ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม
วังหลวง
"ฟางหรงเจ้าค่อยๆ เดิน"อ้ายหลงเปียงหลัวถลาเจ้าประคองกุ้ยเหริน
"ฝ่าบาทนางกำนัลนับสิบเพียงนี้ ยิ่งทำให้เดินเหินลำบาก"
"ไม่เหมาะนัก พวกนางคอยดูแลทั้งเจ้าและลูกของข้าในท้องจะไล่พวกนางไปไม่เหมาะนัก"
"ฟางหรง เบื่อที่จะต้องอยู่ที่นี่อยากจะออกไปสูดอากาศบ้าง หากพวกนางคอยตามยิ่งทำให้ลำบาก"
"กุ้ยเหริน...ฝ่าบาทพูดเพราะความห่วงใยที่สั่งให้นางกำนัลมากมายมาคอยดูแก็เพราะความห่วงใยเช่นกัน"จ้านกงกงปรามเบาๆ
"พ่อบุญธรรม ฟางหรงเข้าใจแล้วต่อไปจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว"แม้จะยอมจำนนแต่ภายในใจกลับกลับระงับโทสะ
"กงกง นางตั้งครรภ์จึงมีอารมณ์ฉุนเฉียวไปบ้าง กงกงอย่าได้ตำหนินางเป็นข้าที่ห่วงนางมากไป เอาอย่างนี้ดีไหมเจ้าออกไปข้างนอกกับข้าสูดอากาศบริสุทธิ์ข้าจะดูแลเจ้าเอง"
ตรงเข้าพยุงฟางหรงที่ทำกิริยาเหมือนคนตั้งครรภ์ทั้งๆ ที่เป็นการเสแสร้งเสียทั้งหมด ไม่ได้มีการตั้งครรภ์ไม่ได้มี สิ่งใดในครรภ์ของนาง
"อีกไม่กี่เดือน ก็จะคลอดแล้ว ฟางหรงเจ้าต้องระวังให้มาก"
คำว่าระวังให้มากของจ้านกงกง มีความหมายเพื่อให้ฟางหรงระวังเกี่ยวกับการหลอกลวงอ้ายหลงเปียงหลัว ให้แนบเนียนนั่นเองเป็นการปราม เมื่อเห็นว่าหลายอย่างที่ฟางหรงทำล้วน ไม่ระวังตัวเท่าที่ควร
ตำหนักเย็น
"ข้าได้ยิน เรื่องเล่าหนึ่ง"อ้ายหลีเปียงหลัวพูดกับขันทีข้างกายที่ย่อตัวลงข้างๆ คลานสี่ขาเข้าไปในตำหนักเย็น เขาเพิ่งกลับเข้ามาในวังหลวงหลังจากที่ ออกไปเที่ยวเล่นเสียนาน
“ตงจือก็เคยได้ยินพ่ะย่ะค่ะ เรื่องเล่าน่ากลัวนั้น ท่านอ๋องจะคนหรือผีล้วนน่ากลัว ฝ่าบาทมีบัญชาผ่านจ้านกงกงไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ ตำหนักเย็นอีกทั้งมีเรื่องเล่าน่ากลัวเพียงนี้ท่านอ๋องยังกล้าเข้าไปอีกหรือ”ทำสีหน้าหวาดกลัว
“อืมเรื่องเล่าน่ากลัว แต่เมื่อวานข้าเห็นว่าเหล่าหยาเดินเข้าออก ยิ่งน่าสงสัยมีอะไรที่ต้องตรวจตราแน่นหนาเพียงนั้น จ้านกงกงเจ้าก็รู้ว่าไม่ธรรมดา เบื้องหน้าเป็นขันทีอาวุโสแต่เบื้องหลังล้วนกุมอำนาจในวังหลวงจนแทบจะทุกด้านก็ว่าได้ เหล่าหยาเป็นคนของจ้านกงกงชัดเจนแม้จะเป็นองครักษ์ก็ตาม”
"แต่ ตงจือกลัวจริงๆ ”
“มากับอ้ายหลีอ๋องเจ้ายังพูดว่ากลัวอีกหรือ”
ตงจือยิ้มเจื่อนๆ เรื่องเล่าเกี่ยวกับผี อ้ายหลีอ๋องชอบยิ่งนักครั้งก่อนเป็นหลีอ๋องที่วิ่งหนีปล่อยเขายืนนิ่งขาสั่นเมื่อคราวไปที่วัดเพื่อตามติดเรื่องเล่าเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
“ท่านอ๋องแน่ใจหรือ”
“แน่ใจครั้งนี้แม้ไม่เจอผี ข้าก็อาจโชคดีล่วงรู้ความลับของจ้านกงกงเจ้าไม่แปลกใจหรือว่าจ้านกงกง ทำไมต้องให้เหล่าหยามาคอยตรวจตราที่นี่”
ตงจือพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ
อาจเป็นเพราะกลัวว่าใครจะถูกผีหลอกเข้าก็ได้”อ้ายหลีอ๋องยกมือเขกกบาลตงจือไปเสียหนึ่งที
“เจ้าไม่ต้องเข้าไปถ้าหากว่ากลัวคอยดูต้นทางให้ข้า ข้าจะอาศัยความกล้าเข้าไปด้านในเพียงลำพัง”
ตงจือถอนหายใจความกล้ากับความอยากรู้อยากเห็นแบ่งกันเพียงเส้นบางๆ ก่อนจะนั่งลงข้างพุ่มไม้หนา
“ข้าพร้อมแล้ว”สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ดึงผ้าแพรลงมาปิดบังใบหน้า อาภรณ์ที่เป็นสีดำช่วยพรางตัว
แสงจันทร์คืนนี้ไม่ได้ส่องสว่างอย่างที่ควรจะเป็น ด้วยเมฆหมอกหนา ที่ปิดบังซ่อนเร้นดวงจันทราไว้เสียสิ้น
อ้ายหลีอ๋อง เร้นกายข้ามกำแพงสูงเข้าไปข้างในอย่างง่ายดาย
แสงไฟสลัวที่ห้องทางด้านปีกซ้าย เพียงดวงเดียวฉุดความรู้สึกสงสัย
“ผีแบบไหนต้องใช้แสงสว่าง” ก้าวข้าเข้าไปชิดขอบหน้าต่างที่เปิดแง้มออกเพียงครึ่ง ชะโงกหน้าสอดส่ายสายตาเข้าไปข้างใน
“อุ๊ป”ตะลึงตาค้างกับใบหน้างดงามของลู่เสียนที่เงยขึ้นมาสบตาเขาที่ชะโงกหน้าเข้าไปในห้องพอดี อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงอย่างที่สุด รีบหลบมุมทันทีกลัวว่าลู่เสียนจะเห็น
“เหล่าหยาแอบซ่อนหญิงงามไว้เพื่ออะไร หรือว่าจะเป็นเมียของเหล่าหยา”
กระโดดพรวดเดียวถึงตัว ลู่เสียนยกมือปิดปากรวบตัวนางไว้ในอ้อมแขน
“เจ้าเป็นใครกัน”ลู่เสียนดิ้นรนกัดฉับเข้าที่ฝ่ามือ
“โอ้ย…”ตงจือสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงร้อง
“น่ากลัวเสียจริง”เก้เก้กังกัง จะเข้าไปดีหรือไม่ ตะแคงหูฟังว่า มีเสียงร้องอีกไหม
“เงียบไปแล้ว”ข้ามกำแพงเข้าไปทันทีด้วยความเป็นห่วงอ้ายหลีอ๋อง
“บอกมาเจ้าเป็นใคร”ลู่เสียนปิดปากนิ่ง ขยับตัวไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม่สนใจตอบคำถามของอ้ายหลีอ๋อง
“ข้าอ้ายหลีอ๋องเจ้ากล้าดีอย่างไรไม่ตอบคำถาม ข้า”ทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้น
“ท่านอ๋อง ลู่เสียนแค่เพียง คนผู้หนึ่งที่ไร้ที่พักพิง”น้ำเสียงเศร้าสร้อยจนอ้ายหลีอ๋องสัมผัสได้
“แล้ว ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”กลืนน้ำลายลงคอช้าๆ อดสงสารเสียไม่ได้
“ ใต้เท้าเหล่า ลู่เสียนหมายถึงเหล่าหยา เพียงให้ข้าน้อยได้อาศัยพักพิงชั่วคราวไม่ได้มีเรื่องใดสำคัญ”
อ้ายหลีอ๋องเดินวนรอบตัวของลู่เสียน ถึงสามรอบ แล้วมาหยุดพิศมองใบหน้างดงาม
“เจ้าใบหน้างดงาม ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเพียงแค่ หญิงที่ไร้ที่พักพิง”เหล่ตามอง
“ลู่เสียน ไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง ท่านอ๋องได้โปรดเมตตา อย่าไล่ลู่เสียนไปจากที่นี่เลย”
