บท
ตั้งค่า

บทที่ 8. เรื่องยุ่งๆ

ศรัญรัตน์หน้างอเมื่อพี่สาวติติงเรื่องที่เธอเถียงกับชัชเมื่อวาน ตอนนี้เธอกำลังฝึกงานอยู่และได้ฝึกงานในบริษัทของชัชในตำแหน่งเลขานุการ ปีนี้เธอเรียนจะจบชั้น ปวส. ในสาขาบริหารธุรกิจอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และคิดว่าจะทำงานเพื่อหาประสบการณ์ไปด้วยและเรียนไปด้วย และเธอก็ลงเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงไว้แล้วในคณะบริหารธุรกิจ แม้บุคลิกจะเป็นสาวห้าวขาลุยแต่ศรัญรัตน์เป็นผู้หญิงที่ฉลาดปราดเปรียวชอบงานทางนี้และบุคลิกของเธอก็สวยสดใสมองเพลินตาด้วยใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มพริ้มเพรารูปร่างเล้กบอบบางคล่องแคล่วกระฉับกระเฉงทำงานเรียบร้อยและเป็นระเบียบ ชัชตัดสินใจรับเธอฝึกงานในตำแหน่งเลขาของเขาเพราะเห็นคุณสมบัติในข้อนี้ของเธอแม้จะไม่ค่อยลงรอยกันนักยามอยู่นอกเวลางานแต่เรื่องงานไม่มีปัญหาทั้งสองสามารถทำงานเข้าขากันได้ดี ในระยะเวลาสองเดือนศรัญรัตน์สามารถเรียนรู้งานได้เร็วและเข้าใจรู้ใจเจ้านายอย่างชัชได้อย่างดี

“พี่ศิจะมาดุน้องรันทำไม อีตาพี่ชัชนั้นต่างหากไม่มีเหตุผล สมควรถูกดุ”

“เรียกเขาดีๆ น้องรัน”

“หึ พี่ศิก็เห็นเพื่อนดีกว่าน้องตลอดๆ ล่ะ”

“แม้ตอนนี้จะเลิกงานแล้ว น้องรันควรเรียกชัชเขาดีๆ ตอนนี้สถานะของเขาเปลี่ยนไปแล้ว เราควรให้เกียรติเขาด้วย เดี๋ยวก็ฝึกงานไม่ผ่านหรอก” สองพี่น้องเดินเข้าบ้านด้วยกัน กานต์ซึ่งได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านสองศศิในฐานะสามีของเธอออกมาเปิดประตูให้ ร่างสูงในชุดผ้ากันเปื้อนเดินมาถือของช่วยภรรยาแล้วหอมแก้มนวลของศศิอย่างแสนรัก...

“อี๊ เบื่อจริง.. รักกันเกิ๊น..” ศรัญรัตน์ทำเสียงสูงย่นจมูกใส่พี่สาวกับพี่เขยที่รักกันหวานชื่น

ก่อนหน้านี้ศศิตั้งแง่รังเกียรติกานต์เพราะเห็นว่าเขาขับวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างและศศิอยากจะมีสามีรวยๆ เพื่อยกระดับฐานะของตนให้เท่าเทียมกับปานชนก แต่หลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมันทำให้ศศิเรียนรู้ที่จะมองคนที่คอยอยู่ข้างๆ เธอเสมอทั้งยามทุกข์และยามสุขอย่างกานต์ ตอนแรกศศิคิดว่ากานต์จะมาจีบน้องสาวของตนซึ่งอยู่ในวัยเรียนทำให้เธอไม่ค่อยชอบหน้ากานต์นัก แต่เมื่อรู้ว่าชายหนุ่มตั้งใจจะมาจีบตนบวกกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของปานชนก เธอก็ค่อยๆ หันมองกานต์ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป การร่ำรวยมีเงินทองมากมายมีหน้าตาทางสังคมมันไม่ใช่สิ่งสำคัญหรือทำให้มีความสุขได้เท่ากับการมีครอบครัวที่อบอุ่น มีคนที่รัก มีอาชีพที่สุจริตและอยู่กินกันอย่างพอเพียง ศศิยอมรับว่าตอนนี้เธอมีความสุขมากกว่าตอนที่พยายามทำตัวเป็นคนร่ำรวยและใช่ชีวิตหรูหราตามปานชนกเสียอีก

