ตอนที่ 3 เตรียมความพร้อม
ซ่งเมิ่งเหยาเดินเข้าไปในเรือนก็ต้องแปลกใจ เพราะแม้แต่เรือนสาวใช้จวนโหวยังจัดให้ดีขนาดนี้ ดูแล้วเจียงซื่อคงเป็นคนใจกว้างไม่น้อย
“เรือนหลังใหญ่กว่าที่เราเคยอยู่อีกเจ้าค่ะ” เถาซูเหวินดวงตาเป็นประกาย เดิมทีเรือนที่นางเคยอยู่กับนายสาวเป็นเรือนไม้ที่ค่อนข้างเล็ก แต่เรือนหลังนี้มีสองห้องนอน หนึ่งห้องใหญ่หนึ่งห้องเล็ก และยังมีห้องเอนกประสงค์อีกหนึ่งห้องใหญ่ มีห้องอาบน้ำส่วนตัว และเรือนฝั่งทิศตะวันออกยังมีที่ไว้สำหรับนั่งอ่านหนังสือหรือนั่งพักผ่อนหย่อนใจ อีกทั้งยังมีต้นอวี้หลานดอกสีขาวอีกหนึ่งต้นด้วย นี่คล้ายกับเรือนอนุภรรยาอย่างไรอย่างนั้น
มุมปากของซ่งเมิ่งเหยายกยิ้มขึ้นด้วยความพอใจ อย่างน้อยที่หลับนอนที่นี่ก็ไม่ได้เหมือนอยู่ในนรกเท่าใดนัก ดีกว่าเรือนพักที่จวนสกุลซ่งด้วยซ้ำ
นางเดินกลับเข้าไปในห้องของตนพร้อมเอ่ยกับสาวใช้
“เจ้าเอาของไปเก็บให้เรียบร้อยเถอะ ข้าอยากชำระกายให้หายง่วงสักหน่อย”
“เจ้าค่ะ ข้าจะเตรียมชุดให้คุณหนู”
ซ่งเมิ่งเหยาถอดเครื่องประดับทุกชิ้นออกจากร่างกาย ความจริงก็มีเพียงแหวนหยกสีเขียวมะกอก ต่างหูพลอยสีแดงทับทิม และปิ่นปักผมสีชมพูที่ท่านแม่มอบให้เท่านั้น ส่วนเครื่องประดับอย่างอื่นที่นำมาด้วยก็มีไม่มากนัก เพราะถึงแม้เถียนเยว่ซินจะเป็นที่โปรดปราณของสามี แต่เรื่องของเรือนหลังย่อมเป็นหน้าที่ของซ่งฮูหยินทั้งหมด
ร่างเปลือยเปล่าก้าวขาลงแช่น้ำในอ่างไม้ด้วยท่าทางผ่อนคลาย หลายวันมานี้ร่างกายของนางตึงเครียดมาตลอด บางครั้งการมาอยู่ที่นี่อาจจะดีกว่าอยู่ที่จวนสกุลซ่งก็เป็นได้ อยู่ที่นั่นต้องทนให้ซ่งฮูหยินและบุตรสาวคนโตคอยกลั่นแกล้งในยามที่สบโอกาส แม้ซ่งเมิ่งเหยาจะไม่ค่อยรู้ตัวว่าโดนรังแกก็ตาม
คิดมาถึงตรงนี้แล้วก็อดเสียดายชีวิตในโลกเดิมไม่ได้ ก่อนหน้าปานตะวันเคยเป็นเจ้าของธุรกิจสปาและนวดแผนไทยที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย นับว่าเป็นเศรษฐีนีก็ว่าได้ เธอมีเงินฝากเกือบพันล้านในบัญชี แต่ดูตอนนี้สิ เงินติดตัวยังมีไม่ถึงสองตำลึงเงิน
คนงามส่ายหน้าน้อย ๆ ให้กับความไม่แน่นอนของชีวิต เช่นนี้แหละที่เขาบอกว่า ‘ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้’
ชำระกายเสร็จซ่งเมิ่งเหยาก็เดินออกไปจากห้องอาบน้ำให้สาวใช้ผัดหน้าทำผมใหม่ให้อีกครั้ง
ปักปิ่นอันเดิมเสร็จนางจึงลุกขึ้น
“คุณหนูไม่สวมเครื่องประดับอย่างอื่นหรือเจ้าคะ”
“ไม่ต้อง ข้าไม่ค่อยชอบเครื่องประดับ” เดิมทีที่อยู่โลกเดิมปานตะวันก็ไม่เคยสวมเครื่องประดับติดตัวอยู่แล้ว เหตุผลเพราะเธอรู้สึกว่ามันน่ารำคาญ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าชอบต่างหูแบบหนีบสีแดงทับทิม นางจึงบอกสาวใช้อีกครั้ง “เช่นนั้นข้าจะใส่เพียงต่างหูคู่นี้ก็พอ” ต่างหูคู่นั้นไม่ได้เป็นแบบห้อยระย้า นางจึงพอใส่ได้บ้าง คงไม่น่ารำคาญเกินไป
