บทที่ 4 . ยิ่งหนียิ่งรักเธอ
สามสาวกับหนึ่งหนุ่มขี่ม้าเหยาะๆ ไปตามทุ่งกว้างอย่างเพลิดเพลิน คุ้มอินจำปามีเนื้อที่กว่าร้อยไร่ ซึ่งถูกจัดสรรเป็นสัดส่วนเพื่อทำธุรกิจในครอบครัวหลายอย่างไม่รวมปางไม้และธุรกิจการส่งออกผลไม้เมืองเหนือและไร่สตรอว์เบอร์รี่และรีสอร์ต ซึ่งสามารถขี่ม้าชมไร่สตรอว์เบอร์รี่ได้พร้อมทั้งสามารถขึ้นไปชมหมู่บ้านชาวเขาได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีสวนผักปลอดสารที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดและเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันขึ้นชื่ออีกด้วยโดยแรงงานในไร่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนในพื้นที่และพ่อเลี้ยงอินคำกับแม่เลี้ยงเกศราก็เป็นที่รักของชาวบ้าน เพราะครอบครัวอภิปัญญาเป็นเสมือนผู้ให้โอกาสพวกเขาได้มีอาชีพทำกินไม่ต้องปลูกฝิ่นและไม่ต้องไปรับจ้างหางานในเมืองใหญ่
พวกชาวบ้านได้อยู่บ้านและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับงานที่ทำเพราะนอกจากจะได้ค่าแรงที่สมเหตุผลยังมีสวัสดิการที่ดีอีกด้วย และเด็กๆ ชาวเขาก็ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนประจำหมู่บ้านที่ครอบครัวอภิปัญญาสร้างขึ้นเพื่อให้ชาวบ้านได้เรียนหนังสือได้มีความรู้ติดตัว เด็กๆ เยาวชนมีอนาคตที่สดใสบางคนไปเล่าเรียนถึงเมืองนอกด้วยทุนการศึกษาที่พ่อเลี้ยงจัดสรรไว้ให้ บางคนได้ไปเรียนในเมืองและกลับมาพัฒนาบ้านเกิดสร้างความภาคภูมิใจให้กับครอบครัวและชุมชน เรียกได้ว่าครอบครัวอภิปัญญาเป็นเสมือนหนึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้านเป็นที่รักเคารพรักอย่างที่สุดเลยทีเดียว
“พี่สิงโตกับพี่อิ่มอุ่นขา ถ่ายรูปหน่อยค่า หันมาๆ ยืนชิดๆ กันหน่อยสิคะ ชิดอีกๆ” เสียงแจ๋วๆ ของน้องสาวสั่งการให้คู่หมั้นหนุ่มสาวถ่ายรูปด้วยกัน อัจฉรียาพรอิดออดเพราะไม่อยากเข้าใกล้คนตัวโตที่มักคอยมาวนๆ เวียนๆ ทำตัวติดเธอทั้งวันและยังชอบแอบหอมแก้มของเธอด้วย
“พี่สิงโตไม่ต้องชิดมากได้ไหม” หญิงสาวหันไปถลึงตามองคนที่พยายามโอบเอวเล็กเข้าไปชิด
“ไม่ได้ ก็กระต่ายบอกให้ชิดๆ กัน” สิงหราชผู้ทำตามคำสั่งของน้องสาวอย่างเคร่งครัดตอบหน้าตาย
“แต่ไม่ต้องชิดมากก็ได้”
“โธ่แล้วแบบนี้มันจะเป็นรูปคู่รักได้ไงล่ะครับ”
“เราไม่ใช่คู่รัก” หญิงสาวแย้งอย่างไม่ยอมแพ้
“ใช่ครับเพราะเราเป็นคู่หมั้นกัน”
“แต่เราไม่ได้รักกัน”
“คิดไปเองคนเดียว..” สิงหราชว่า
“อะไรนะ..” อัจฉรียาพรเงยหน้าถามอย่างไม่เข้าใจและคิดว่าตนเองฟังอะไรผิดไปหรือเปล่า
“ยืนดีๆ มาตรงนี้มา” ชายหนุ่มไม่ตอบแต่จับร่างระหงมายืนตรงหน้าแล้วโอบเอวบางเข้ามาพร้อมกับเกยคางแกร่งลงบนบ่าบอบบางยิ้มให้กล้องอย่างสดใสและแสนจะเต็มใจ ซึ่งสิริรดาก็กดชัตเตอร์รัวๆ ในขณะที่หนุ่มสาวกำลังทำศึกกันเงียบๆ
“ปล่อยได้แล้ว อิ่มอุ่นอัดอึดนะ ไม่ต้องมากอด”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า อีกหน่อยเราแต่งงานกันพี่จะทำมากกว่ากอด” สิงหราชยั่วเย้าแก้มสาวแดงก่ำขึ้นมาทันที
“คนบ้า อิ่มอุ่นไม่อยากแต่งงานกับคนแก่หื่นกามนะ”
“อะไรกันครับ อิ่มอุ่นคิดไปถึงไหน”
“อี๊ คนบ้าๆๆ นี่แน่ะๆๆ” ด้วยความขัดเขินและใจสั่นหวั่นไหวกับรอยยิ้มยั่วเย้าของเขาอัจฉรียาพรก็อดไม่ได้จะทุบคนหน้ามึนไปหลายๆ ที สิงหราชหัวเราะชอบใจวิ่งหนีกำปั้นน้อยๆ ของสาวเจ้าอย่างสนุกสนาน ภาพหนุ่มสาวที่วิ่งหยอกเย้ากันอยู่ในแปลงสตรอว์เบอร์รี่ดูน่ารักและเต็มไปด้วยความสุข สมกับเป็นคู่หมายที่เหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก สายตาของทุกคนที่มองสิงหราชกับอัจฉรียาพรก็เต็มไปด้วยความชื่นชมทำให้ปานชนกที่เหมือนจะกลายเป็นส่วนเกินร้อนรุ่มด้วยความริษยา
“จำไว้นะ หากแกอยากสบายต้องหาผัวรวยๆ โง่ๆ มาสักคน..” เสียงบิดาดังก้องเข้ามาในหัว
“ผู้ชายรวยๆ โง่ๆ จะไปหาที่ไหนกัน คุณพ่อนี่ก็ไม่รู้จักคิด.. สิงโตก็ไม่ใช่คนโง่ด้วย” หญิงสาวขบคิดอย่างร้อนรนในอก เธอจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ตัวเองมีที่ยืนในสังคม...
คุณอโนมามองสามีที่เดินไปเดินมาอย่างสงสัยจึงเดินเข้าไปหาสามีสุดที่รัก
“มีอะไรคะพี่ไฟ”
“น้องอิ่มอุ่นไปดูเรือนหอ”
“แล้วทำไมคะ” คุณอโนมาขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจ
“ก็ไอ้ว่าที่ลูกเขยอ้อนน่ะสิ มาฉกลูกสาวพี่ไปได้ยังไง..” คราวนี้คุณอโนมาร้องอ๋อในใจ แล้วส่ายหน้าช้าๆอย่างขบขันสามี
“ก็เขาเป็นคู่หมั้นกัน และก็จะต้องแต่งงานกัน เขาไปด้วยกันก็ไม่เห็นแปลกนี่คะ”
“ไม่แปลกแต่พี่ไม่ชอบ” คนหวงลูกสาวหน้าตึงเพราะยังขัดเคืองในสิ่งที่สิงหราชทำไว้ไม่หาย
“เด็กเขารักกันพี่ไฟจะไปขัดขวางเขาทำไมล่ะคะ”
“ใคร ใครรักกัน จะไปรักกันตอนไหน เห็นเจอกันทีไรสิงโตก็ชวนอิ่มอุ่นทะเลาะตลอด”
“ก็รักกันตอนทะเลาะกันไงคะ” คุณอโนมาพูดยิ้มๆ แล้วนั่งลงบนตักกว้างของสามีพร้อมทั้งโอบกอดร่างสูงใหญ่ภูมิฐานของคุณอัคคีไว้หลวมๆ แม้จะร่วมชีวิตกันมากว่ายี่สิบปีแต่ความรักของพวกเขาไม่เคยจืดจางเสื่อมคลาย
“ก็ลองคิดดูสิคะ อาซันกับปลายฝนก็ไม่เห็นจะคุยกันดีๆ สักครั้งยังมีน้องแซมให้เราอุ้มเลย บางครั้งหนุ่มสาวเขาก็มีการแสดงความกันแปลกๆ อย่าบอกนะคะว่าพี่ไฟไม่เคยทำแบบนั้น” คราวนี้ผู้เป็นสามีหน้าแดงก่ำเพราะที่ภรรยาพูดมานั้นเขาก็เคยทำมาก่อน
“แต่ไอ้จอมแสบนั่นแอบล่วงเกินลูกสาวเรา” คนเป็นพ่อยังคงเคืองไม่หาย
“สิงโตก็โดนลูกสาวคุณชกจนเบ้าตาเขียวแถมยังโดนพี่อินคำกับพี่เกศทุกเสียน่วมแล้วนี่คะ ก็ถือว่าเจ๊ากันไป”
“ยังไม่พอหรอก ต้องโดนว่าที่พ่อตากระทืบด้วย” คุณอโนมาหัวเราะเบาๆ กับท่าทางของสามี
“ถ้านนท์รู้ว่าพี่ไฟรักอิ่มอุ่นมากนนท์คงดีใจ..” คุณอโนมาพูดถึงสามีเก่าที่ล่วงลับไปตั้งแต่วันที่เธอคลอดอัจฉรียาพร รัชชานนท์ บิดาของอิ่มอุ่นอายุสั้นนัก แต่ถ้าเขายังอยู่เธอก็คงไม่มีโอกาสได้พบกับอัคคีผู้ชายแสนดีคนนี้ แม้อัคคีไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของอัจฉรียาพรแต่ก็มีศักดิ์เป็นลุงที่สำคัญคุณอัคคีนั้นรักลูกสาวของเธอมาก เหมือนจะมากกว่ารักอาทิตย์วราลูกชายของตนเสียอีก
“อ้อนคิดถึงนนท์ไหม”
“คิดถึงสิคะ เพราะนนท์ก็ยังคงอยู่ในใจอ้อนเสมอ จะให้ลืมเขาก็คงไม่ได้” คุณอัคคียิ้มให้ภรรยาไม่ได้มีความหึงหวงเมื่อเธอพูดถึงสามีเก่า เพราะเขากับรัชชานนท์ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกันและรักกันมาก แต่โชคชะตาก็เล่นตลกกลับไปกลับมาจนเขากับอโนมาได้มารักกันและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
“นั่นล่ะคือเหตุผลว่าทำไมพี่ถึงรักอิ่มอุ่นมากและไม่ชอบที่นายสิงโตจอมเกเรนั้นมารังแกลูกสาวพี่” ในที่สุดคุณอัคคีก็วกกลับมาที่เรื่องเดิมคุณอโนมาหัวเราะเบาๆ เมื่อสามีที่รักไม่ยอมละทิฐิง่ายๆ
“เอาเถอะค่ะ มาถึงขั้นนี้แล้วเรามาช่วยกันให้เด็กๆ เขาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขดีกว่า อย่าลืมนะคะว่าอ้อนก็เป็นแม่และอยากให้ลูกมีความสุข ใครมารังแกลูกของอ้อนก็ไม่ไว้หน้าเหมือนกัน แต่ตอนนี้อ้อนอยากได้ลูกเขยชื่อสิงหราช และอยากอุ้มหลาน ใครก็ห้ามขัดขวาง..” พูดจบก็หอมแก้มสามีหนึ่งทีแล้วลุกขึ้นเดินจากไป คุณอัคคีมองตามภรรยาแล้วถอนใจอย่างปลดปลง
“แสบนักนะอ้อน... ฮึ่ม ไอ้ว่าที่ลูกเขยจอมแสบ เข้าทางแม่ยายเรอะ ฉลาดเป็นกรดนะแก..” คุณอัคคีฮึดอัดขัดใจอยู่คนเดียว...
“ศิ จะกลับบ้านเหรอ” ชัชเห็นศศิกำลังยืนรอรถอยู่จึงเดินเข้าไปทักด้วยความสนิทสนมคุ้นเคย
“อ้าว.. ชัช มาทำอะไรแถวนี้” ศศิยิ้มให้เพื่อนหนุ่มแล้วทำหน้าสงสัยเมื่อเห็นเขาแถวนี้ เพราะปกติหากไม่ใช่การนัดพบกันจะไม่ค่อยเจอหน้ากันนักเธอไม่รู้ว่าตอนนี้ชัชทำอะไร เพราะหลังจากเรียนจบก็แยกย้ายกันและเจอกันตามงานสังสรรค์ต่างๆ มากกว่า
“เรามาทำงาน”
“ชัชทำงานที่นี่เหรอ”
“อืม แล้วศิล่ะ”
“เราทำงานที่นี่” ศศิชี้ไปยังตึกสูงกว่าสามสิบชั้นอันเป็นที่ตั้งสำนักงานที่เธอทำงานอยู่
“เราทำงานแผนกประชาสัมพันธ์น่ะ”
“อ้อ.. ถ้าศิจะกลับบ้าน เราจะไปส่ง”
“ไม่เอาหรอก ศิเกรงใจ” เธอคิดว่าชัชอาจจะขี่มอร์เตอร์ไซค์คันเก่าเหมือนตอนสมัยเรียนแต่เธอก็ยังทำใจนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไม่ได้ เหตุผลคือติดหรูเหมือนปานชนก เหตุผลที่สองคือเธอกลัวความเร็ว...
“ตอนนี้เรามีรถยนต์แล้ว รับรองศิไม่อายใคร” ชัชพูดเหมือนมานั่งในใจจนหญิงสาวรู้สึกหน้าร้อนด้วยความอาย
“จริงๆ ศิก็ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นนะชัช..”
“ไม่เป็นไรเราเข้าใจ เอาล่ะไปเถอะมาเราช่วยถือของ” ศศิยอมเดินไปกับเขาแล้วก็ต้องแปลกใจที่ชัชขับรถคันละหลายสิบล้านแต่เธอก็ไม่กล้าถามว่ารถของเขาเองหรือยืมใครมาขับ จนเมื่อมาถึงบ้านหลังเล็กของเธอในซอยที่ค่อนข้างคับแคบแต่ชัชก็มาส่งเธอถึงบ้าน และเมื่อมาถึงบ้านก็พบว่า น้องสาวของเธอยืนคุยกับชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่หน้าบ้านซึ่งชายคนนั้นเธอจำได้ดี กานต์ ชายหนุ่มเพื่อนบ้านซึ่งมีอาชีพขับวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่เธอไม่ค่อยชอบหน้านักเพราะคิดว่าเขาจะมาจีบ ศรัญรัตนต์ น้องสาวของตน
“นั่นใครน่ะสิ ไว้ใจได้รึเปล่า” ชัชรู้จักศรัญรัตน์แต่ไม่เคยได้พูดคุยกันนักเพราะเด็กสาวไม่ชอบหน้าตนเจอกันทีไรก็มักจะแว้ดๆ ใส่เขาเสมอ
“ชัชเข้าบ้านก่อนไหม ไหนๆ ก็มาแล้ว ให้เราตอบแทนเลี้ยงข้าวสักมื้อ”
“ก็ได้.. หิวพอดี” ชายหนุ่มยิ้มให้เพื่อนสาวบางๆ ก่อนจะลงจากรถเดินตามศศิไป...
“พี่ศิ พาเขามาทำไม..” ศรัญรัตน์หน้างอถามตรงๆ โดยไม่สนใจคนที่เดินตามหลังพี่สาวมา
“น้องรัน..” ศศิขึงตามองน้องสาว ศรัญรัตน์หน้างอแล้วยกมือไหว้ชันอย่างเสียไม่ได้
“หวัดดีค่ะ”
“หวัดดี” ชัชปรายตามองสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มแล้วยิ้มบางๆ ให้ชายหนุ่มที่ยืนข้างๆ กัน
“หวัดดีครับ ผมชัชเป็นเพื่อนศิ” ชัชเป็นคนอัธยาศัยและรู้ว่าควรวางตัวยังไงเอ่ยทักขึ้นก่อน
“หวัดดีครับ ผมกานต์ เป็นเพื่อนบ้านของศิกับน้องรัน”
“แล้วนี่พี่กานต์มาทำไมคะ ค่ำแล้วไม่กลับบ้านหรือคะ” ศศิมองหนุ่มเพื่อนบ้านอย่างเย็นชา
“พี่มารอศิ”
“มารอทำไมคะ”
“เอ่อ พี่มีเรื่องจะคุยกับศิ”
“เอาเป็นว่าเราเข้าบ้านกันดีกว่า ไปคุยกันในบ้านแบบเป็นส่วนตัวดีกว่าค่ะพี่กานต์ไปค่ะ” ศรัญรัตน์คว้ามือพี่สาวกับกานต์เดินเข้าบ้านไปพร้อมกันโดยที่ศศิทำท่าไม่พอใจน้องสาวแต่ก็ทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่เดินตามน้องสาวเข้าบ้านไปโดยไม่ลืมจะเรียกชัชเข้าไปด้วย ชัชมองภาพตรงหน้าแล้วรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างระหว่างสองพี่น้องกับชายหนุ่มนามว่ากานต์...
“พี่สิงโต ขยับออกไปนะคะ ไม่ต้องมาใกล้เลย..” อัจฉรียาพรผลักคนตัวโตที่มานั่งชิดตนออกไปแต่เหมือนยิ่งผลักก็ยิ่งเหมือนว่าเขาเข้ามาแนบชิดกว่าเดิม สุดท้ายร่างระหงก็ถูกช้อนขึ้นไปนั่งตักกว้าง
“งั้นนั่งตักพี่ก็แล้วกันถ้าอิ่มอุ่นนั่งไม่สบาย..”
“อ๊าย พี่สิงโต ปล่อยเลยนะ” หญิงสาวร้องอย่างขัดใจแล้วก็ต้องหยุดดิ้นเมื่อเขาโน้มใบหน้าสาวเข้าไปใกล้ ใจสาวเต้นตึกตักจนกลัวว่ามันจะทะลุออกมานอกอก
“รู้ไหมเวลาอิ่มอุ่นดื้อนี่ไม่น่ารักเลย”
“ไม่น่ารักก็ไม่ต้องมารัก ปล่อยเลย” คนถูกติว่าไม่น่ารักหน้างอง้ำสิงหราชหัวเราะเบาๆ ยิ่งทำให้เธอไม่พอใจ
“คงไม่ทันแล้วล่ะเพราะ..”
“เพราะอะไร”
“เพราะอิ่มอุ่นจะต้องโดนทำโทษ..” สิงหราชไม่รอให้สาวเจ้าแย้งรีบทำโทษคนดื้อทันที
อัจฉรียาพรรู้สึกชาวาบไปทั้งกายเมื่อริมฝีปากเรียวระเรื่อของตนถูกบดคลึงด้วยเรียวปากร้อนผ่าวของเขา โลกทั้งโลกหมุนคว้างอย่างไร้ทิศทางสมองอันชาญฉลาดมึนมึงไปชั่วขณะใจสาวเต้นสั่นไหวรุนแรงจนรู้สึกเหนื่อยหอบและต้องครางออกมาเบาๆ ด้วยความสับสน รู้สึกซ่านเสียดในช่องท้องทั้งยังรู้สึกเหมือนมีอะไรหมุนๆ มวนๆ ในท้องน้อยอีกด้วย จุมพิตครั้งนี้มันต่างจากคราวแรกที่สิงหราชบังอาจจู่โจมเธอเสียมากมาย ร่างสาวอ่อนระทวยซวนซบกับอกกว้างของเขาเมื่อเรียวปากสาวเป็นอิสระ...
“ว้า.. อิ่มอุ่นเป็นลมไปซะแล้วเหรอ” อกกว้างกระเพื่อมน้อยๆ เพราะหัวเราะ อัจฉรียาพรจึงทุบคนตัวโตอย่างขัดใจและขัดเขิน
“คนบ้า นี่แน่ะ หัวเราะเขาเหรอ”
“โอ๊ยๆ เจ็บนะเนี่ย คนอะไรมือหนักชะมัด” สิงหราชรวบมือน้อยไว้ด้วยมือข้างเดียวแล้วมืออีกข้างก็เชยคงมนให้เงยขึ้นสบตา
“จะตีให้ตายเลยหากรังแกอิ่มอุ่นอีก”
“พี่ให้รังแกคืนก็ได้” ชายหนุ่มบอกนัยน์ตาพราวระยับ
“ไม่..” หญิงสาวค้อนอย่างแง่งอน ขืนรังแกสิงหราชคืนด้วยการจูบแบบนี้ เธอก็ขาดทุนป่นปี้น่ะสิ
“ปล่อยซะทีสิคะ อิ่มอุ่นจะทำงาน”
“นั่งทำใกล้ๆ กันก็ได้”
“แล้วนี่พี่ไม่ทำงานทำการรึไงคะ”
“ก็ทำอยู่นี่ไง งานเฝ้าว่าที่เจ้าสาวก็งานนะครับ”
