บทที่ 2 คำสาปเจ็ดชั่วโคตร [2]
Taki Condominium
ชั้น 14 ห้อง 1402
“สาว เอาแค่ของที่จำเป็นก็พอเถอะ ไม่ต้องพิรี้พิไร ของที่ผู้ชายคนนั้นให้ก็ให้คนขนไปทิ้งซะ ไม่ต้องทิ้งร่องรอยอะไรไว้”
แม้จะฟังดูใจร้ายจนคนฟังสะอึก แต่ระมิงค์ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากก้มหน้าก้มตาเก็บแต่หนังสือและข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น ในขณะที่โบนัสที่ตอนนี้อยู่ในร่างหนุ่มหล่อช่วยยกกล่องขึ้นรถเข็น ใบหน้าหล่อเหลาของหนุ่มเจ้าสำอางถูกปกปิดโดยหน้ากากอนามัยและหมวกเบสบอลสีเข้ม ขณะที่แว่นกันแดดแบรนด์หรูเหน็บอยู่ที่เชิ้ตสีขาวอย่างมีสไตล์
เดิมทีเขาไม่ได้คิดจะแต่งตัวจัดเต็มขนาดนี้ แต่เมื่อคิดถึงผู้ชายที่ทำให้เพื่อนสาวอกหักก็อดที่จะสร้างเรื่องสร้างราวไม่ได้ เขาไม่เชื่อว่าคนอย่างผ่านฟ้าจะไม่รู้สึกอะไรเลย
อย่างไรก็ตามเมื่อมองไปยังเพื่อนสาวที่ซึมกะทือราวกับร่างไร้วิญญาณ หัวใจของโบนัสก็เต็มไปด้วยความหดหู่ ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาเก็บข้าวของที่จำเป็นแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายตัดสินใจเองว่าจะทำอะไร
ทั้งสองเก็บข้าวของที่จำเป็นอย่างรวดเร็วและตัดสินใจว่าจะกลับมาขนของใช้อย่างอื่นทิ้ง ระมิงค์ดึงเช็คสิบล้านออกมามองอย่างละล้าละลัง ความรู้สึกอย่างหนึ่งในหัวใจคือไม่ต้องการมีความเกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไปแล้ว เธอไม่รู้ว่าเช็คใบนี้จะทำให้ตัวเองอยู่ในตำแหน่งใดหลังจากนี้ ความไม่ยินยอมพร้อมใจลึกๆ ยังคงมีอยู่
แผลสดขนาดนี้จะให้ตัดขาดได้เลยมันคงเป็นไปได้ยาก
มากกว่าความต้องการเงินสิบล้านตรงนี้ คือศักดิ์ศรีของเธอ แต่ระมิงค์ก็รู้ว่าศักดิ์ศรีมันกินไม่ได้
ขณะที่กำลังลังเลอยู่นั้นโบนัสก็ยกกล่องหนังสือมาวางไว้ที่หน้าห้อง เวลาต่อมาเสียงกุกกักที่ประตูก็ดังขึ้น
แกร็ก…
ทั้งสองหันไปมองที่ประตูพร้อมกัน ทันใดนั้นก็พบกับดวงตาสีเขียวมรกตที่เต็มไปด้วยพายุอารมณ์อันรุนแรง ร่างสูงชะลูดของชายหนุ่มราวกับผาสูงที่ยากจะพิชิต ด้านหลังคือหญิงสาวสวยที่มีใบหน้าราวกับตุ๊กตากระเบื้อง
ระมิงค์เบิกตากว้าง หัวใจร่วงหล่นไปที่ตาตุ่ม แต่เมื่อคิดว่าคนตรงหน้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธออีกต่อไปแล้วมือที่กำลังจะฉีกเช็คทิ้งก็กำมันไว้แน่น มองไปที่ชายตรงหน้าด้วยสีหน้าที่พยายามปรับให้เรียบนิ่ง
มันคือดวงตาคู่พิเศษที่เธอหลงใหลตั้งแต่แรกเห็น ดวงตาที่ตรึงวิญญาณของเธอไว้และกลายเป็นผู้หญิงโง่งมที่ศรัทธาในความรัก
“เธอจะไปไหน” ชายเจ้าของนัยน์ตาสีมรกตหรี่ตาลงอย่างอันตรายเมื่อเห็นข้าวของที่อยู่ในกล่องลังและกระเป๋าใบใหญ่ ความรู้สึกโกรธและความเสียศูนย์เข้ามาปะทะอย่างจังจนแทบยืนไม่ไหว หากแต่เขาซ่อนอารมณ์ได้อย่างแนบเนียนจนอีกฝ่ายไม่ทันสังเกต
ระมิงค์ไม่ได้สังเกตสายตานั้นเพราะเธอไม่คิดจะมองหน้าเขาตั้งแต่แรก หญิงสาวเสมองไปทางอื่นด้วยความอึดอัดและพูดเสียงแหบพร่าว่า “ฉันจะย้ายออก ในเมื่อเราเลิกกันแล้วฉันก็ไม่ควรจะอยู่ในห้องของคุณอีกต่อไป”
แม้แต่คำแทนตัวจาก ‘มิงค์’ ก็ถูกเปลี่ยนเป็น ‘ฉัน’ และหลังจากนี้จะไม่มี ‘พี่ฟ้า’ อีกต่อไป แต่เป็น ‘คุณ’ ที่เคยรู้จัก
หัวตาของระมิงค์ร้อนผะผ่าว ทว่าเธอไม่ได้ร้องไห้ เพียงแต่ก้มหน้าหยิบลังขึ้นมาวางบนกระเป๋าลากแล้วเงยหน้ามองเขาเป็นครั้งสุดท้าย “อีกสองวันฉันจะให้คนมาขนข้าวของทั้งหมดไปทิ้ง คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ฉันจะทำให้มันเป็นเหมือนห้องใหม่อย่างแน่นอน” ริมฝีปากได้รูปบิดเป็นรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา ซ่อนความอ่อนแอไว้ภายใต้เปลือกอันแข็งกระด้าง
เธอหันไปทางโบนัสที่ยกลังขึ้นมาด้วยพลังช้างสารก่อนจะพูดว่า “ไปกันเถอะที่รัก”
โบนัสชะงัก กระแอมเบาๆ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเข้ม “อืม”
“เดี๋ยวก่อน เธอจะไปอยู่ที่ไหน ฉันไม่ได้ใจร้ายถึงขั้นจะให้เธอย้ายออกทันทีหรอกนะ” ผ่านฟ้าข่มอารมณ์ขุ่นมัวในหัวใจ หากไม่ใช่เพราะฝ่ามือเล็กๆ ของน้องสาวคอยบีบไว้เกรงว่าเขาจะพุ่งไปต่อยหน้าชายร่างสูงที่มาพร้อมกับระมิงค์แล้ว
“ฉันจะไปอยู่กับเขา” ระมิงค์ตอบเสียงแผ่ว ไม่อยากอธิบายเพิ่มเติม
แม้แต่หางเสียงคะขาที่เขาเคยใช้กับเธอก็เปลี่ยนไปเช่นกัน จากที่เคยเรียกตัวเองว่า ‘พี่’ ตอนนี้กลับแทนตัวเองว่า ‘ฉัน’ ราวกับต้องการจะยืนยันว่าทุกสิ่งมันจะไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
เขาใจร้ายเหลือเกิน
แต่เพราะคำพูดของระมิงค์ ผ่านฟ้าจึงหรี่ตาลงอย่างอันตราย “ไปอยู่บ้านผู้ชายไว้ใจได้แค่ไหนเชียว”
ความน้อยเนื้อต่ำใจของระมิงค์พลันแปรเปลี่ยนเป็นโทสะในทันใดเมื่อได้ยินคำพูดของผ่านฟ้า เธอเงยหน้าขึ้น จ้องเขาด้วยดวงตาแดงก่ำพร้อมกับกล่าวลอดไรฟัน “ไว้ใจได้หรือไม่ได้มันเกี่ยวอะไรกับคุณเหรอคะ”
ใบหน้าสวยปรากฏรอยยิ้มหยันพร้อมกับหัวเราะอย่างเจ็บปวด
“คนที่ฉันไว้ใจมาเกือบห้าปียังทำร้ายฉันได้ คุณมีเหตุผลอะไรที่จะห้ามไม่ให้ฉันไว้ใจคนอื่น อันที่จริงคุณเป็นคนเดียวที่ไม่มีสิทธิ์พูดคำนี้ใช่ไหม”
“…” ใบหน้าของผ่านฟ้าชาวาบ พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ เขามองระมิงค์ราวกับเพิ่งรู้จักเธอ แต่ขณะเดียวกันความไม่พอใจก็ถูกกดไว้อย่างลึกซึ้งเพียงเพราะสิ่งที่เธอพูด
ไม่มีตรงไหนผิดเลย
เขาทำลายความไว้วางใจที่มีมาเกือบห้าปีอย่างไม่มีชิ้นดี
เขามีสิทธิ์อะไรเล่า?
โบนัสเห็นฉากนี้ดวงตาก็เป็นประกายวาบ หัวใจของคนเป็นแม่เต็มไปด้วยความปลื้มปีติที่ลูกสาวของตัวเองกล้าต่อปากต่อคำ
มันต้องแบบนี้สิ!