“เจ้าค่ะ”
เถาซูเหวินมองตามเจ้านายด้วยแววตาฉงน เหตุใดนางจะไม่ชอบเครื่องประดับเล่า เพราะก่อนหน้านี้นางยังเคยร่ำไห้ด้วยความทุกข์ระทม เพราะหลังจากมารดาเสียชีวิตไปแล้ว ซ่งเมิ่งเหยาก็ไม่เคยได้เครื่องประดับจากฮูหยินใหญ่เลย อย่างมากก็มีเพียงปิ่นเงินกับผ้าไม่กี่พับเท่านั้น ส่วนของที่ว่าหรูหรามีราคาก็มีเพียงต่างหูสีแดงทับทิมคู่นั้นที่ราคาไม่ถึงสองตำลึงเงินด้วยซ้ำ และก็เป็นครั้งแรกที่ซ่งเมิ่งเหยาหยิบออกมาใส่
มือเล็กขาวเนียนหยิบหนังสือที่อยู่ในห้องนอนขึ้นมาเล่มแล้วเล่มเล่า ซ่งเมิ่งเหยาได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย นางอยากรู้จริง ๆ ว่าเป็นความคิดของใคร เห็นว่านางเป็นสาวใช้ห้องข้าง หนังสือก็มีแต่เกี่ยวกับเรื่องอย่างว่าอย่างเดียว ไม่คิดจะให้นางอ่านอย่างอื่นเลยหรือไง
ซ่งเมิ่งเหยาถอนหายใจออกมาหลายสาย จากนั้นจึงเดินไปเอนกายตรงระเบียงเพียงตัวเปล่า จะให้นางอ่านหนังสือพวกนั้นได้อย่างไร ไม่ใช่ว่านางเหนียมอาย แต่เรื่องพรรค์นั้นนางรู้ทั้งหมดแล้ว ถึงไม่เคยมีสามี แต่อายุสี่สิบสองก็ไม่นับว่าไร้เดียงสาแล้ว เช่นนั้นหนังสือพวกนั้นจึงไม่จำเป็นสำหรับนางอีกต่อไป นางไม่ใช่คนโอ้อวดแต่อย่างใด แต่นางมีท่ายากมากกว่าในหนังสือพวกนั้นเสียอีก อีกทั้งก่อนจะมาที่จวนฟ่านโหวแห่งนี้ กู้มามาคนสนิทของซ่งฮูหยินยังสอนนางมาหลายกระบวนท่า
ถึงมื้อเที่ยงพ่อบ้านจึงให้สาวใช้นำอาหารมาให้ ซ่งเมิ่งเหยาจึงฝากสาวใช้ไปบอกพ่อบ้านฟู่ว่า ขอตำราอย่างอื่นที่นอกเหนือจากที่มีอยู่ในห้องของนางสักสี่ห้าเล่ม ซึ่งสาวใช้ก็ทำหน้างง แต่ซ่งเมิ่งเหยารู้ว่าพ่อบ้านฟู่ต้องเข้าใจ
สาวใช้จากไปแล้วเถาซูเหวินจึงเอ่ยขึ้น “หนังสือพวกนั้นทำไมหรือเจ้าคะคุณหนู”
“ไม่มีอะไร ข้าแค่เคยอ่านพวกมันแล้วก็เท่านั้น” นางพูดออกด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยราวกับเป็นเรื่องปกติ
เถาซูเหวินทำท่าครุ่นคิด หนังสือในห้องนั้นมีเป็นสิบเล่มเชียวนะ คุณหนูของนางกลับบอกว่าเคยอ่านทั้งหมดแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไร แต่ก็ช่างเถอะถึงอย่างไรเถาซูเหวินก็อ่านหนังสือไม่ออก เช่นนั้นนางจึงไม่คิดจะเปิดหนังสือพวกนั้นเสียด้วยซ้ำ
หลังจากนั้นไม่นานพ่อบ้านจึงให้สาวใช้นำหนังสือเล่มใหม่มาให้นาง ซ่งเมิ่งเหยาจึงนั่งอ่านหนังสือและจิบชาไปพลาง ๆ ยามละสายตาจากหนังสือก็มองอวี้หลานฮวาตรงหน้าอย่างมีความสุข ถือว่าเป็นชีวิตที่ดีไม่น้อย เวลาที่มีความสุเช่นนี้ต้องรีบตักตวงเอาไว้ให้นานที่สุด เพราะอนาคตของนางเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก