ตอนที่ 10เป็นขอทานเหตุใดถึงรู้หนีงสือได้
“แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธี ทางพ่อท่านแม่คิดค้นสูตรมาอย่างยากลำบากแต่ก็มีจิตใจเมตตา เผื่อแผ่ผู้อื่น เพียงแต่…. สูตรอาหารนี้หากข้านำไปขายให้โรงเตี๊ยมสักแห่งก็คงขายดีมากเป็นแน่ท่านว่าหรือไม่”
พ่อครัวหลังจากได้ยินคำพูดหญิงสาวก็เข้าใจความหมายของนางทันที
“งั้นข้าขอซื้อสูตรนี้ 30 เหรียญทองแดงพอหรือไม่” พ่อครัวเอ่ยอย่างหมายมั่น เขาต้องได้สูตรนี้มาให้ได้ หากข้างนอกได้สูตรนี้ไปคงไม่ได้แน่
“แต่โรงเตี๊ยมข้างนอกให้ข้าตั้ง 50 เหรียญทองแดงข้าก็ยังไม่ขาย ข้าเห็นที่ท่านเป็นคนกันเองและยังเป็นพ่อครัวที่ทำอาหารอร่อยที่สุดเท่าที่ข้าเคยทานมาข้าจะขายให้ท่าน 40 เหรียญทองแดงท่านยังสนใจหรือไม่”
หญิงสาวต่อรองราคาพร้อมทั้งยกยอพ่อครัว เลี่ยงรุ่ยคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้า
“ก็ได้”
พ่อครัวเอ่ยตอบ เงิน40 เหรียญทองแดงแทบจะเป็นเงินครึ่งเดือนที่เขาทำงานเลยก็ว่าได้ แต่เมื่อนึกรางวัลที่จะได้และสูตรอาหารที่อร่อยเช่นนี้ย่อมคุ้มเป็นแน่
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะเขียนสูตรที่ครบกว่านี้ให้ท่านอย่างละเอียดนะเจ้าคะ ส่วนเรื่องเงินท่านค่อยให้ข้าพรุ่งนี้ก็ได้เจ้าค่ะ”
“ทำการค้าเก่งนะเจ้าเนี่ย”
พ่อครัวเอ่ยชมหญิงสาว จากนั้นถือจานออกไปให้คนอื่นๆชิมด้วย
ด้านหน้าประตูครัวมีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนฟังทั้งคู่คุยกันนานแล้ว ผู่เย่วเพียงมาจากเรือนสมุนไพรเพราะเขาสนใจเรื่องนี้จึงได้สร้างเอาไว้ ซึ่งอยู่ติดกับโรงครัวแต่ขณะที่กำลังผ่านเส้นทางนี้กลับได้กลิ่นหอมของอาหาร ทำให้เขาสนใจ แต่เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูก็ได้ยินทั้งคู่คุยกันเสียก่อน จึงหยุดฟังคำพูดของหญิงสาวทำให้เขาต้องยิ้มออกมาเพราะความเจ้าเล่ห์ของนาง จากนั้นจึงเดินออกไป
ซิงอีนั่งทานข้าวต่อ ตอนนี้นางมีเงินแล้ว 40 เหรียญทองแดงขาดอีกแค่ 10 เหรียญทองแดงก็ครบเงินที่นางนำมาจากจางเหว่ย แต่การจะออกไปใช้ชีวิตข้างนอกก็ต้องมีเงินเก็บอีกสักหน่อย มีพอมากแล้วค่อยออกไปจากที่นี่ เจ้าของจวนโหดร้ายและอารมณ์ร้อนเช่นนี้นางไม่อยากอยู่ไปตลอดชีวิตเป็นแน่ “ข้าต้องเก็บเงินให้เยอะมากกว่านี้ แล้วออกไปจากที่นี่” หญิงสาวกล่าวกับตนเองอย่างหมายมั่นในใจและทานอาหารต่อ
หลังจากทานอาหารเสร็จ ซิงอีก็ไปทำงานต่อ เพราะนางได้เลื่อนจากปิ่นไม่ธรรมดามาเป็นปิ่นเหล็กในชั่วข้ามคืนแล้วฉะนั้นหน้าที่หลักๆ คือค่อยยกชาและขนมไปให้คุณชายต่างๆ หรือค่อยรับใช้หน้าเรือนวันนี้นางได้มายืนเฝ้าที่หน้าเรือนรุ่ยเซียงเช่นเคย ตอนนี้นางได้แต่ภาวนาว่าจะไม่มีใครเจ้ามาใช้งาน เพราะนางอยากยืนอยู่เฉยๆเป็นต้นไม้แบบนี้มากกว่า แต่ไม่ทันไรกลับมองไปเห็นร่างคุ้นตาเดินมาพอดี “ชีวิตอันสงบสุขของข้า” หญิงสาวกล่าวกับตนเองในใจ
“คารวะคุณชายจางเหว่ยเจ้าค่ะ”
ซิงอีเอ่ยขึ้นพร้อมทำท่าคารวะ ชายหนุ่มเพียงเหลือบตามองเล็กน้อย และเดินเข้าไปด้านในหญิงสาวจึงรีบเดินไปเอาชามาให้ชายหนุ่มด้วยความรวดเร็ว หากช้านางกลัวเขาจะฆ่านางทิ้งเสียก่อน
“ขออนุญาตนำชาเข้าไปเจ้าค่ะ”
ซิงอีตะโกนพูดอยู่หน้าห้องเพื่อขออนุญาต หลังจากวิ่งไปเอาชาที่โรงครัวมา
“เข้ามา”
เสียงจากในเรือนดังออกมา หญิงสาวจึงเปิดประตูเข้าไปและรินชาให้ชายหนุ่ม จากนั้นเตรียมตัวที่จะเดินออกไปทันที
“เดี๋ยวก่อน”
ชายหนุ่มพูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ
“มีอันใดหรือเจ้าคะ”
หญิงสาวเอ่ยถามและก้มหน้าไปกับพื้น “นี่ข้าทำอันใดผิดไปงั้นหรือ หรือว่าชาร้อนเกินไปหรือว่าเย็นเกินไป ข้าจะถูกไล่ออกเหมือนบ่าวรับใช้คนเมื่อเช้าไหมเนี่ย” หญิงสาวกล่าวกับตนเองในใจ และคิดไปต่างๆนานา
“มาฝนหมึกให้ข้า”
จางเหว่ยเอ่ยเสียงเรียบ ซิงอีที่ได้ยินเช่นนั้นจึงถอนหายใจออกด้วยความโล่งอกและเดินไปนั่งฝนหมึกใกล้ๆ ชายหนุ่ม จางเหว่ยวุ่นวายกับการศึกษาเรื่องการค้าขายเกลือจนเวลาผ่านไปเกือบ 2 ชั่วยาม
“เจ้าลุกไปหยิบหนังสือการค้าเมื่อปีที่แล้วให้ข้าที่บนชั้นที”
ชายหนุ่มพูดขึ้นทั้งๆ ที่หน้ากำลังจดจ่อที่ตำราตรงหน้าอยู่หญิงสาวลุกไปที่ชั้นตามที่ชายหนุ่มบอก แต่เพราะบนชั้นมีหนังสือและตำรามาก ทำให้นางใช้เวลาในการหา ผ่านไปเกือบครึ่งเค่อหญิงสาวจึงเหลือบไปเห็นหนังสือที่หน้าปกเขียนว่าการค้าไว้ จึงรีบหยิบขึ้นมาทันที และนำไปให้ชายหนุ่ม
“นี่เจ้าค่ะ”
ซิงอียื่นให้ชายหนุ่ม จางเหว่ยรับมาจากนั้นเปิดอ่าน แต่แล้วเขาก็พึ่งรู้สึกตัว เมื่อสักครู่เขาคิดว่าคนที่อยู่ข้างกายเขาคือหนิงเกาจึงได้ใช้ให้ไปหยิบหนังสือมาให้เพราะอ่านหนังสือได้ ชายหนุ่มพลิกหนังสือดูด้านหน้า พบว่าเป็นหนังสือการค้าจริงๆ นางนำมาให้เขาถูกได้อย่างไร
“เจ้ารู้หนังสืองั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ”
ซิงอีพูดด้วยความเหม่อลอยเล็กน้อย เพราะนั่งฝนหมึกเฉยๆ ทำให้นางรู้สึกง่วงเป็นอย่างมาก จางเหว่ยหันมาทางหญิงสาว ซิงอีจึงสะดุ้งนั่งตัวตรง “เมื่อสักครู่เขาถามอะไรข้าไปเนี่ย” หญิงสาวคิดในใจนางอยากจะเขกหัวตัวเองกนักตอนนี้
“ท่านถามข้าว่าเช่นไรนะคะ”
หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความระแวงเล็กน้อย
“ข้าถามว่าเจ้ารู้หนังสืองั้นหรือ”
จางเหว่ยถอนหายใจด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนจะถามหญิงสาวอีกครั้ง
“รู้เจ้าค่ะ เอ้ยไม่รู้เจ้าค่ะ”
ซิงอีตอบอย่างตะกุกตะกัก ชาวบ้านยากจนที่นี้ น้อยมากๆที่จะรู้หนังสือ นางที่เป็นแค่ขอทานหากบอกว่ารู้หนังสือ ต้องถูกเขาคาดคั้นหาคำตอบเป็นแน่
“ตกลงรู้หรือไม่รู้”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเข้มด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย
