ตอนที่ 11 ผู้ใดส่งเจ้ามากันแน่
“ข้า…ข้า”
หญิงสาวอึกอักเล็กน้อย
“ตอบให้ดี หากภายหน้าข้ารู้ว่าเจ้าโกหกคงจะรู้นะว่าต้องเจออันใด”
ชายหนุ่มเอ่ยขู่หญิงสาวหน้าตาเฉย โดยที่ก้มหน้าอ่านตำราไม่ได้หันมามองหน้านางแม้แต่น้อย
“ข้า…ข้ารู้หนังสือเจ้าค่ะ”
ซิงอีตะโกนออกไปในขณะที่ก้มหน้าไปกับพื้น
“เจ้าเคยเป็นแค่ขอทานไยถึงรู้หนังสือ”
ชายหนุ่มพูดพลางลุกขึ้นเดินไปยังชั้นวางตำราด้วยท่าทางสบายๆ “นางจะแก้ตัวเช่นใด ขนาดชาวบ้านธรรมดายังหายากนักที่จะรู้หนังสือ” จางเหว่ยกล่าวกับตนเองในใจพลางยิ้มที่มุมปาก
“เอ่อ…คือว่าข้า…อ่อ! ข้าเคยเป็นขอทานอยู่หน้าสำนักศึกษา บางวันข้าก็แอบเข้าไปฟังได้ยินผ่านๆ มาบ้าง แต่ข้าไม่เก่งหรอกเจ้าค่ะ สมองอันน้อยนิดของข้าไหนเลยจะเทียบคนทั่วไปได้ ท่านอย่าเก็บมาใส่ใจเลยเจ้าค่ะ”
ซิงอีพูดพลางลุกขึ้นและรินชาเดินไปหาชายหนุ่ม จากนั้นยื่นชาให้เขาและแย้มยิ้มจนเห็นฟันขาว
“สำนักศึกษาที่ใดกัน ถึงแค่ได้ยินผ่านๆยังทำให้เจ้ารู้ได้ขนาดนี้”
“สำนักศึกษาทางตอนใต้เจ้าค่ะ”
“บอกชื่อสำนักมา!”
ชายหนุ่มออกคำสั่งเสียงเข้ม ทำให้หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย “จะถามอันใดเยอะแยะขนาดนี้” ซิงอีกล่าวกับตนเองในใจ
“สำนักศึกษาจันทร์เจ้าเจ้าค่ะ เป็นสำนักศึกษาในบริเวณชายแดนท่านไม่เคยได้ยินหรอกเจ้าค่ะ”
หญิงสาวคิดชื่อสำนักศึกษามั่วๆ ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พลางยื่นชาไปให้เขาอีกรอบ
แป๊ะ!
เสียงของตำราที่ทำจากต้นไผ่กระทบลงบนชั้นเมื่อชายหนุ่มเก็บไว้ที่เดิม จากนั้นหันหน้ามาทางหญิงสาว จ้องมองไปที่ดวงตาของนางเพื่อหาว่าสิ่งที่นางพูดเป็นความจริงหรือไม่ และสาวเท้าเข้าไปหานางเรื่อยๆ “สำนักศึกษาจันทร์เจ้าอะไรของเจ้ากัน ดูก็รู้ว่านางโกหกชัดๆ” จางเหว่ยกล่าวกับตนเองในใจ ขณะที่สาวเท้าเข้าใกล้นางเรื่อยๆ เช่นกัน ซิงอีที่เห็นท่าทางของชายหนุ่มก็ขยับเท้าถอยหลังไปทีละก้าว แต่หญิงสาวก็ต้องรู้สึกสถานการณ์ตรงหน้าไม่ดีเอาเสียเลยเมื่อแผ่นหลังชนเข้ากับชั้นตำราอีกชั้นที่อยู่ด้านหลัง นางไม่สามารถถอยออกไปได้อีกแล้ว
“ใครส่งเจ้ามา”
ชายหนุ่มเอ่ยถามหญิงสาวอีกครั้ง
“ไม่มีใครส่งข้ามาทั้งนั้นเจ้าค่ะ”
หญิงสาวเอ่ยปฏิเสธด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อย เพราะตอนนี้หน้าตาของชายหนุ่มน่ากลัวยิ่งนัก และหากว่านางไม่สามารถตอบคำถามเขาได้ คงต้องถูกฆ่าทิ้งเป็นแน่
“บอกมา!”
ปัง!
เพล้ง!
เสียงของฝ่ามือกระทบกับชั้นวางตำราเสียงดัง เมื่อจู่ๆ ชายหนุ่มก็คว้าไปที่ข้อมือหญิงสาวที่กำลังถือถ้วยชาอยู่และยันไปที่ชั้นตำรา ทำให้ถ้วยชาที่เดิมถูกหญิงสาวถืออยู่ตกแตกกระจายที่พื้น น้ำชาร้อนๆ ตกลงไปราดที่ปลายเท้าเรียวยาวสวยของหญิงสาว ทำให้เดิมจากขาวผ่องจนเกิดสีแดงระเรื่อตรงบริเวณที่ถูกน้ำชาราดโดนเมื่อถุงเท้าผ้าสีขาวโดนน้ำจึงเห็นด้านในเนื้อผ้า ถึงจะรู้สึกแสบร้อน แต่ซิงอีก็ไม่กล้าที่จะส่งเสียงโอดโอย เพราะชายตรงหน้านางตอนนี้น่ากลัวเสียกว่า ใบหน้าของจางเหว่ยอยู่ห่างจากนางไม่มากสายตาคมกริบของชายหนุ่มมองทะลุผ่านดวงตาของนางเหมือนกับเขาสามารถรู้ทุกอย่างโดยที่นางไม่ทันได้บอก หญิงสาวรู้สึกกลัวและอึดอัดเป็นอย่างมาก เพราะนางก็ไม่รู้จะตอบชายหนุ่มได้เช่นไรเหมือนกัน แต่แล้วนางก็ได้ยินเสียงเรียกของสวรรค์เมื่อจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูเรือนเข้ามา
“คุณชายขอรับ”
เสียงของชายหนุ่มที่เดินเข้ามาใหม่นามว่าป๋อเหลียนเอ่ยเรียก ทำให้จางเหว่ยรีบปล่อยมือออกจากหญิงสาว และเดินออกมาจากมุมห้อง ซิงอีที่เห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และรีบเก็บถ้วยชาที่แตก ออกไปจากเรือนทันทีโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตชายหนุ่ม
“มีอันใด”
จางเหว่ยเอ่ยถามผู้ช่วยของหนิงเกาที่เข้ามาหาตน
“ท่านหนิงเกาให้ข้ามารายงานแทนขอรับ”
“เหตุใดเขาไม่มาเอง มีปัญหาอันใดงั้นหรือ”
“การปล้นราบรื่นดีขอรับ แต่ท่านหนิงเกาได้รับบาดเจ็บจากการโดนธนูที่บริเวณหัวไหล่เล็กน้อย ตอนนี้กำลังทำการรักษาอยู่ขอรับ”
ป๋อเหลียนรีบเอ่ยขึ้น ชายหนุ่มจึงพยักหน้า
“ให้เขาพักผ่อนสักอาทิตย์ ส่วนเจ้าไปคอยสังเกตการณ์ว่าทางนั้นเป็นเช่นไรบ้างหลังจากถูกปล้น และมารายงานข้า”
“ขอรับ เพียงแต่ว่า…”
“หากบ่าวไป ใครจะเป็นผู้ช่วยท่านขอรับ”
ป๋อเหลียนเอ่ยถามเจ้านายตน เพราะตอนนี้ท่านหนิงเกาก็ได้รับบาดเจ็บ เขาก็ต้องแฝงตัวเข้าวัง งานต่างๆไม่เหลือคนที่เจ้านายของตนไว้วางใจได้สักคน
“เจ้าไปเถอะ”
จางเหว่ยเอ่ยเสียงเรียบ และนั่งลงอ่านตำราต่อ
“ขอรับ”
ป๋อเหลียนที่เห็นเช่นนั้นก็ไม่อยากรบกวนเจ้านายของตนต่อจึงรีบออกไปจากเรือนทันที
จางเหว่ยอ่านตำราต่อได้ไม่นานก็เดินออกจากเรือนบ้าง
