ตอนที่10. พูดจริงรึ
“จริงรึ! ศิษย์..เอ่อ ผู้ดูแลหลิวพูดจริงรึ?”
“เจ้าอยากเป็นบ่าวรับใช้ขนาดนั้นเลยเรอะ” นางก็ไม่เคยเห็นปีศาจตนใดอยากเป็นบ่าวรับใช้มาก่อน แน่นอนว่าทุกตนอยากสะสมพลังเพื่อก้าวสู่ความเป็นจอมปีศาจ หรืออย่างน้อยก็ไม่ถูกปีศาจตนอื่นดูแคลนและขยี้ด้วยปลายเท้า
“ย่อมไม่ใช่เช่นนั้น” เข่อซิงส่ายหน้าไปเร็วๆ “ยามอยู่ที่หุบเขาจื่อ เซ่อ บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องให้ข้าศึกษาจากหนังสือภาพวังวสันต์มาก่อน และเคยแอบดูพวกเขาเสพพลังหยางมาบ้าง...ข้าเพียรพยายามแล้วจริงๆนะ แต่ยังทำไม่สำเร็จเท่านั้นเอง”
“พยายามแล้ว! เจ้าก็กล้าพูดออกมาได้! หากพยายามแล้วท่านแม่จะส่งเจ้ามาอยู่กับข้าอย่างนี้เรอะ!”
หลิวชิงเซียนเผลอตวาดออกมา บรรดาบ่าวรับใช้ที่อยู่ใกล้ถึงกับตัวสั่นลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น แต่หลิวเข่อซิงยังยืนกอดห่อผ้าทำตาปริบๆ อย่างงุนงงว่าพูดอะไรผิดไป เหตุใดศิษย์พี่ใหญ่ เอ่อไม่ใช่สิ ผู้ดูแลหลิวต้องพูดจาเสียงดังใส่นางด้วยนะ
“ไม่ได้ ท่านแม่ให้ข้าฝึกฝนเจ้า เจ้าก็ต้องออกรับแขกด้วยตนเอง”
“แต่มันน่ากลัวนี่น่า ไหนจะเสียงร้องสยอดสยองนั้นอีก ข้า...ข้าไม่มั่นใจว่าจะทำได้”
“เสียงร้องสยอดสยองอันใด นั้นเรียกเสียงครวญกระเส่าต่างหาก!” หลิวชิงเซียงถลึงตาใส่อีกครั้ง สวรรค์! นางทำผิดอันใดถึงต้องมาสั่งสอนเข่อซิง พลังชีวิตที่สะสมมาต้องสิ้นเปลืองไปเพราะเจ้าตัวโง่งมตนนี้แล้ว นางสูดลมหายใจอีกเฮือกใหญ่แล้วกัดฟันคลี่ยิ้มอ่อนโยนออกมา
“เอาเป็นว่า เจ้าทำตามที่ข้าสอน ต้องพยายามให้มากขึ้นกว่าที่เคยทำมา ไม่เช่นนั้นจะเสียชื่อเสียงข้าหมด เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“อื้ม! ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะพยายามสุดความสามารถ จะต้องเก่งกาจให้เหมือนผู้ดูแลหลิวให้ได้!”
“ได้แค่ปลายเล็บของข้าก่อนค่อยคุยโม้โอ้อวดตน” หลิวชิงเซียงส่ายหน้าระอาใจ “เจ้าเป็นเพียงปีศาจชั้นต่ำ พลังก็น้อยนิด หากไม่เสพพลังชีวิตจากมนุษย์ก็จะกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดง อยู่ที่นี่แม้พวกเราเป็นปีศาจแต่ด้านนอกก็มีนักล่าปีศาจและนักพรตปราบมารอยู่มากมายที่จ้องสังหารพวกเรา เจ้าต้องระวังตัวให้ดี อย่าให้ผู้อื่นได้กลิ่นไอปีศาจจากตัวเจ้า”
หลิวชิงเซียงกล่าวเป็นการเป็นงานไม่ได้ตวาดอีก ทำให้หลิวเข่อซิงฟังด้วยความตั้งใจ
“หอนางโลมเป็นแหล่งรวมมนุษย์อันหลากหลาย ความโสมมของมนุษย์จะกลบกลิ่นไอปีศาจของพวกเราได้ อยู่ที่นี่เชื่อฟังข้า ต่อให้ไม่ชอบก็ต้องทำ”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“ดี” ชิงเซียงพยักหน้าอย่างพอใจ “ข้าไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าเป็นมาอย่างไร แต่ตอนนี้เจ้าคือปีศาจจิ้งจอกแดงสกุลหลิว อย่างไรก็อย่าได้ทำสิ่งใดให้อับอายถึงท่านแม่ที่ชุบเลี้ยงเจ้ามา เอาล่ะ เจ้าเพิ่งมาถึงก็ไปพักผ่อนก่อน สถานะตอนนี้ของเจ้าเป็นเพียงบ่าวรับใช้ ก็อยู่ที่เรือนคนรับใช้ไปก่อน หากวันหน้าเจ้าเรียนรู้ได้เร็วออกรับแขกได้ ข้าจะจัดหาห้องหับให้เจ้าอยู่เป็นส่วนตัว”
“ขอบคุณผู้ดูแลหลิว”
คราวนี้น้ำเสียงนางไม่ได้ติดตลกให้ชวนหัวเราะอีก หลิวชิงเซียงปรายตามองเล็กน้อย แล้วโบกมือไล่ให้หลิวเข่อซิงออกไปพร้อมบ่าวรับใช้อีกคนที่นางสั่งให้คอยดูแลและสอนงานเข่อซิง
หลิวเข่อซิงกอดห่อผ้าของตนเองแน่น นางเองก็ไม่รู้ว่าจากที่เคยเป็นจิ้งจอกแดงหากินในป่า เหตุใดวันหนึ่งนางกลายร่างเป็นมนุษย์ขึ้นมาได้ มีเพียงมือของ ‘ท่านแม่’ ที่ลูบหัวปลอบขวัญนาง แม้การเสพพลังชีวิตมนุษย์จะเป็นเรื่องยากสำหรับนาง แต่นางไม่ต้องการเป็นภาระผู้ใด นางจะพยายามเรียนรู้ที่จะเป็นปีศาจให้ได้
ชายหนุ่มรูปร่างแบบบางนั่งอยู่หน้าเตาขนาดเล็กที่กำลังต้มยาอยู่ มือข้างหนึ่งเคี่ยวยาในหม้ออย่างเชื่องช้า แม่ทัพหนุ่มเดินผ่านมาเห็นท่าทางเหม่อลอยของที่ปรึกษาแล้วขมวดคิ้ว จากเดิมที่คิดจะไปลานประลองจึงเลี้ยวไปหาสหาย
“เหตุใดต้องมาต้มยาด้วยตนเองเช่นนี้ บ่าวไพร่ไปที่ใดกันหมด”
“ข้าไล่พวกเขาไปเอง” หานหรงเหยาเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางเบา “ยาก็ยาของข้า ไยต้องคอยรบกวนผู้อื่นอยู่ร่ำไป”
“แต่ฐานะเจ้า...”
“เรื่องฐานะนั้นช่างเถิด การต้มยาก็เปรียบเหมือนการทำสมาธิ ข้ากำลังใช้ความคิดตรึกตรองบางเรื่องอยู่”
“เรื่องใดกัน” ซุนเจ้าเฟิงเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม พลันมุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “คงมิได้คิดถึงหญิงงามผู้นั้นกระมัง”