“เด็กขี้อิจฉา..” ศศิว่าน้องสาวยิ้มๆ แล้วควงแขนสามีเข้าบ้านไปแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงรถมาจอดหน้าบ้าน รถของชัชนั่นเอง แม้ตอนนี้ชัชจะเป็นถึงซีอีโอหนุ่มแต่เขายังขับรถคันเก่าอยู่ ศศิเดินไปเปิดประตูรั้วให้เพื่อนอย่างยินดี ก่อนหน้าเขาขับรถหรูแต่เมื่อเจอปัญหาหญิงสาวมากมายมาป่วนชีวิตชัชจึงกลับมาใช้รถยนต์ญี่ปุ่นเก่าๆ คันเดิม จนบางทีศศิยังล้อเขาบ่อยๆ ว่าเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทองสบายใจกว่า ชัชก็เห็นด้วยตามนั้น

“มีอะไรหรือชัชหรือว่าน้องรันสร้างปัญหาอีก”

“เรื่องนั้นน่ะเกิดขึ้นประจำอยู่แล้ว.. แต่ที่เรามานี่ก็จะมาบอกข่าวเรื่องนกน่ะ” ศศิยิ้มกว้างด้วยความยินดี

“จริงเหรอ แล้วนี่นกกลับมาแล้วเหรอ..”

“ยังหรอก แค่สามารถติดต่อนกได้แล้วเท่านั้นเอง”

“งั้นเข้ามาข้างในก่อนสิ อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันเลย”

“เชิญครับคุณชัช..”

“เรียกชัชเหมือนศิก็ได้ครับ อย่ามาคงมาคุณเลย”

“โอเค งั้นเราเข้าบ้านกันเถอะ..” ชัชยังคงถ่อมตัวเหมือนเดิม สองหนุ่มยิ้มให้กันในขณะที่แม่ครัวสาวยืนหน้ามุ่ยอยู่ในครัวเมื่อเห็นแขกไม่ได้รับเชิญเดินเข้ามาในบ้าน...

ชัชมองสาวน้อยซึ่งเป็นนักศึกษาฝึกงานในตำแหน่งเลขาของตนด้วยแววตาเรียบเฉยแต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ชัชเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคายแบบชายไทยผิวคล้ำเล็กน้อยทำให้เขาดูคมเข้มและดูเคร่งขรึมในบางที ชัชเป็นคนตรงไปตรงมาชนิดที่เรียกว่าขวานผ่าซากเลยทีเดียว แต่ชายหนุ่มก็เป็นคนสุภาพและมีความเป็นสุภาพบุรุษสูงทีเดียวบุคลิกสุภาพนุ่มนวลเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้หญิงสาวหลงใหลคลั่งไคล้เขาได้ไม่ยากและยิ่งตอนนี้เขาไม่ใช่ชัชชายหนุ่มจนๆ กระจอกๆ เหมือนเมื่อก่อนก็ย่อมเนื้อหอมเป็นธรรมดา

“อิ่มแล้วน้องรันขอตัวก่อนนะคะ” ศรัญรัตน์ที่นิ่งฟังพวกพี่ๆ คุยกันเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรตลอดเวลาที่รับประทานอาหารเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งลุกจากเก้าอี้กำลังจะเดินออกไป

“เดี๋ยวก่อนน้องรัน..” ศศิเรียกน้องสาวไว้เมื่อรู้จากชัชว่าวันนี้น้องสาวของตนทำเรื่องไม่น่ารักไว้ก่อนกลับบ้านและเธอเพิ่งรู้จากชัชเมื่อตอนจะเดินเข้าบ้านนี่เอง

“อะไรคะ” สาวน้อยหน้าใสทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ดวงตากลมโตดำขลับดูใสๆ ซื่อๆ แต่ผู้เป็นพี่สาวรู้ดีทีเดียวว่าแบบนี้ล่ะเขาเรียกว่า ดื้อตาใส

“ขอโทษชัชก่อนและเรียกชัชว่า พี่ชัช..” ศรัญรัตน์มีท่าทีต่อต้านคางเล็กเชิดขึ้นเล็กน้อยไม่ยอมพูดอะไร...

“ศรัญรัตน์..” ศศิเรียกน้องสาวเสียเต็มยศ ศรัญรัตน์เม้มปากแน่นก่อนจะหันมามองชัชอย่างไม่พอใจ

“ขอโทษค่ะ พี่ชัช แค่นี้ใช่ไหมคะ น้องรันขอตัว..” พูดจบร่างเล็กก็วิ่งฉิวขึ้นชั้นบนไปทันที

“ศิขอโทษนะชัช ศิตามใจน้องรันมาตั้งแต่เด็กๆ ก็เลยเป็นอย่างที่เห็น” ศศิหันมาขอโทษชัชซึ่งนั่งเงียบไม่พูดอะไร

พ่อแม่ของศศิเสียชีวิตตั้งแต่ศศิเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีที่หนึ่งและในตอนนั้นศรัญรัตน์เพิ่งจะอายุสิบเอ็ดปี ด้วยความที่กลัวว่าน้องสาวจะมีปมด้อยและรักน้องมาก ศศิจึงเอาใจรักใคร่น้องสาวเป็นพิเศษ โชคดีที่ครอบครัวเธอมีฐานะอยู่พอสมควรทำให้สามารถเลี้ยงดูกันมาได้ตลอดรอดฝั่งและญาติๆ ทางพ่อแม่ของเธอก็หยิบยื่นช่วยเหลืออยู่ห่างๆ ก่อนหน้านี้พวกเธออยู่บ้านหลังใหญ่มีแม่บ้านคอยช่วยเหลือดูแล แต่ถึงช่วงระยะเวลาหนึ่งมีปัญหาทางการเงินทำให้ศศิต้องขายบ้านหลังใหญ่เพื่อมาซื้อบ้านหลังเล็กอยู่กันสองคนพี่น้องเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย และจำต้องดูแลกันและกันสองคนพี่น้อง แต่ศศิก็รักและตามใจน้องรันของตนเสมอ แม้น้องรันไม่ได้มีนิสัยฟุ่มเฟือยตรงกันข้ามน้องรันเป็นคนที่มัธยัสถ์อดออมและไม่มีนิสัยฟุ้งเฟ้อเหมือนเธอด้วยซ้ำ แต่เรื่องความแก่นแก้วซุกซนเอาแต่ใจนั้นน้องรันของเธอชนะเลิศเลยทีเดียว

“ไม่เป็นไร น้องรันยังเด็ก”

“ก็เพราะคิดแบบนี้ล่ะ ถึงได้เอาแต่ใจไม่เลิก”

“ศิอย่าบนน้องรันเลย เดี๋ยวก็พาลไม่พอใจชัชมากกว่าเดิมอีก” กานต์ตบหลังมือภรรยาเบาๆ อย่างเข้าใจ

“จะว่าไปวันนี้ น้องรันเองก็ไม่ผิดหรอก..” ชัชเอ่ยออกมาในที่สุด เรื่องของเรื่องก็คือ มีหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเขาเคยควงก่อนหน้านี้แล้วเลิกรากันไป หวนกลับเมื่อเห็นว่าเขาไม่ใช่ชายหนุ่มยากจนกระจอกๆ เหมือนเดิม นัน หรือ ธนันพัชร์ หญิงสาวสวยเริดที่เคยคบหากันสมัยเรียนก็มาขอพบเขาที่บริษัทและบังเอิญเจอกับศรัญรัตน์ทั้งสองเลยมีปากเสียงกันและศรัญรัตน์ก็เผลอผลักธนันพัขร์ล้มจนหัวเข่าแตก ซึ่งเป็นช่วงเวลาพอดีกับที่เขามาพบเหตุการณ์แล้วเกิดเข้าใจผิดว่าศรัญรัตน์ทำร้ายธนันพัชร์และเผลอดุศรัญรัตน์ไปโดยที่ไม่ได้ถามไถ่กันเสียก่อน เพราะเมื่อพนักงานที่เห็นเหตุการณ์บอกว่าธนันพัชร์เข้ามาต่อว่าศรัญรัตน์ว่าหวงก้างไม่ยอมให้เธอเข้าพบเขาและยังดูถูกว่าศรัญรัตน์คิดจะอ่อยหลอกล่อให้เขาหลงเสน่ห์แล้วยังจะตบศรัญรัตน์ด้วย ศรัญรัตน์จึงป้องกันตัว

“แต่น้องรันก็ควรสงบสติอารมณ์มากกว่านี้ ขืนไม่รู้จักยับยั้งใจล่ะก็เกิดเรื่องใหญ่กว่านี้แน่ๆ” ศศิเองก็รูดีว่าน้องสาวนั้นบทจะลุยก็ลุยแหลก

“ช่างเถอะ ว่าแต่ศิอยากไปเยี่ยมนกด้วยกันไหม”

“นี่ชัชรู้แล้วใช่ไหมว่านกอยู่ที่ไหน” ชัชพยักหน้าช้าๆ

“ไปสิ ศิอยากเจอนกอยู่เหมือนกัน”

ศศิพูดออกมาจากใจจริง เพราะถึงอย่างไรปานชนกก็เป็นเพื่อนของพวกตน

“อีกสองวันนะ ศิเตรียมตัวเลย กานต์จะไปด้วยก็ได้นะ”

“พอดีผมต้องไปช่วยเพื่อนวางระบบน้ำในสวนของเขาที่โคราช คงจะไปด้วยไม่ได้” กานต์เป็นคนขยันตอนนี้พื้นที่หลังบ้านกลายเป็นสวนผักไฮโดรโปนิกส์ (hydroponics) ที่สร้างรายได้ให้กับครอบครัวของตนและกานต์เลิกขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างแล้ว และหันมาทำสวนผักไฮโดรโปนิกส์อย่างจริงจังและขยายผลไปยังการทำการเกษตรแบบอื่นๆ ผสมผสานไปด้วย พื้นที่ไร่เศษๆ ภายในบ้านถูกจัดแบ่งออกเป็นสัดส่วนแม้จะอยู่ในชุมชนเมืองแต่กานต์ก็สามารถบริหารจัดการพื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า เพราะเขาได้ไปเรียนรู้ดูงานจากแปลงเกษตรของชาวบ้านที่ทำการเกษตรตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงแล้วจึงเอามาปรับใช้ให้เข้ากับสังคมและพื้นที่ในบ้าน และสอนให้ศศิรู้จักการใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายดำเนินรอยตามคำสอนของในหลวงรัชกาลที่๙ แม้จะอยู่ในสังคมเมืองแต่พวกเขาก็พยายามใช้ชีวิตให้มีความสุขและเรียบง่าย

(ไฮโดรโปนิกส์ (Hydroponics) เป็นการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินแต่ใช้น้ำที่มีธาตุอาหารพืชละลายอยู่ หรือ การปลูกพืชในสารละลายธาตุอาหารพืชทดแทน ซึ่งนับเป็นวิธีการใหม่ในการปลูกพืช โดยเฉพาะการปลูกผักและพืชที่ใช้เป็นอาหาร เนื่องจากประหยัดพื้นที่ และไม่ปนเปื้อนกับสารเคมีต่างๆ ในดินทำให้ได้พืชผักที่สะอาดเป็นอาหาร ปัจจุบันนี้ในเทคนิคการปลูกพืชแบบไร้ดินหลายแบบด้วยกัน ข้อมูลจากกูเกิ้ล)

“ไม่เป็นไรครับ เอาเป็นว่าศิกับน้องรันไปด้วยกันนะ เอาล่ะเดี๋ยวเรากลับก่อน ศิไม่ต้องดุน้องรันแล้วนะเดี๋ยวก็จะพาลแบบที่กานต์ว่า”

“ค่ะ ขับรถดีๆ นะชัช” ศศิเดินออกมาส่งเพื่อนแล้วถอนใจเบาๆ เมื่อนึกถึงน้องสาวของตนที่ป่านนี้คงจะงอนตุ๊บป่องอยู่ในห้อง

“ศิขึ้นไปดูน้องรันเถอะเดี๋ยวพี่เก็บโต๊ะเอง”

“ขอบคุณนะคะพี่กานต์” ศศิโอบกอดสามีแล้วหอมแก้มเขาเบาๆ อย่างขอบคุณก่อจะเดินขึ้นไปหาน้องสาวจอมแก่นของตน

ปลายฝนมองอัจฉรียาพรที่นั่งถอนใจเฮือกแล้วเฮือกเล่าอย่างหนักใจและเห็นใจ สองสามวันมานี้อัจฉรียาพรมาหาเธอที่รีสอร์ตแล้วก็มานั่งซึมอยู่แบบนี้ทั้งวันพอตกเย็นจึงกลับบ้าน...

“ทะเลาะกับพี่สิงโตเหรอ”

“เปล่า” อัจฉรียาพรตอบเบาๆ โดยไม่มองหน้า

“แล้วทำไมทำหน้าเหมือนเบื่อโลก”

“ก็มันน่าเบื่อ”

“เบื่อใคร”

“เบื่อทุกอย่าง..”

“อะไรกัน แต่งงานไม่ทันไรก็กลายเป็นยายแก่ขี้เบื่อ” ปลายฝนว่าเข้าให้ อัจฉรียาพรหันมามองหน้าคุณแม่คนสวยที่สวยเปล่งปลั่งมากขึ้นทุกวันๆ

“ตัวเองมีความสุขแล้วนี่ พี่ซันก็เอาอกเอาใจทั้งแม่ทั้งลูก เชื่องยิ่งกว่าแมวน้อยยังไม่หย่านม”

“ประชดประชันเก่งจัง” ปลายฝนหัวเราะเบาๆ

“แล้วมีอะไรจะเล่าให้ฟังไหมล่ะ อย่าบอกนะว่าไม่มี พูดมาเสียดีๆ อย่าโอ้เอ้” ปลายฝนดักคออย่างรู้ทันเมื่ออัจฉรียาพรอ้าปากจะค้าน

“เบื่อคนรู้ทันอีกอย่างหนึ่ง..” อัจฉรียาพรเบ้ปากอย่างหมั่นไส้คนรู้ทัน ปลายฝนหัวเราะเบาๆ อย่างไม่ถือสา

“ว่ามา รอฟังอยู่”

อัจฉรียาพรถอนใจแล้วเล่าเรื่องที่ตนกังวลให้ปลายฝนฟัง

“แค่นี้เอง..” ปลายฝนเอ่ยขึ้นเมื่อได้ฟังเรื่องราวต่างๆ

“แค่นี่เหรอ ฝนคิดว่ามันแค่นี้เหรอ” อัจฉรียาพรเสียงสูง

“ใช่ แค่นี้เอง เพราะสำหรับฝนแล้ว พี่สิงโตไม่เคยรักยายปานชนกอะไรนั่นเลยแม้แต่น้อย..”

“แต่อิ่มอุ่นได้ยินพี่สิงโตพูดว่ารักนายนกกระแตนั่น..”

“ฟังจบรึเปล่า..” ปลายฝนถามกลับอัจฉรียาพรนั่งงันไปแล้วส่ายหน้าช้าๆ

“นั่นไง ก็เอาแต่ใจแบบนี้ไงเลยมานั่งถอนหายใจเฮือกๆ”

“ยายแก่ขี้บ่น”

“ก็ดีกว่ายายแก่ขี้เบื่อฟังไม่ศัพท์แล้วจับมาใส่ใจจนหน้าแก่ลงไปอีกหลายปี”

“ปากคอเราะร้าย..” อัจฉรียาพรว่าคนที่เติบโตมาด้วยกันแล้วค้อนให้อีกหนึ่งที ปลายฝนหัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้น

“อิ่มอุ่น.. รักพี่สิงโตมั้ย” อัจฉรียาพรนิ่งไม่ตอบแต่หลุบตาลงต่ำเพื่อปกปิดความในใจของตน แต่ปลายฝนนั้นรู้ด้วยสัญชาตญาณของผู้หญิงด้วยกันว่าอัจฉรียาพรนั้นรู้สึกอย่างไร

“อิ่มอุ่นนี่เหมือนพี่ซันตรงท่ามากปากแข็ง แล้วก็เอาแต่ความคิดของตัวเองเป็นใหญ่” อัจฉรียาพรเงยหน้ามองปลายในอย่างงอนๆ ที่ถูกว่าตรงๆ แต่ก็เห็นด้วยว่าตนเองเป็นเช่นนั้นจริงๆ เลยไม่ตอบโต้

“ต้องรอให้เกิดเรื่องร้ายๆ ก่อนจึงจะยอมพูดความในใจแล้วก็ยังคิดเองเออเองในทางลบ”

“แล้วฝนว่าอิ่มอุ่นควรทำไง”

“ก็ถามพี่สิงโตตรงๆ สิ เป็นผัวเมียกันแล้ว ควรเปิดอกคุยกันไม่ใช่คิดเองเออเองแบบนี้”

“แต่..”

“ไม่กล้า..” อัจฉรียาพรพยักหน้าช้าๆ ทำท่าเหมือนจะร้องไห้

“รู้ไหมว่าทำไมเรือนหอของอิ่มอุ่นถึงเหมือนหลุดออกมาจากความฝันของอิ่มอุ่น..” ปลายฝนถามอัจฉรียาพรส่ายหน้าช้าๆ

“ก็เพราะพี่สิงโตสร้างมันมาเพื่ออิ่มอุ่นน่ะสิ..” อัจฉรียาพรตาโตนิ่งงันอย่างคาดไม่ถึง... ปลายฝนยิ้มบางๆ ในแบบของเธอแล้วเล่าเรื่องราวที่มาของเรือนหอหลังงามให้ฟัง...

อัจฉรียาพรกลับเข้ามาในบ้านก็พบว่าทั้งบ้านเงียบเชียบ และสิงหราชก็ไม่อยู่บ้าน หญิงสาวเดินหาสามีรอบบ้านก็ไม่พบ จากอารมณ์ที่ดีขึ้นก็เริ่มจะหงุดหงิดและคิดมากขึ้นมาอีกครั้ง

“ไปไหนของเขานะ ปกติพี่สิงโตไม่เคยเข้าบ้านค่ำนี่นา..” อัจฉรียาพรเดินลงมาชั้นล่างก็พบกับอ่อนเข้าพอดี

“อ่อน พี่สิงโตยังไม่เข้ามาเหรอ”

“คุณสิงโตเข้ามาแล้วและออกไปแล้วค่ะ”

“ไปไหน ทำไมไม่เห็นพี่สิงโตบอกอิ่มอุ่นเลยล่ะ เอาล่ะขอบใจนะ อิ่มอุ่นจะไปเรือนใหญ่สักครู่..” อัจฉรียาพรยิ้มบางๆ ให้สาวใช้แล้วครุ่นคิดอยู่คนเดียว

“หรือว่าโทร.มาแล้วเราไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์” หญิงสาวหน้ามุ่ยแล้วเดินไปที่เรือนใหญ่พร้อมทังหยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมาดู

“อ้าว แบตหมด แย่จริง.. ทำไมสะเพร่าแบบนี้นะอิ่มอุ่น...” หญิงสาวบ่นตัวเองอย่างหงุดหงิดเมื่อพบว่าโทรศัพท์ของตนแบตฯ หมด เรื่องแบบนี้มันไม่น่าจะเกิดกับเธอเลย ปกติเธอจะไม่ให้โทรศัพท์แบตฯ หมดเพราะต้องใช้ติดต่องาน แต่สองสามวันมานี้เธอคิดมากเรื่องสิงหราชกับปานชนกทำให้หลงลืมใส่ใจตรงนี้ไป

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel