ตอนที่ 3 แอบเข้าจวน
3 วันผ่านไป
ตอนนี้ซิงอีเริ่มคุ้นชินกับโลกที่นี่บ้างแล้ว และเงินที่เธอขโมยมาจากชายหนุ่ม ตอนเธอช่วยที่ลำธารครั้งที่แล้วก็เริ่มหมดแล้วเช่นกัน ตลอดสามวันที่ผ่านมาเธอคอยศึกษาและสังเกตการใช้ชีวิตของคนที่นี่ พบว่าโลกแห่งนี้ไม่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ที่เธอเคยเรียนมาเลย แต่การปกครองรวมถึงการใช้ชีวิตต่างๆ เหมือนกันทุกอย่าง แผ่นดินที่เธอกำลังยืนอยู่นี้ คนที่นี่เรียกว่าเทียนหลั่ว ปกครองโดยกษัตริย์แผ่นดิน หมู่บ้านที่เธออยู่ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง แต่อยู่รอบนอกเดินทางแค่2ลี่ก็ถึงแล้ว และเธอยังรู้มาอีกว่าคนที่นี่ส่วนใหญ่ไม่ทำอาชีพการเกษตร ค้าขายก็จะขายตัวไปเป็นบ่าวรับใช้ในจวนขุนนาง หรือเหล่าเศรษฐีในเมืองหลวง และนั้นก็คือเป้าหมายของเธอเช่นกัน เธอที่ไม่เคยทำการเกษตรหรือค้าขายมาก่อน ทำให้ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง แถมอาชีพพวกนี้ก็ต้องใช้เงินทุนด้วย ซิงอีก้มมองเงิน 3 เหรียญในมือ คนที่นี่เรียกเงินที่ใช้ แบ่งออกเป็น 3 เหรียญคือ เหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง โดย 1 เหรียญทองคือ 10 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญเงินคือ100 เหรีญทองแดง ส่วนเหรียญที่เธอเหลือตอนนี้คือ 3 เหรียญทองแดง
วันนี้คือวันสุดท้ายที่เธอจะอยู่โรงเตี๊ยมเหม่ยชินแห่งนี้ เธอยอมจ่ายไป 10 เหรียญทองแดง ซึ่งเป็นราคาถูกที่สุดในตลาดนี่แล้ว และสามารถพักได้แค่ 3 วัน พรุ่งนี้เธอคิดว่าจะเข้าเมืองหลวงไปสมัครเป็นบ่าวรับใช้ในจวนใดสักจวน ถึงตอนนั้นค่อยหาวิธีกลับโลกของเธอให้ได้ เธอหวังเพียงเล็กๆ ว่าในโลกที่เคยอยู่จะมีชีวิตอยู่ถึงแม้ว่าจะริบหรี่เพราะเธอตกมาสูงขนาดนั้น
“เฮ้ออออ” หญิงสาวถอนหายใจออกมาอย่าท้อใจก่อนที่จะหลับไป
.
เช้าวันถัดมา
ซิงอีรีบตื่นแต่เช้าเพื่อจะเดินทางเข้าเมืองหลวง ระยะทางแค่ 2 ลี่เธอเลือกเดินไปแทน ไม่ใช่เพราะเธอขยันหรือว่าอะไรแต่ตอนนี้เหรียญที่เธอมีลดลงไปแล้ว 1 เหรียญเพราะซื้ออาหาร ซินอีมองเงินในมือที่เหลือ จากนั้นมองไปทางประตูเมืองหลวงที่มีคนเข้าแถวด้วยสีหน้าที่มุ่งมั่น และเดินไปต่อแถว
“เเย่แล้ว”
ซิงอีอุทานขึ้นเมื่อเธอเห็นว่าคนที่จะเข้าไปได้ต้องมีป้ายชื่อ เเต่เธอที่เคยเป็นแค่ขอทานจะมีได้อย่างไร ซิงอีมองซ้ายทีขวาทีอย่างหาตัวช่วย แต่แล้วก็หันไปเจอรถม้าน่าจะเป็นพวกเศรษฐีแน่ๆ จึงได้แอบย่องไปด้านหลัง เป็นบ่าวรับใช้ที่ท้ายแถว ดีหน่อยที่สีชุดที่นางใส่เป็นสีฟ้าอ่อนเหมือนกัน ถึงแม้ลักษณะจะไม่เหมือนแต่ก็ดูเข้าพวก ขณะเดินผ่านยามที่เฝ้าหน้าประตูเธอทำได้เพียงก้มหน้าและหันไปทางอื่น จนผ่านเข้ามาได้จึงทำให้หญิงสาวถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นรีบแยกออกจากขบวนทันที ซิงอีเดินหาจวนที่เธอรับสมัครบ่าวรับใช้จนครึ่งค่อนวัน แต่ก็ไม่มีสักทีจนต้องหาที่นั่งพักเอาแรงก่อนที่จะเป็นลมไปซะก่อน
“ขอถามหน่อย ปกติคนที่นี่จะไปสมัครเป็นบ่าวรับใช้กันที่ไหนเจ้าคะ” ซิงอีถามแม่ค้าที่ขายผักในตลอด
“แม่หนูไม่รู้หรือ หากจะขายตัวเป็นบ่าวรับใช้ต้องไปที่สำนักเหมียนเตี้ยน”
“แล้วอยู่ที่ไหนหรือเจ้าคะ”
“ท้ายตลาดนู้นเลย เจ้าลองไปดูนะ”
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ”
ซิงอีกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ จากนั้นเดินไปตามทางที่แม่ค้าขายผักชี้ เธอใช้เวลาถึง 1 เค่อก็มาถึง แต่กลับพบว่าป้ายด้านหน้าเขียนปิดว่าหยุดทำการ
ซิงอีเดินออกมาอย่างคอตก พลางเงยหน้าขึ้นมองบนฟ้าที่เมฆตั้งเค้าเหมือนฝนจะตกอีกไม่นานนี้แน่ๆ ซิงอีรู้สึกสิ้นหวัง และเดินไปพิงกับกำแพงอย่างเหนื่อยล้า
“ทำไมพระเจ้าทำกับฉันเช่นนี้”
หญิงสาวบ่นออกมา พลางเอามือทุบไปที่กำแพงอย่างระบายอารมณ์
“โอ๊ยยยย” หญิงสาวร้องออกมาด้วยความเจ็บเมื่อมือกระทบกับกำแพง
“แล้วมันกำแพงอะไรเนี้ย ยาวชะมัดเลย” ซิงอีพูดออกมาอย่างสงสัย แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นบันไดไม้อยู่แถวนั้นพอดี จึงรีบไปหยิบและวางพาดไปกับกำแพง จากนั้นปีนขึ้นไปแต่ด้วยความที่กำแพงสูงกว่าบันไดนั้น จึงทำให้เธอต้องเอื้อมมือให้ถึง และปีนขึ้นไปบนกำแพงได้สำเร็จ
ภายในกำแพงที่เธอเห็นตอนนี้ทำให้เธอต้องเบิกตากว้างเพราะด้านในน่าจะเป็นจวนของขุนนางไม่ก็เศรษฐี เพราะตรงที่เธอปีนมานี้ เป็นแค่ศาลาน้ำ ที่มีสะพานทอดไม้ยาวลงไปกลางแม่น้ำ มีการปลูกต้นไม้ดอกไม้ประดับอย่างสวยงาม แถมมีหินขนาดใหญ่ที่นำมาตกแต่งอย่างสมจริง
“หานางพบหรือไม่”
จู่ๆ ก็มีเสียงทุ้มดังขึ้นมา พร้อมด้วยชายหนุ่ม 2 คน ที่1ในนั้นน่าจะเป็นเจ้าของจวนเพราะแต่งตัวดูดีด้วยผ้าเนื้อดี ส่วนอีกคนออกแนวไปทางเรียบร้อยดูสุภาพมากกว่า
“ยังไม่พบเลยขอรับ” ชายที่เดินมาด้วยเอ่ยตอบ
“แล้วชาวบ้านแถวนั้นล่ะว่าอย่างไร”
“ชาวบ้านพวกนั้นบอกว่า พอมาถึงก็เห็นท่านนอนอยู่ที่บนบกแล้ว แล้วยังบอกอีกว่าเออ..ว่า”
ชายที่ดูเหมือนลูกน้องลังเลว่าจะควรพูดดีไหม
“ว่าอย่างไร”
ชายหนุ่มถามเสียงเข้มขึ้นมานิดหน่อย
“ว่า...ว่าตอนที่พวกเขากำลังซักผ้าอยู่ เห็นผีตนหนึ่งหน้าเกลียดน่ากลัวมาที่ลำธาร จนพวกเขาต้องวิ่งหนีไป แล้วกลับมาอีกทีก็เจอท่านนอนสลบอยู่ พวกเขาจึงคิดว่าอาจเป็นผีตนนั้นที่ช่วยท่านไว้”
“ผีเผลออะไรของเจ้า เหลวไหล” ชายหนุ่มพูดพลางส่ายหน้า ให้กับเรื่องที่ผู้ช่วยเขาไปสืบมา
ด้านซิงอีที่แอบอยู่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกคุ้นเป็นอย่างมาก จึงขยับท่าทางเพื่อจะฟังให้ชัด แต่หญิงสาวลืมว่าตัวเองอยู่บนกำแพง ทำให้ตกเข้ามาในจวนทันที
ตุบ!!
“โอ๊ยยยย” ซิงอีร้องออกมาด้วยความเจ็บ ไม่ใช่เตี้ยๆเลยกำแพงนี้ ทำให้นางต้องก้มม้วนตัวลงไปด้วยความเจ็บ แต่ขณะที่เธอกำลังเงยหน้าขึ้นมานั้น กลับมีดาบเงาวับมาจ่อที่คอเธอทันที
“เจ้าเป็นใคร แอบลักลอบเข้ามาทำไม” ผู้ช่วยของชายหนุ่มเอ่ยถามในขณะที่มือถือดาบจ่อคอซิงอีอยู่
“ข้าเพียงหลงทางมาพี่ชาย ท่านช่วยลดดาบลงหน่อย” ซิงอีพูดพลางยกมือดันดาบออกจากคอเล็กน้อย
“หลงทางอะไรของเจ้า รีบบอกมา”
ชายที่ถือดาบยังเอ่ยถามต่อและดันดาบเข้ามาที่คอหญิงสาวใกล้ขึ้น และก็มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา ซึ่งก็คือชายที่ยืนคุยด้วยกันแต่แรก ซิงอีสังเกตสีหน้าของชายที่เดินมาตรงหน้า คาดว่าน่าจะคือเจ้าของจวนที่นี่ เธอรู้สึกคุ้นหน้าเขาเป็นอย่างมาก แต่แล้วภาพของชายที่โดนยิงธนูใส่ และหมดสติลอยมากับน้ำก็เด้งขึ้นมา ตอนนั้นชายหนุ่มหน้าซีดเซี่ยวแต่ตอนนี้กลับดูดีขึ้นเล็กน้อย บวกกับเรื่องที่เธอแอบฟังเมื่อสักครู่ทำให้เธอมั่นใจมากขึ้นว่าเขาคือคนที่เธอช่วยขึ้นจากแม่น้ำเมื่อ 3 วันก่อน
