บทที่4.จบตอน
“แต่อาว่าไปทำงานอย่างอื่นบ้างก็ได้นะ” เสียงคุณอัคคีดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงสง่างามไม่เปลี่ยนเดินเข้ามา ใบหน้าหล่อเหลาที่มีหนวดเหนือริมฝีปากนั้นพร้อมกับมือที่ถือไม้ตะพดมาด้วยทำให้สิงหราชนึกหวั่นอยู่ไม่น้อย อัจฉรียาพรรีบลนลานลงจากตักกว้างของคู่หมั้นหนุ่มแล้วรีบเดินไปเกาะแขนบิดาอย่างหาที่พึ่ง ใบหน้างามแดงก่ำแอบแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ชายหนุ่มอย่างเหนือกว่าทันที
“สวัสดีครับคุณพ่อ..” สิงหราชตีมึนขยับฐานะขึ้นมาทันที
“ยังไม่แต่ง ยังไม่ต้องเรียกพ่อโว้ยไอ้หลานชาย..”
“เอ่อ แต่ผมว่าฝึกเรียกไว้ดีกว่าครับจะได้ไม่เขินกัน”
“ไม่ต้อง รอให้ถึงวันแต่งแล้วค่อยเรียก”
“เอ่อ คุณพ่อไฟขามาหาอิ่มอุ่นถึงที่นี่มีอะไรรึเปล่าคะ ความจริงให้เด็กๆ มาตามก็ได้” สำนักงานบริษัทของเธอตั้งอยู่ในบริเวณบ้านอันกว้างใหญ่ที่ถูกจัดสรรไว้อย่างลงตัวและเป็นสัดส่วนโดยมีประตูเชื่อมต่อระหว่างบริษัทกับบ้านหลังงามโออ่า แต่ภายในปีหน้าจะย้ายส่วนของการผลิตไปที่โรงงานใหญ่ซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่อีกที่หนึ่งซึ่งเป็นที่มรดกที่เธอได้จากคุณย่าของตน
“พ่ออยากจะให้อิ่มอุ่นพาไปชอปปิงปืนสักกระบอก รู้สึกปืนที่มีอยู่มันจะไม่ค่อยถนัดมือ” คุณอัคคีพูดถึงเรื่องการซื้อปืนเหมือนการเดินชอปปิงสินค้าทั่วไป
“แหม คุณพ่อครับผมไปเป็นเพื่อนดีกว่าครับ เรื่องปืนผาหน้าไม้นี่ไว้ใจสิงโตได้เลยครับ รับรองได้ของถูกใจ” สิงหราชรีบเสนอตัวแม้รู้ดีว่าว่าที่พ่อตาประชดกับตน แต่ไม่เข้าถ้ำเสือก็ไม่ได้ลูกสาวแสนสวยของพ่อเสือน่ะสิ
“นั่นสิคะพี่ไฟ ให้ตาสิงโตไปเป็นเพื่อนดีกว่า อ้อนฝากชอปเผื่อสักกระบอกนะคะ จะเอามาไว้ยิงพวกขัดขวางความเจริญของลูกสาวคนสวยของอ้อนค่ะ” คุณอโนมาเดินเข้ามาสมทบพูดขึ้นยิ้มๆ แล้วรับไหว้ชายหนุ่มที่หมายมั่นอยากได้มาเป็นเขย สิงหราชรู้ได้ทันทีว่าควรจะอยู่ข้างไหนรีบเดินมาประคองคุณอโนมาไปนั่งที่โซฟารับแขกทั้งกุลีกุจอหาน้ำท่ามาบริการว่าที่แม่ยายเป็นการใหญ่โดยสองพ่อลูกได้แต่ยืนมองสิงหราชกับคุณอโนมาแล้วก็หันมาสบตากันแล้วถอนใจเบาๆ
“เดี๋ยวพ่อช่วยจัดการไม่ต้องห่วง วันนี้ปล่อยไอ้คนเจ้าเล่ห์ไปก่อน” คุณอัคคีกระซิบบอกลูกสาวคนสวยซึ่งอัจฉรียาพรก็ตอบรับเบาๆ
อัจฉรียาพรนั่งหน้ามุ่ยพอๆ กับฉัตรที่กำลังทำหน้าเซ็งแสนเซ็ง เพราะปัญหาความรักที่รุมเร้า สองเพื่อนรักนั่งพลิกซ้ายพลิกขวาอย่างอัดอั้นตันใจ...
“ไม่รู้ป่านนี่วาริสเป็นไงบ้าง ไม่ติดต่อกลับมาเลย ไม่รู้ทางบ้านเขาจะว่ายังไง ฉัตรเป็นห่วงวาริสจริง นี่หากวันนี้เขาไม่ติดต่อกลับมาฉัตรจะไปตามวาริสที่อิตาลี”
“อิ่มอุ่นไปด้วยนะ”
“ได้สิ แต่ว่า..” ฉัตรทำท่าสยองเมื่อนึกถึงอุปสรรคของเพื่อนสาว
“ไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องนี้เราจะรู้กันแค่สองคน”
“แล้วนี่อิ่มอุ่นตกลงจะแต่งงานกับอีตาสิงโตนั่นจริงๆ ใช่ไหม”
“ก็ยังไม่อยากแต่งหรอก” หญิงสาวเสียงอ่อย แต่เพื่อนรักมองตาโต
“อ้าววว แล้วทำเรื่องให้มันใหญ่โตถึงขั้นหมั้นหมายกันแล้วนี่ เพื่ออะไรยะนาง”
“ก็ตอนแรกคิดแค่ว่าอยากจะแกล้งยายนกกระแตนั่น แต่พี่สิงโตน่ะสิ แทนที่จะวิ่งหนีไม่ยอมรับกลับให้คุณลุงคุณป้ามาสู่ขอหมั้นหมายเฉยเลย พอถึงขั้นนั้นแล้วอิ่มอุ่นก็ไม่กล้าปฏิเสธเพราะทุกคนอยู่พร้อมหน้า คิดว่าหมั้นไปก่อนแกล้งให้ยายนกอัดอั้นตันใจ คือแค่จะแกล้งเขาสองคนเท่านั้นเอง...” อัจฉรียาพรโอดครวญ
“สมน้ำหน้าดีไหมนี่”
“ไม่ดี อิ่มอุ่นไม่ได้อยากแต่งงาน”
“นั่นก็แสดงว่าพี่สิงโตของเธออยากแต่ง” คำพูดของฉัตราทำให้อัจฉรียาพรหน้าตื่น
“ไม่จริงหรอก.. พี่สิงโตน่ะร้ายกาจจะตาย ก็คงแค่อยากจะเอาชนะอิ่มอุ่นแน่ๆ”
“ก็ไม่รู้สินะ แต่ฉัตรมั่นใจว่าพี่สิงโตของอิ่มอุ่นอยากมีเมียจนตัวสั่น ฮ่าๆ” ฉัตรยิ้มหัวออกมาได้แต่อัจฉรียาพรยิ้มไม่ออก
“ฉัตรน่ะ นี่ตกลงเมื่อกี่เศร้าจริงหรือหลอก” อัจฉรียาพรหน้าง้ำใส่เพื่อนรัก
“โอ๋ๆ อย่าเพิ่งงอน ฉัตรเองก็เครียด แต่พอนึกถึงหน้าหล่อๆ ของพี่สิงโตของอิ่มอุ่นแล้วก็พอหายเครียดได้บ้าง”
“พี่สิงโตไม่ใช่ของอิ่มอุ่น” หญิงสาวแย้ง
“โอเคๆ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ตอนนี้ไม่ใช่แต่ต่อไปไม่แน่..”
“ฉัตร..” อัจฉรียาพรลากเสียงยาวมองเพื่อนอย่างขุ่นเคือง
“โอเคๆ ไม่ล้อแล้ว แล้วนี่คิดจะทำไงต่อ”
“กำลังวางแผนให้ยายนกกระแตนั่นมาเป็นตัวป่วนเพื่อจะได้ยกเลิกงานแต่ง”
“คิดดีแล้วเหรอ”
“หมายความว่าไง”
“ก็หมายความว่าอิ่มอุ่นไม่แคร์พี่สิงโตและคิดว่ายายนั่นจะไม่ลามปาม ฉัตรกลัวว่าเรื่องมันจะเกินเลยไปกันใหญ่น่ะสิ” ฉัตรทำท่าครุ่นคิด
“ก็คิดอยู่ แต่ทำไงได้อิ่มอุ่นไม่อยากแต่งงานตอนนี้นี่แล้วพี่สิงโตก็ไม่ชัดเจน..”
“นี่ขนาดไม่ชัดเจนนะ” ฉัตรกรอกตาไม่อยากเชื่อเลยว่าเพื่อนสาวจะไร้เดียงสาขนาดนี้ ผู้ชายเขาแสดงออกชัดเจนว่ารักหลงตัวเสียขนาดนั้นเจ้าตัวยังดูไม่ออกอีก
“หมายความว่าไง..”
“โอ้ยยย ไม่หมายความว่าไงหรอกย่ะ.. แต่เดี๋ยวนะ เสียงโทรศัพท์ฉัน วาริสโทร. มา กรี๊ดดด..” ฉัตรดีดตัวลึกขึ้นจากโซฟาเบดตัวใหญ่ที่นอนเกลือกกลิ้งกันอยู่แล้ววิ่งไปหยิบโทรศัพท์มารับทันที...
“วาริส ยูหายไปไหนมารู้ไหมว่าฉัตรเป็นห่วง..” พูดไปพร้อมทั้งน้ำตาไหลไป อัจฉรียาพรได้แต่มองเพื่อนรักแล้วน้ำตาซึมไปด้วย...
ปานชนกหงุดหงิดใจที่ไม่สามารถติดต่อสิงหราชได้ทั้งไปหาที่ทำงานก็ไม่พบเหมือนว่าเขาพยายามหลบเลี่ยงที่จะพบเธอ ไปหาศศิก็พบว่าศศิทำงานอยู่และไม่สามารถลางานกลางคันได้เหมือนเมื่อก่อน ตอนนี้เธอแทบจะไม่มีเพื่อนเลยเพราะทุกคนเริ่มเห็นฐานะที่แท้จริงของเธอแล้วและพากันค่อยๆ ตีจากไปทีละคนๆ และเธอก็กลัวว่าศศิจะตีจากไปอีกคน
“อ้าว นก ฉันนึกว่าเธอกลับไปแล้ว” ศศิทำหน้าแปลกใจเมื่อเห็นปานชนกยังคงรอพบเธออยู่
“ฉันไม่รู้จะไปไหน ช่วงนี้เซ็งๆ”
“เหรอ คนอย่างเธอนี่นะไม่รู้จะไปไหน” ศศิทำหน้าไม่อยากเชื่อ
“ก็ใช่น่ะสิ ทำไมล่ะ” ปานชนกไหวไหล่น้อยๆ แล้วถามในสิ่งที่แอบสงสัยมานาน
“ว่าแต่ทีมบริหารงานใหม่ของพ่อฉันทำงานดีไหม” เธอไม่บอกศศิหรอกว่าบิดาของตนไม่ได้เป็นเจ้าของบริษัทแล้วเพราะเธอยังจะหลอกใช้ศศิอยู่
“ก็ดีนะ ดีกว่าชุดเก่าเยอะเลย พนักงานแฮปปี้ดี ฉันก็มีเพื่อนแล้ว” ศศิบอกเสียงใสหน้าตาดูสดใสขึ้นจนปานชนกอิจฉา
“ก็นั่นล่ะ พ่อฉันบอกว่าทีมงานเก่าไม่ได้เรื่องก็เลยเปลี่ยนทีมใหม่ โอเคใช่ไหม”
“ช่าย แต่ฉันก็ยังไม่เคยเห็นหน้าท่านประธานบอร์ดคนใหม่นะ เห็นพี่ๆ บอกว่าจะประกาศให้ทราบทั่วกันในวันเลี้ยงปีใหม่”
“อ้อเหรอ.. ฉันก็อยากเห็นเหมือนกันคุณพ่อไม่ยอมบอกเลยว่าเป็นใคร เก็บเป็นความลับน่าดู”
“แล้วเธอกินอะไรมารึยัง โรงอาหารของที่นี่ก็มีร้านอร่อยๆ หลายร้านนะ ไปลองกินมั้ย”
“อี๊ ไม่อ่ะ ฉันไม่เคยกินอาหารในโรงอาหารแบบนี้ สะอาดรึเปล่าก็ไม่รู้” ปานชนกทำท่าสยดสยองจนน่าหมั่นไส้ ศศิแอบเบ้ปากแล้วถอนใจ
“งั้นฉันไปก่อนนะ เพราะต้องมาทำงานตอนบ่ายวันนี้หัวหน้ามีประชุมจะมีฉันอยู่ประจำเคาน์เตอร์แค่คนเดียว” ศศิลุกขึ้นแล้วเดินไปก่อนโดยไม่ชวนซ้ำ
ปานชนกมองตามศศิไปด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก ปกติศศิไม่เคยหันหลังให้เธอหรือเธอจะเสียศศิไปอีกคน ไม่นะ ศศิเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ.. ปานชนกคิดอย่างกลัดกลุ้ม ใจดวงน้อยรู้สึกเคว้งคว้างอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เธอมาที่บริษัทหลายครั้งในฐานะลูกสาวของเจ้าของบริษัทแต่ไม่เคยเดินสำรวจอะไรในที่แห่งนี้เลย ยิ่งโรงอาหารของพนักงานหรือแผนกต่างๆ ก็ไม่เคยได้สนใจ เพราะมาถึงก็มักจะอยู่แค่ห้องทำงานของบิดามาเพื่อมาขอเงินไปเที่ยวแล้วก็กลับ เธอไม่เคยรู้เลยว่าในบริษัทของตนมีแผนกอะไรบ้าง มีพนักงานกี่คนหรือรายละเอียดต่างๆ ก็ไม่เคยรู้ เพราะคิดว่าหากบิดาจะสืบทอดตำแหน่งให้เธอก็แค่มานั่งบริหารชี้นิ้วสั่งการอย่างเดียวเท่านั้นพอ หรือไม่ก็สั่งงานให้เลขาไปดำเนินการแทน ง่ายๆ เพียงเท่านี้เอง...
แค่มีเงินทุกอย่างก็จบ ใครอยากได้เงินก็ต้องทำงานให้เธอ แต่ตอนนี้เธอแทบไม่มีเงินติดตัวเลย จนต้องแอบเอากระเป๋าแบรนด์เนมไปขาย โดยให้สาวใช้นำไปขายให้เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายไปวันๆ
“แล้วเราจะทำไงต่อไปดีนะ สิงโตคือทางรอดทางเดียวของเรา..” ว่าแล้วปานชนกก็ลุกขึ้นเดินไปขึ้นรถของตนแล้วขับออกไป ยังดีที่รถคันนี้ไม่ได้ผ่อนส่งแล้วและมันเป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวที่เธอยังไม่ยอมให้บิดาขาย
ชัชมองตามปานชนกไปอย่างไม่ค่อยไว้วางใจ เพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้เธอเหลือแค่เปลือกนอกเท่านั้น ส่วนคุณเกรียงไกรก็พยายามจะกลับเข้ามามีส่วนได้ส่วนเสียในบริษัทและพยายามทวงบุญคุณที่เคยช่วยเหลือเขากับแม่ นั่นเองเป็นเหตุผลที่เขากับสิงหราชไม่อยากบอกใครว่า คนที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือตัวเขาเอง เพราะหากรู้ว่าเป็นเขาคุณเกรียงไกรคงคลั่งและคิดเอาหนี้บุญคุณมากดดันเขาหรืออาจจะสร้างความลำบากใจให้กับเขามากกว่าที่เป็นอยู่ ตอนนี้เขาสวมบทบทหัวหน้าแผนก รปภ. เพื่อตบตาคนอื่นไปก่อนและเพื่อหาข้อมูลต่างๆ ในบริษัททั้งเรื่องความโปร่งใส สวัสดิการ การทำงานของพนักงานแต่ละคน และเพื่อสืบหาความจริงบางอย่าง ที่คุณเกรียงไกรพยายามปกปิดมันไว้...
แต่เขากลัวว่าคุณเกรียงไกรจะใช้ปานชนกเป็นเหยื่อล่อหรือใช้เพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่เขาต้องการ แม้ปานชนกจะดูร้าย แต่ปานชนกก็ไม่ได้เป็นคนเลว...
หลังจากที่ปานชนกออกมาจากบริษัทที่เคยเป็นของบิดาตนหญิงสาวก็แวะเปลี่ยนชุดในปั๊มแห่งหนึ่งแล้วซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ติดไม้ติดมือแล้วนำรถมาจอดไว้ปากทางเข้าซอยแห่งหนึ่งก่อนจะเดินเข้าซอยไปไม่ไกลก็ถึง บ้านแม่มะลิ บ้านไม้สองชั้นในบริเวณราวสองไร่เศษ
ที่นี่เป็นสถานรับเลี้ยงเด็กในคราวแรกๆ แต่พอมีคนเอาลูกหลานมาฝากเลี้ยงแล้วก็ทิ้งหนีหายไปไม่มารับอยู่หลายคน จากสถานรับเลี้ยงเด็กธรรมดาก็กลายเป็นบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าไปโดยปริยาย แต่ก็มีบ้างที่ชาวบ้านละแวกนี้เอาลูกหลานมาจ้างให้เลี้ยงดู แต่รายได้ก็ไม่พอสำหรับเลี้ยงดูแลเด็กกำพร้ากว่าสิบคน
“พี่ลูกนกมาแล้ว” เสียงเด็กๆ ร้องลั่นแล้วก็พากันมารุมล้อมหญิงสาวไว้ ปานชนกยิ้มให้เด็กๆ แล้วส่งถุงขนมให้เด็กๆ ไปแบ่งกันก่อนจะเดินไปหา แม่มะลิ ผู้เป็นเจ้าของบ้าน..
“หายหน้าไปนานเลยนะคุณนก”
“ช่วงนี้ยุ่งไ ค่ะ มีปัญหาหลายอย่าง” แล้วปานชนกก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านฟัง แม่มะลิหญิงวัยห้าสิบเศษท่าทางใจดีอ่อนโยนและนางก็เป็นผู้ฟังที่ดีและเป็นอีกคนหนึ่งที่เธอให้ความเคารพรัก นางรู้ว่าเธอเป็นใครแต่ปานชนกไม่อยากบอกให้ใครรู้ว่าเธอมาทำอะไรที่นี่บ้าง
ชีวิตในวัยเด็กที่ขาดความอบอุ่นอ้างว้างทำให้ปานชนกโหยหาความรัก เธอรู้จกที่นี่เพราะความบังเอิญและเมา คืนหนึ่งเธอไปเที่ยวผับกับเพื่อนๆ อีกกลุ่มหนึ่งและถูกวางยาจะถูกผู้ชายกลุ่มหนึ่งลากไปข่มเหง แต่เด็กๆ ในบ้านหลังนี้กับแม่มะลิซึ่งกำลังช่วยกันขายของอยู่หน้าผับเห็นเหตุการณ์เข้าและตามไปช่วยเธอไว้ได้ทัน เธอพักอยู่ที่บ้านแม่มะลิหลายวันเพราะกำลังตกใจและหวาดกลัว ซึ่งตอนแรกเธอรู้สึกรังเกียจและดูถูกแม่มะลิกับเด็กๆ แต่เมื่อเห็นแววตาใสๆ กับความน่ารักไร้เดียงสาของเด็กๆ ทำให้เธอผ่อนคลายและนึกขอบคุณเด็กๆ กับแม่มะลิที่ช่วยเหลือเธอไว้เพราะหากไม่มีพวกเขาป่านนี้เธอไม่รู้จะตกอยู่ในสภาพไหน..
“นกไม่รู้จะทำยังไงค่ะ”
“ก็แค่ปล่อยวาง.. ของบางอย่างมันถือหนักก็วางมันลงนะคะ ยอมรับสภาพความเป็นจริงเราจะได้ไม่ทุกข์มาก”
“พูดง่ายแต่ทำยากนะคะ นกพยายามแล้ว แต่ นกอาย..”
“มาที่นี่คุณยังไม่อายเลย มันก็เหมือนๆ กันนั่นล่ะค่ะ” ปานชนกมองใบหน้าอ่อนโยนของแม่มะลินิ่ง
“นกผิดใช่ไหมคะที่คิดจะแย่งชิงคิดทำลายความรักของพวกเขาแต่หากนกไม่ทำ ไม่ได้สิงโตมานกจะอยู่ยังไงตอนนี้นกไม่เหลืออะไรเลยไม่เลยสักอย่าง..” ปานชนกน้ำตาซึมตอนนี้สาวมั่นกล้าแกร่งเหมือนเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่หลงทาง
“ใครว่าละคะ คุณนกต้นทุนดีกว่าคนอื่นๆ คุณนกมีความรู้ฉลาดเฉลียว และสวยมากด้วย คุณนกยังมีคอนโดที่เป็นของตัวเองอยู่ อย่างน้อยๆ มันก็เป็นของคุณ คุณมีความรู้หากไปสมัครงานที่ไหนใครๆ ก็อยากได้ตัว อย่าดูถูกตัวเองสิคะ คนที่ลำบากกว่าคุณนกมีเยอะแยะ คุณนกดีกว่าพวกเขาเหล่านั้นนะคะ” ปานชนกนิ่งและคิดตามคำพูดของแม่มะลิ
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยทำให้นกตาสว่าง”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณนกเองก็มีบุญคุณกับเด็กๆ และคอยช่วยเหลือพวกเรามาเสมอ ตอนนี้คุณนกลำบากเราช่วยได้ก็คือให้กำลังใจ..”
ปานชนกยิ้มบางๆ อย่างขอบคุณแล้วอยู่คุยกับแม่มะลิและเด็กๆ อยู่จนเย็นจึงกลับไป แทบไม่มีใครรู้เลยว่าเบื้องหลังท่าทางหยิ่องผยองเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อนั้นปานชนกก็มีมุมที่ดีๆ และช่วยทำประโยชน์ให้คนอื่นอยู่มาก เธอให้ทุนการศึกษาเด็กๆ พวกนี้ทุกปีรวมระยะเวลาก็กว่าห้าปีมาแล้วที่เธอทำเช่นนี้ แต่ตอนนี้ปานชนกกำลังลำบากเธอคงต้องช่วยเหลือตัวเองก่อน แต่หญิงสาวก็อดห่วงเด็กๆ ไม่ได้เพราะพวกเขายังต้องการความช่วยเหลือด้านทุนการศึกษาอยู่
ทุกความเคลื่อนไหวของปานชนกนั้นอยู่ในสายตาของใครบางคนอยู่เสมอ เพราะเขาคอยสะกดรอยตามเธอมานาน...
