ตอนที่11.หญิงงาม มองเพียงแวบเดียวก็จำได้
มือที่เคี่ยวยาพลันชะงักไป ดวงตาลุ่มลึกมีแววไหวกระเพื่อม หานหรงเหยาแสร้งกระแอมไอ แสร้งเคี่ยวยาในหม้อต้มคล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ดีจริง ในที่สุดก็มีหญิงงามสั่นไหวหัวใจที่ปรึกษาหานจนได้” ซุนเจ้าเฟิงหัวเราะเสียงดัง “เจ้าชอบนางถึงเพียงนี้ เหตุใดไม่หาทางรั้งนางไว้หรือตามหานางเล่า”
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”
หายหรงเหยาไม่อาจพูดความจริงทั้งหมดได้ เขาคิดถึง ‘นาง’ นั้นเป็นความจริง แต่เป็นการคิดถึงเพราะความห่วงใย นางเป็นปีศาจที่แสนไร้เดียงสา ไม่รู้ว่าปานนี้จะได้พบศิษย์พี่ที่ตามหาหรือไม่ นางได้ฆ่ามนุษย์เพื่อกินพลังชีวิตไปหรือยัง แต่หลายวันมานี้ เขาไม่ได้ข่าวการตายแปลกประหลาด กระทั่งข่าวคนฆ่าตัวตายก็ไม่มี ไม่รู้ว่าเจ้าปีศาจจิ้งจอกแดงตัวน้อยจะเป็นอย่างไร
“เจ้าบังเอิญช่วยชีวิตนางไว้ อย่างไรก็นางก็ควรตอบแทนเจ้า” เขาตบไหล่สหายรัก วันนั้นหานหรงเหยาอธิบายเพียงว่า นางมาตามหาญาติและบังเอิญเป็นลมหมดสติไป เนื่องจากไม่รู้ว่าบ้านช่องอยู่ที่ใด เขาจึงพากลับมาที่จวน แม้ตอนเข้ามาไม่มีคนเห็น แต่ตอนที่นางวิ่งออกไปชนข้าวของตกเสียหาย คนทั้งจวนจึงรู้ว่านางเป็นสตรีที่หานหรงเหยาพามา
“เจ้าก็ช่วยชีวิตข้าหลายครา ข้าต้องตอบแทนอย่างไร”
“เจ้ากับข้าเอามาเปรียบเทียบกันเช่นนั้นไม่ได้หรอก” แม่ทัพหนุ่มทำหน้าระอาใจ เห็นแก่ที่มีหญิงสาวทำให้สหายรักสนใจได้ เขายอมทุ่มเทแรงกายแรงใจเต็มที่ อย่างน้อยจะได้ช่วยตัดใจเรื่องหลัวซู่เหมยได้เร็วขึ้น
“ข้าแค่เป็นห่วงนาง ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง” หานหรงเหยาเอ่ยเสียงเรียบแล้วรินยาที่เคี่ยวได้ที่ใส่ชาม แล้วยกขึ้นเป่าไล่ไอร้อน
“เป็นห่วงก็ยิ่งต้องติดตามข่าวคราวให้หายกังวลใจ เอาอย่างนี้ ข้าให้องครักษ์เงาออกสืบข่าวนางให้เอง หญิงสาวหน้าตางดงามหาตัวได้ไม่ยากนัก”
“เจ้าพบนางเพียงครู่เดียว จดจำนางได้แม่นยำถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
“หญิงงาม มองเพียงแวบเดียวก็จำได้”
“เจ้าว่า...นางงดงามมากหรือ?” คราวนี้หานหรงเหยาเลิกคิ้วอย่างสงสัย เขาไม่ได้สังเกตนางขนาดนั้น แต่แววตาใสซื่อและท่าทางไร้เดียงสา
“ดวงหน้าหมดจด ดวงตาใสกระจ่าง จมูกเชิดรั้น ริมฝีปากดังผลอิงเถา สิ่งที่ข้าบรรยายมาอยู่บนใบหน้าสตรีนางนั้น จะไม่ให้เรียกหญิงงามแล้วควรเรียกอย่างไรดี”
“ข้าไม่ทันสังเกต เพียงเห็นนางลำบากจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือ” แต่ถ้าให้กล่าวตามจริง นางเข้าใจผิดคิดว่าเขาลำบากถึงขั้นจะฆ่าตัวตาย เพียงคิดถึงเรื่องนี้มุมปากของบุรุษน้ำแข็งพลันยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขายกชามยาขึ้นดื่มกลบเกลือนรอยยิ้มของตน
“ถ้าเจ้าเป็นห่วงนาง ยิ่งต้องสืบข่าวตามหา ข้าจะสั่ง...”
“ไม่ต้อง” หานหรงเหยารีบห้ามปราม “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ต้องใช้องครักษ์เงา”
“เจ้ารู้หรือว่านางอยู่ที่ใด”
“อืม” เขาดื่มยาจนหมด วางชามยาลงแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าซับมุมปาก “นางอยู่ที่หอชมบุหลัน”
“อ้อ...หอชมบุหลัน อะ อะไรนะ เจ้าพูดว่าหอชมบุหลันรึ?”
“เจ้าได้ยินชัดแล้ว”
ซุนเจ้าเฟิงเป่าลมออกทางปากทำหน้าบูดบึงแล้วเอ่ยขึ้น
“เพราะเหตุนี้เจ้าจึงเป็นห่วงนางใช่หรือไม่”
ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ย “เจ้าคงนึกหัวเราะเยาะข้าอยู่ในใจสินะ พบกันเพียงครู่เดียวกลับเป็นกังวลเช่นนี้”
“ไม่ๆ เหตุใดข้าต้องหัวเราะเจ้าด้วย” ซุนเจ้าเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พบกันล้วนเกิดจากวาสนา เจ้าเป็นห่วงนางก็เป็นเรื่องดี เอาอย่างนี้ ลองแวะไปเยี่ยมนางดูสักครา หากนางต้องการให้ช่วยเหลือก็ทำตามสมควรเถิด”
“ถ้าเช่นนั้น...”
“ไป ไปกัน”
“ไปไหน?”
“ไปหอชมบุหลันอย่างไรเล่า”
“ไปกลางวันแสกๆ อย่างนี้รึ”
“วันนี้ไม่มีงานอะไรแล้วนี่” เขาเองก็กลับมาที่จวนเพราะสั่งงานที่ค่ายทหารเรียบร้อยดีแล้ว “ยาเจ้าก็กินแล้วไปกันตอนนี้เลย”
หานหรงเหยากระดากใจเล็กน้อย มิใช่ว่าไม่เคยย่างเท้าเข้าหอนางโลม แต่ทุกครั้งที่ไปก็พาเหล่าทหารไปผ่อนหลังทำภารกิจสำคัญลุล่วง แต่ครั้งนี้....
ซุนเจ้าเฟิงไม่รอให้หานหรงเหยาคิดนาน คว้าข้อมือของสหายได้ก็แทบลากตัวปลิวมุ่งหน้าไปหอนางโลมอันดับหนึ่งของเมืองทันที
