ตอนที่ 2 จวนฟ่านโหว
“คุณหนูจำไม่ได้หรือเจ้าคะว่าเรามาที่จวนฟ่านโหว”
“จวนฟ่านโหว?”
“เจ้าค่ะ ลงมาก่อนเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวค่อยคุยกัน” เถาซูเหวินที่เข้าใจว่านายของตนเพิ่งตื่นนอนอาจจะทำให้มึนงงอยู่บ้างจึงไม่ได้เอะใจ
ปานตะวันจึงเดินลงจากรถม้าตามหญิงสาวที่หน้าตาจิ้มลิ้มลงมาอย่างช่วยไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้ยังเด็กมาก อายุอาจจะเพิ่งสิบสามสิบสี่ปีกระมัง
พอเดินลงมาแล้วจึงได้รู้ว่านี่คือรถม้า คิ้วเรียวขมวดมากขึ้นกว่าเก่า เหตุใดเธอจึงนั่งรถม้ามาได้ ก่อนหน้าไม่ใช่เธอเพิ่งไปเที่ยวกับเพื่อนหรอกหรือ มองชุดสาวใช้แล้วก้มมองชุดตน ในใจพลันร้องขึ้นว่า แย่แล้วเธออยู่ที่ไหนเนี่ย
จากนั้นภาพตอนที่เธอกำลังขับรถไปเที่ยวบนภูเขากับเพื่อนก็ฉายชัดออกมา ตอนนั้นเพื่อนของเธอเป็นคนขับรถ ดวงอาทิตย์กำลังทอแสงผ่านพ้นทิวภูเขาออกมา แล้วก็…
‘ตะวันฉันมองไม่ค่อยเห็นทางเลยว่ะ ทางก็คดเคี้ยวเสียด้วย’ เสียงเพื่อนที่อยู่ด้านหลังพวงมาลัยบอกเธอ
‘ขับช้าลงหน่อยก็ได้นิด’
‘อืม’
สิ้นคำ เธอกับเพื่อนก็ต้องเบิกตากว้าง พร้อมกับเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจสุดขีด ‘อ๊ายยย!’
ใช่ รถของเธอกับเพื่อนแหกโค้ง รถจึงตกเขา เพราะแสงอาทิตย์แยงตาจนทำให้มองไม่เห็นทาง
คิ้วเรียงงามเดี๋ยวคลายเดี๋ยวบีบเข้าหากัน
“คุณหนูเข้าไปในจวนก่อนเถอะเจ้าค่ะ” เถาซูเหวินเรียกนายสาวอยู่หลายครั้งแล้วแต่นางไม่ได้ยิน
ปานตะวันยกมือขึ้นกุมศีรษะตนเอง “แป๊บนึง ฉันปวดหัว” ร่างบอบบางนั่งยอง ๆ ลงช้า ๆ
คราวนี้สาวใช้ขมวดคิ้วบ้าง นี่มันภาษาอะไร? ถึงจะสงสัยแต่ก็อดเป็นห่วงผู้เป็นนายไม่ได้ จากนั้นจึงนั่งลงตาม และมองนางนิ่ง ๆ
ปานตะวันรู้สึกปวดศีรษะเป็นอย่างมาก อยู่ดี ๆ ความทรงจำของผู้หญิงคนหนึ่งที่เธอไม่รู้จักก็ผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ความทรงจำของคนอื่น แต่มันเป็นความทรงจำของร่างนี้ต่างหากเล่า
เกิดอะไรขึ้น! ทำไมเธอเข้ามาอยู่ในร่างนี้ได้
ซ่งเมิ่งเหยาลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ เมื่อรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับร่างนี้ทั้งหมด ไม่น่าเชื่อว่าวิญญาณของนางจะทะลุมิติมาไกลถึงเพียงนี้ ไกลอย่างเดียวไม่พอ ยังย้อนเวลามาอยู่ในยุคโบราณอีก มากกว่านั้นยังต้องกลายเป็นสาวใช้อุ่นเตียงให้แก่บุรุษเย็นชาอย่างฟ่านโหว แต่ที่นางกังวลมากกว่านั้นคือร่างนี้เพิ่งจะอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น
ตอนจากมาอายุสี่สิบสองแล้วยังไม่เคยมีสามีแม้แต่คนเดียว มาอยู่ในยุคนี้สิบหกปีก็จะมีสามีแล้วหรือ
ซ่งเมิ่งเหยาเดินเข้าทางประตูหลังจวน ซึ่งเป็นทางสำหรับบ่าวรับใช้ของจวนใช้งาน จากนั้นก็มีคนเฝ้าประตูไปตามพ่อบ้านมา
พ่อบ้านฟู่ เดินออกมาจึงกล่าวออก “นี่คงเป็นคุณหนูรองแห่งสกุลซ่ง”
ส่วนสาวใช้ของนางยอบกายให้พ่อบ้านคราหนึ่ง ส่วนซ่งเมิ่งเหยาเพียงยิ้มให้พ่อบ้านเล็กน้อยเท่านั้น ในหัวของนางตอนนี้ยังสับสนอยู่มาก เพราะฉะนั้นตอนนี้ใครให้ทำอะไรก็ต้องตามน้ำไปก่อน
“ตามข้ามาเถอะ” พ่อบ้านกล่าว
สองบ่าวนายเดินตามหลังพ่อบ้านเข้าไปโดยไม่พูดอะไร เขาพาทั้งสองเดินเลียบเรือนหลังใหญ่ไปยังด้านหลังสองข้างทางเดินที่ปูด้วยหินเป็นพุ่มไม้หลากหลายสายพันธุ์
พอเลี้ยวเข้าไปในเรือนหลังที่เล็กกว่าเรือนด้านหน้าซึ่งเป็นเรือนไม้ทั้งหลังพ่อบ้านฟู่จึงหยุดเดินแล้วหันกลับมาคุยกับหญิงสาว “พวกเจ้าพักที่เรือนหลังนี้ ส่วนเรือนข้างหน้าเป็นเรือนของท่านโหว หากท่านโหวอยากให้รับใช้จะมีคนมาตามเจ้าเอง”
“เจ้าค่ะ” ซ่งเมิ่งเหยารับคำ
พ่อบ้านปรายตามาทางซ่งเมิ่งเหยา “ส่วนข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดข้าได้จัดการให้ทั้งหมดแล้ว”
“เกรงใจพ่อบ้านแล้ว” ซ่งเมิ่งเหยากล่าว
ให้หลังพ่อบ้านเถาซูเหวินจึงพูดขึ้น “คุณหนูเข้าไปข้างในเถอะเจ้าค่ะ”
“เจ้าเข้าไปก่อนเถอะ ข้าขอยืนดูอะไรสักพัก”
“เจ้าค่ะ”
สาวใช้เดินจากไปแล้ว ซ่งเมิ่งเหยาจึงแหงนหน้ามองต้นไม้ต้นหนึ่งที่ยืนตระหง่านขั้นกลางระหว่างเรือนของเขาและเรือนของนาง มันคือต้นอวี้หลาน ที่กำลังผลิดอกบานเต็มต้นกระทั่งใบเดียวก็ไม่มีให้เห็น กลีบดอกสีขาวอมชมพูของมันส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ กำจายไปทั่วบริเวณ ทำให้ความหดหู่ภายในใจคลายลงได้บ้าง
ซ่งเมิ่งเหยายืนอยู่ใต้ต้นอวี้หลานพักใหญ่พลางคิดในใจ ต่อจากนี้ชีวิตต้องก้าวเดินต่อไปเท่านั้น นางต้องหาทางหาเงินมาไถ่ตนเองให้ได้ แต่ในหนังซื้อสัญญาซื้อขาย นางถูกขายมาในราคาห้าตำลึงเงิน แต่ตอนไถ่ตัวต้องมีเงินถึงหนึ่งร้อยตำลึงเงินถึงจะเป็นอิสระได้ เงินเดือนที่ได้จากการเป็นสาวใช้อุ่นเตียงก็ไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่ แล้วนางจะหาเงินที่ไหนมาไถ่ตนเอง ยิ่งคิดยิ่งพาให้เครียด ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด
ช่างเถิด! มันคงมีสักวิธีที่จะหาเงินมาได้ นางไม่มีวันเป็นสาวใช้อุ่นเตียงไปตลอดชีวิตหรอก อีกอย่างสิ่งที่นางข้องใจในตอนนี้คือ… ใครเป็นคนวางยาพิษเจ้าของร่างนี้ ยาพิษที่ไร้สีไร้กลิ่น ไร้อาการ สิ่งเดียวที่คนอื่นสามารถมองเห็นได้นั่นก็คืออาการง่วงนอนเท่านั้น เป็นเช่นนี้เองสาวใช้ของนางถึงไม่ได้เอะใจอะไร
ซ่งเมิ่งเหยากวาดสายตามองเรือนด้านหน้าที่เป็นไม้ทั้งหลังด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก จากนั้นจึงหันหลังเดินกลับเข้าไปในเรือนตน