ตอนที่ 7 หลับสนิททั้งคืน
เช้าวันรุ่งขึ้นฟ่านอวิ๋นซีก็ต้องตกใจเมื่อเห็นตนนอนอยู่บนตั่งไม้ตัวเดิมเมื่อคืน อีกทั้งเขายังหลับสนิทได้จนถึงวันใหม่อย่างไม่น่าเชื่อ เป็นไปได้อย่างไร นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
เขามองหาใครบางคนไปทั่วห้องก็พบว่านางไม่อยู่ในห้องแล้ว แสดงว่าเขาหลับสนิทจริง ๆ ตอนนางเดินออกไปยังไม่รู้ตัว วรยุทธ์ที่เคยฝึกมาคงไร้ประโยชน์แล้ว
สายตาเหลือบมองไปเห็นถ้วยแก้วใบเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานที่ไม่ห่างจากตั่งนอนนัก ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นเดินไปดูด้วยความสนใจ มันคือถ้วยเทียนไขนั่นเอง และกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากถ้วยแก้วเทียนไขใบนี้ ที่มันยังมีเปลวเทียนสั่นไหวไปมาน้อย ๆ เขาหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ ๆ หน้าตาแปลกไปจากเทียนไขที่เขาเคยเห็น เขารู้ว่ามันหอมคล้ายกลิ่นหอมของดอกไม้ แต่บอกไม่ได้ว่าเป็นดอกอะไร มือใหญ่วางมันไว้ดังเดิม และยังปล่อยให้เปลวเทียนไหวเอนส่งกลิ่นอยู่เช่นนั้น กลิ่นหอมนี้ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยพานพบมาก่อน
พอได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านใน สาวใช้ด้านนอกจึงเข้ามาปรนนิบัติเขาดั่งเช่นทุกวัน ไม่วายสาวใช้สองนางนั้นยังทำท่าทีเหนียมอาย ใบหน้าเห่อแดง
ฟ่านอวิ๋นซีแค่นยิ้มในใจกับท่าทางเหล่านั้น แสดงว่าเมื่อคืนละครที่เขากับนางเล่นด้วยกันคงรู้กันทั่วจวนแล้วกระมัง และอดชื่นชมซ่งเมิ่งเหยาไม่ได้ สตรีผู้นี้มีไหวพริบดีไม่น้อย
เขาเผลอยิ้มออกมาจนทำให้สาวรับใช้เขินอาย เพราะไม่เคยสักครั้งที่พวกนางจะเห็นท่านโหวยิ้ม แสดงว่าเมื่อคืนท่านโหวคงพอใจคุณหนูรองซ่งไม่น้อย นางช่างเป็นสตรีที่น่าอิจฉายิ่งนัก รับใช้ท่านโหวแค่คืนเดียวก็กลายเป็นที่โปรดปราณเสียแล้ว
ก่อนเดินออกไปกินอาหารเช้ากับมารดา เขายังหยิบเทียนหอมขึ้นมาดม และสูดกลิ่นหอมเข้าจมูกลึก ๆ ก่อนเดินออกจากห้องไป
เจียงซื่อรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก เมื่อได้ยินหลัวมามามารายงานตอนเช้า ว่าเมื่อคืนซ่งเมิ่งเหยากลับออกไปจากห้องบุตรชายคนโตจนเกือบรุ่งสางแล้ว วันนี้นางจึงนั่งกินอาหารเช้ากับบุตรชายทั้งสอง สะใภ้รอง และหลานทั้งสองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
คนอื่นพอจะเดาออกกับท่าทีของเจียงซื่อ แต่หลานทั้งสองยังไม่รู้เรื่องอะไร “วันนี้ท่านย่าดูอารมณ์ดีนะขอรับ” ฟ่านหนิงเฉิงหลานชายคนรองซึ่งอายุเพียงหกขวบเปรยออก
“นั่นสิเจ้าคะ ท่านย่านั่งยิ้มตลอดเวลาเลยเจ้าค่ะ อีกทั้งท่านลุงยังไม่หน้าบึ้งเหมือนทุกวันด้วยเจ้าค่ะ” ฟ่านลี่อินซึ่งมีอายุมากกว่าน้องชายสองปีเอ่ยเย้าท่านลุง
เจียงซื่อคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิมแต่ไม่ได้กล่าวคำใด
คนตัวโตที่ถูกกล่าวถึง คราแรกก็ไม่หน้าบึ้งแต่พอได้ยินเสียงหลานสาวพูดเช่นนั้น ฟ่านอวิ๋นซีจึงทำหน้าเคร่งขรึมขึ้นอีก กระแอมออกคราหนึ่งแล้วพูดเสียงเรียบ “เมื่อคืนลุงนอนหลับสนิททั้งคืน วันนี้จึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ” อาจเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ซ่งเมิ่งเหยานวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้เขา หรือไม่ก็อาจจะเป็นเทียนหอมที่นางจุดไว้ให้เขาตลอดทั้งคืน
“เมื่อคืนท่านคงเพลียมากกระมังจึงหลับสนิททั้งคืน” ฟ่านจื่อหานว่าพลางยิ้มกรุ่มกริ่ม นอนกับสตรีครั้งแรกก็เป็นเช่นนี้ บุรุษใดได้ลิ้มรสน้ำผึ้งหอมหวานแล้วไม่อยากกินอีกนับว่าประหลาดนัก
ฟ่านอวิ๋นซีตวัดสายตามองน้องชายตาเขียว เอ่ยเสียงลอดไรฟันออกมา “วาจาของเจ้าช่างเหลวไหลยิ่งนัก”
อู่เจียผู้เป็นภรรยาที่นั่งอยู่ด้านข้างจึงคว้าหมับเข้าที่สีข้างของสามีแล้วออกแรงบิด ฟ่านจื่อหานร้องออกเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด พร้อมทำเสียงเล็กเสียงน้อย “เจ้าบิดข้าทำไม”
“ท่านพูดเช่นนี้ต่อหน้าลูกได้อย่างไร”
ฟ่านจื่อหานเพิ่งนึกขึ้นได้จึงยิ้มเจื่อนให้มารดากับพี่ชาย เจียงซื่อยังอารมณ์ดี นางจึงไม่ถือสาบุตรชายคนรองที่ทำกิริยาไม่ดีบนโต๊ะอาหาร ทั้งที่เขาเป็นถึงขุนนางของกรมพิธีการในวังหลวง
มารดาปรายตามองบุตรชายคนโตแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าก็ให้เมิ่งเหยาไปปรนนิบัติทุกวัน จะได้นอนหลับสบายไม่ต้องตื่นกลางดึกเหมือนที่ผ่านมา” เรื่องที่ฟ่านอวิ๋นซีนอนน้อยเจียงซื่อรับรู้ทุกอย่าง แต่นางก็ช่วยอะไรบุตรชายไม่ได้ ทั้งยาดีทั้งหมอหลวงหมอเทวดานางย่อมสรรหามาให้บุตรชาย แต่แล้วฟ่านอวิ๋นซีก็ไม่หายจากโรคนอนไม่หลับสักที
วันนี้เมื่อได้ยินว่าบุตรชายหลับเต็มตื่นนางจึงคิดว่าซ่งเมิ่งเหยามีส่วนทำให้บุตรชายของนางหลับได้สนิท
“ข้าก็คิดเช่นนั้นขอรับ” เพื่อให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ฟ่านอวิ๋นซีจึงเห็นด้วยกับความคิดของมารดา นางจะได้เลิกหาสาวใช้และภรรยามาให้เขาสักที
เจียงซื่อลอบสบตากับบุตรชายคนรองด้วยความสมใจ ครั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับซ่งเมิ่งเหยา นางอยากรู้เสียแล้วสิ ว่าซ่งเมิ่งเหยาทำเช่นไรจึงสามารถเปลี่ยนใจบุตรชายของนางได้ ปกตินางจัดสาวใช้มาให้คราใดจำต้องอาละวาดจนห้องเละเทะทุกครั้งไป แต่คราวนี้กลับต่างออกไป ซ่งเมิ่งเหยาช่างรับมือบุตรชายของนางได้เก่งนัก
บุตรชายทั้งสองออกไปทำงานแล้ว เจียงซื่อจึงสั่งให้พ่อบ้านไปตามซ่งเมิ่งเหยามาเข้าพบ อู่ซื่อก็พาบุตรกลับเรือนเพื่อไปเรียนคัดอักษรกับอาจารย์ที่มารดาสามีจ้างมาสอนหลานทั้งสอง
“เจียงซื่อบอกหรือไม่ว่าต้องการพบข้าด้วยเรื่องใด” ซ่งเมิ่งเหยาเอ่ยถามพ่อบ้านฟู่ด้วยความสงสัย
“ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน เจ้ารีบไปเถอะ”
“อืม!” หรือนางจะทำอะไรไม่ถูกใจเจียงซื่อ
ซ่งเมิ่งเหยาเดินไปที่เรือนเจียงซื่อพร้อมกับสาวใช้ โดยมีพ่อบ้านนำทางไป
ไปถึงพ่อบ้านฟู่จึงกล่าวรายงาน “ซ่งเมิ่งเหยามาถึงแล้วขอรับ”
“ให้เข้ามา”
ซ่งเมิ่งเหยาเดินเข้าไปด้วยท่วงท่ามั่นใจ แต่ยังคงมีความอ่อนน้อมและสง่างาม เรื่องมารยาทของสตรีมารดาของนางย่อมฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ทุกกิริยานางจึงทำออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
นางยอบกายอย่างอ่อนช้อย พูดออกเสียงใสกังวาน “คาราวะเจียงซื่อเจ้าค่ะ”
“ลุกขึ้นเถิด” น้ำเสียงของนางแฝงด้วยความมีเมตตา
เจียงเฟยมองสตรีตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณาอีกครั้ง นางช่างมีใบหน้างดงามยิ่งนัก ทรวดทรงองค์เอวก็นับว่าเพียบพร้อมไปเสียหมด น่าเสียดายที่นางเป็นเพียงบุตรสาวอนุภรรยาที่มารดาเป็นเพียงชาวนาธรรมดา อีกทั้งมารดายังจากโลกนี้ไปแล้ว ถ้าชาติตระกูลของนางช่วยค้ำจุลตระกุลของสามีได้เพียงเล็กน้อย นางก็อาจจะหาทางให้บุตรชายคนโตรับนางเป็นภรรยาเอกเสีย น่าเสียดายจริง ๆ
เจียงเฟยถอนหายใจออกมาแผ่วเบาก่อนเอ่ยออกอย่างอ่อนโยน “เมื่อคืนเจ้าทำได้ดีมาก”
ซ่งเมิ่งเหยาเข้าใจความหมายที่เจียงซื่ออยากสื่อทันที จึงทำเพียงก้มหน้าแสร้งเอียงอายอย่างน่าเอ็นดู เจียงซื่อเห็นดังนั้นก็ยิ่งชอบใจ กิริยาของสตรีนางนี้ดูไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย