ตอนที่ 4 มิติของนาง
คืนนั้นหลังจากเถาซูเหวินแต่งกายให้เจ้านายเพื่อรอรับใช้ท่านโหวเสร็จ นางก็กลับไปยังห้องของตนตามคำบอกของเจ้านาย ซ่งเมิ่งเหยานั่งมองตนเองที่หน้ากระจกอยู่นานจนเวลาล่วงเข้ายามจื่อ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าท่านโหวอะไรนั่นจะเรียกใช้นางสักที นางยิ้มให้กับตัวเองในกระจก ความจริงร่างนี้ก็นับว่าเป็นหญิงงามมากทีเดียว เช่นนั้นซ่งหรูเอินผู้เป็นพี่สาวของนางคงไม่รู้สึกอิจฉา และคงไม่กลั่นแกล้งนางเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ซ่งเมิ่งเหยาช่างไม่รู้อะไรเลย ยังมองพี่สาวกับแม่เลี้ยงเป็นคนดีเสมอมา คิดถึงตรงนี้ซ่งเมิ่งเหยาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ หรือว่า… คนที่วางยาพิษนางจะเป็น…
ขณะที่กำลังขบคิดอยู่นั้นมือข้างขวาก็หยิบต่างหูพลอยสีแดงทับทิมข้างหนึ่งขึ้นมาคลึงเล่นอย่างไม่รู้ตัว กระทั่งต่างหูนั้นมีแสงสีแดงทับทิมวาบขึ้นมาตรงหน้า สมองของนางถึงได้หยุดคิดเรื่องนั้น พลางก้มมองสิ่งที่อยู่ในมือ
ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้น ปากของนางทำท่าเอ่ออ่าอยู่หลายคราแต่ไม่มีเสียงพูดออก นี่มันอะไรกัน ทำไมมีเงินอยู่ในต่างหูข้างนี้ถึงหนึ่งล้านตำลึงทอง ที่นางรู้ก็เพราะมันมีตัวเลขบอกไว้อย่างชัดเจน
โอยจะเป็นลม!
มือสั่นเทาวางต่างหูข้างนั้นลงก็หยิบต่างหูอีกข้างขึ้นมาคลึงดู
โอ้! ต่างหูข้างนี้มีจิงโหยวหรือน้ำมันหอมระเหย และเทียนหอมที่นางใช้ในธุรกิจสปาและนวดแผนไทยอยู่เป็นร้อยกลิ่น
ดวงตาของนางทอประกายระยิบระยับ ที่เคยคิดว่าตายไปแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้นางขอกลับคำทั้งสิ้น เช่นนี้นางก็มีเงินไถ่ตนเองแล้วสิ
ไม่นานดวงตาที่กำลังเปล่งประกายอยู่ก็หรี่แสงลงเมื่อนึกขึ้นได้ว่า นางต้องมีที่มาที่ไปของเงินที่จะนำมาไถ่ตัวให้ได้เสียก่อน นางถึงจะมีสิทธิ์ไถ่ตัวออกไปจากจวนฟ่านโหวได้
จะทำอย่างไรดี?
ซ่งเมิ่งเหยาลุกจากตั่งนั่งแล้วเดินไปรื้อหีบสมบัติของตนที่นำมาจากจวนสกุลซ่งด้วยทั้งหมด และแล้วก็ต้องทำหน้าเศร้าเมื่อของทุกชิ้นตีมูลค่าได้เพียงสิบตำลึงเงินเท่านั้น นางเก็บของเข้าที่เดิมด้วยความผิดหวัง แต่ไม่เป็นไรนางต้องหาวิธีไถ่ตัวเองให้ได้
คืนนั้นท่านโหวไม่ได้เรียกใช้งานนาง ซ่งเมิ่งเหยาจึงเปลี่ยนชุดและล้างหน้าใหม่อีกครั้ง ยังดีที่ตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ อากาศจึงค่อนข้างเย็นสบาย แต่ช่วงดึกเช่นนี้ก็ยังหนาวยะเยือกอยู่เหมือนกัน
หลายวันแล้วที่ซ่งเมิ่งเหยาอยู่ในเรือนของตนเองโดยไม่ได้ออกไปไหนหรือยุ่งกับใคร ไม่ต้องออกไปคาราวะเจียงซื่อหรือมารดาสามีเหมือนฮูหยินหรืออนุภรรยาคนอื่น ๆ เพราะนางเป็นแค่สาวใช้ ถึงเวลากินก็มีคนยกอาหารมาให้ครบทั้งสามมื้อ นางรู้สึกสะดวกสบายกว่าตอนที่อยู่จวนสกุลซ่งเสียอีก เป็นอย่างนี้ไปนาน ๆ ก็ดี
ห้าคืนให้หลังท่านโหวก็ยังไม่เรียกสาวใช้อุ่นเตียงเข้าไปปรนนิบัติสักครา ทำให้เจียงซื่อถึงขั้นเป็นเดือดเป็นร้อนแทน หลังบุตรชายคนโตเดินกลับเรือนตนเองแล้ว เจียงซื่อจึงกล่าวออก
“เจ้าว่าแม่ควรทำอย่างไรดี” เจียงเฟยเอ่ยกับบุตรชายคนรอง ที่ตอนนี้มีบุตรแล้วถึงสองคน แต่บุตรชายคนโตยังไม่เคยแม้แต่จะรับอนุภรรยามารับใช้ข้างกาย นางคิดว่าบุตรชายคนโตมีปัญหากับเรื่องนี้แล้ว นางจึงอยู่เฉยไม่ได้
“เมื่อพี่ใหญ่ไม่เรียกใช้ ท่านแม่ก็ส่งนางไปรับใช้เองเลยสิขอรับ เพราะอย่างไรก็เป็นหน้าที่ของนางอยู่แล้ว” ฟ่านจื่อหานเสนอแก่มารดา
“จะดีหรือ” ความจริงวันนั้นเจียงซื่อไปที่จวนสกุลซ่งเพื่อบอกเล่ากับซ่งฮูหยินว่านางอยากได้สาวใช้อุ่นเตียงสักคน ไม่คิดว่าซ่งฮูหยินจะขายคุณหนูรองซึ่งเกิดจากอนุภรรยาให้กับนาง ซ่งฮูหยินยังให้เหตุผลว่าอีกว่าการที่คุณหนูรองได้มีโอกาสรับใช้ท่านโหวก็นับว่ามีวาสนาแล้ว พอนางได้เห็นใบหน้าของซ่งเมิ่งเหยาจึงไม่คิดปฏิเสธ เพราะซ่งเมิ่งเหยางามล้ำกว่าหญิงใดในเมืองหลวงแห่งนี้
“ลองดูก็ไม่เสียหายนะขอรับ”
“ถ้านางโดนไล่ตะเพิดออกมาเล่า” ทุกครั้งที่หาสาวใช้อุ่นเตียงมาให้ บุตรชายคนโตก็มักจะเขวี้ยงปาข้าวของใส่ และสาวใช้คนนั้นก็มักจะโดนไล่ตะเพิดออกมาจนพวกนางเสียขวัญกันหมด แต่นางก็ยังไม่ยอมแพ้ ถึงจะถูกบุตรชายคนโตตำหนิครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม
“ท่านแม่ก็แค่เปลี่ยนคนใหม่เหมือนที่เคยทำมา” ฟ่านจื่อหานก็จนใจกับพี่ชายเช่นกัน อายุก็ยี่สิบแปดปีแล้วยังไม่มีภรรยาสักคน จะไม่ให้มารดาร้อนใจได้อย่างไร
“เช่นนั้น หลัวมามาให้คนไปตามพ่อบ้านฟู่มาพบข้า” เจียงซื่อบอกกับหญิงชราข้างกาย ถ้านางโดนไล่ออกมาจริง ๆ นางก็แค่รับซ่งเมิ่งเหยาไว้เป็นสาวใช้ในส่วนอื่น และรีบหาคนอื่นมาแทนนาง
“เจ้าค่ะ”
พ่อบ้านฟู่เดินเข้ามาแล้วเจียงซื่อจึงเอ่ยออก “คืนนี้ให้เมิ่งเหยาเข้าไปปรนนิบัติท่านโหว” นางเว้นจังหวะหายใจแล้วกล่าวต่อ “อย่าลืมทำตามที่ข้าบอก”
“ขอรับ”
พ่อบ้านฟู่รับคำแล้วจึงจากไปโดยเร็ว