราเองถูกขโมยออกมาพร้อมกับสงครามจบลง ทางการคิดว่าของเหล่านั้นถูกฝังอยู่ในจังหวัดที่เราจะไป”

“พวกค้าของเก่าก็คงจ้องอยู่ด้วยใช่ไหมครับ”

เอื้องเทียนยิ้มให้กับคนพูด “มากกว่านั้นจ้ะ รัฐบาลประเทศเพื่อนบ้านก็คงจ้องอยู่ด้วยเหมือนกัน”

“อายุคงหลายร้อยปีนะคะ” กมลถามอย่างอยากรู้

“ไม่ใช่ร้อย แต่เป็นพันปีทีเดียว” อาจารย์สาวเอ่ยพลางส่งรูปวัตถุโบราณที่พูดถึงให้ทุกคนดู

“โอ้โฮ! สวยมากเลยนะคะ” กมลขยับแว่นจ้องมองภาพวัตถุโบราณสมัยต้นสุโขทัย

“นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่อาจารย์ไม่อยากบังคับพวกเรา”

“อาจารย์คะ พวกเราร่วมงานกันมาปีกว่าแล้วนะคะ ไปไหนก็ต้องไปด้วยกันอยู่แล้ว” กานดาขยับแว่นสายตาบอกอย่างมั่นใจ

“ใช่ค่ะ มินกับมลก็เอาด้วย” ปาริฉัตรบอกพลางหันไปมองร่างผอมบางของกมลที่นั่งอยู่ข้างๆ

“แล้วมีใครไปด้วยคะ” กมลถาม

“ดร.นรินทร์ โกศลสันติ” อาจารย์สาวบอก ก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสีหน้าของลูกศิษย์ เพราะดร.นรินทร์ได้ขึ้นชื่อว่าเคร่งครัดกับกฎระเบียบในการทำงานมาก จนบางครั้งหล่อนเองก็อึดอัดเช่นกัน

“ดร.เคร่งอีกแล้ว” ปาริฉัตรเบ้ปาก

“อาจารย์เขาออกจะดี” กมลแก้ต่างให้คนที่ถูกเอ่ยถึง

“ดีกะผีอะไร ทั้งตัวมีดีอยู่อย่างเดียว...หล่อล่ำสมชายชาตรี” ปาริฉัตรเอ่ยออกมาอย่างที่ใจคิด

“แค่นั้นแหละที่ผู้หญิงเราต้องการ ฮิๆ” กมลหัวเราะ

“เอาล่ะทุกคน พรุ่งนี้จะประชุมเรื่องนี้อีกครั้งตอนบ่ายโมง พร้อมทีมงานของดร.นรินทร์”

เอื้องเทียนยิ้มแล้วปิดการหารือ ร่างโปร่งบางเดินไปหยิบเอกสารและกระเป๋าถือใบเล็กเพื่อกลับบ้าน

***