ตอนที่ 4 ว่าที่คู่หมั้น
และแล้ววันที่ปานชีวันต้องไปที่บ้านเทวากุลก็มาถึง พอนึกถึงคำพูดกวนประสาทของตานั่นแล้ว หล่อนก็ส่ายหัวทันทีไม่รู้ว่าจะรับมือกับเขาได้ไหม คนอะไรหน้าตาหล่อมาก แต่ปากก็เสียมากเช่นกัน ถ้ารู้ว่าหล่อนเป็นคนที่จะต้องแต่งงานด้วย ตานั่นจะทำหน้ายังไงนะ ไม่นานรถของปานชีวันมาจอดที่หน้าตึกใหญ่ของบ้านเทวากุล
‘โอ้โห! บ้านปู่มงคลนี่ใหญ่โตจริงๆ แต่ยังไงก็ไม่น่าอยู่เท่าที่ไร่ของเธอ...ที่นั่นอากาศดีกว่าเยอะ’ ปานชีวันคิดในใจ
เมื่อปานชีวันลงมาจากรถก็มีคนมายืนรอต้อนรับหล่อนอยู่ก่อนแล้ว โดยมีหญิงสูงอายุคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นหัวหน้าแม่ บ้านเพราะชุดแตกต่างจากอีกสี่คนและมีคนขับรถอีกหนึ่งคนรวมทั้งหมด 6 คน
“เชิญคุณปานชีวันเข้าไปในห้องรับแขกค่ะ คุณท่านรออยู่ค่ะ ส่วนกระเป๋าของคุณปานชีวันเดี๋ยวแม่บ้านจะเอาไปเก็บให้ที่ห้องนะคะ” หัวหน้าแม่บ้านบอกกับหล่อนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ขอบคุณมากนะคะ” หล่อนกล่าวพร้อมกับยิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร
เมื่อปานชีวันมาถึงห้องรับแขกก็พบว่าทุกคนในบ้านมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทุกคนในบ้านต้อนรับหล่อนอย่างอบอุ่น ยกเว้นนายคฑาวุฒิคนเดียว
‘คนอะไรไม่มีมารยาทสิ้นดี’ หล่อนคิดในใจ
ปานชีวันนั่งลงกับพื้นแล้วก้มลงกราบที่ตักของคุณปู่มงคลอย่างอ่อนน้อม
“สวัสดีค่ะคุณปู่…คุณปู่ยังดูยังหนุ่มแล้วก็ดูแข็งแรงอยู่เลยนะคะ” หล่อนชมปู่มงคลด้วยความจริงใจ คุณปู่มงคลหัวเราะชอบใจกับคำชมของว่าที่หลานสะใภ้
“เดินทางเป็นไงบ้างหนูปานเหนื่อยไหม” นายมงคลเอ่ยถามอย่างใจดี
“ไม่เหนื่อยเลยค่ะคุณปู่” หล่อนตอบพร้อมรอยยิ้ม
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ...คุณแม่” หล่อนยกมือไหว้นายพิทักษ์และนางสิริอร
“ไหว้พระเถอะลูก” ทั้งสองสามีภรรยารับไหว้
“หนูปานขึ้นมานั่งข้างบนเถอะลูก” นางสิริอรกล่าว
“ขอบคุณมากค่ะคุณแม่” ปานชีวันเอ่ยขอบคุณ
นางสิริอรปลื้มว่าที่ลูกสะใภ้มาก เนื่องจากปานชีวันดูว่านอนสอนง่ายและกิริยามารยาทก็เรียบร้อย ดูก็รู้ว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี
“หนูปานค่ำๆ นะนายวุฒิถึงจะกลับบ้าน พอดีวันนี้พี่เขามีงานด่วน เขาเลยไม่ได้อยู่ต้อนรับหนู” นายพิทักษ์กล่าว
“ค่ะคุณพ่อ...พี่เขาไม่ได้มาต้อนรับปานก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถึงยังไงเราก็ต้องได้เจอกันอยู่แล้วค่ะ” ปานชีวันตอบพร้อมทั้งส่งยิ้มน่ารักให้นายพิทักษ์
ถึงปานชีวันจะดูมีความมั่นใจและไม่ยอมคนมากแค่ไหน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่หล่อนจะน่ารักและมีความอ่อนน้อมเสมอ
วันนี้เป็นวันที่คฑาวุฒิไม่อยากจะกลับบ้านเอาเสียเลย เขาไม่อยากจะเจอหน้ายัยปานชีวันอะไรนั่นเลย เขากลัวว่าเขาจะได้แต่งงานกับยัยอ้วนนั่น แค่คิดก็ขนลุกแล้ว แต่ความเป็นจริงแล้วถึงยังไงเขาก็ต้องกลับบ้านอยู่ดี เพราะคุณปู่ยื่นคำขาดมาแล้ว
พอคฑาวุฒิกลับมาถึงบ้าน เขารู้สึกว่าวันนี้ที่บ้านของเขาครึกครื้นผิดปกติ
‘หรือเป็นเพราะยัยนั่น’ ชายหนุ่มคิด
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงเดินตามเสียงหัวเราะไปที่ห้องรับ แขก พอเห็นปานชีวันนั่งอยู่ข้างๆ คุณปู่เขาก็ทำหน้าสงสัย
“ตาวุฒิมานี่สิ...ปู่จะแนะนำให้รู้จักว่าที่คู่หมั้น”
“ครับ!” คฑาวุฒิรับคำอย่างว่าง่าย
“นี่หนูปานชีวันนะ...ส่วนนี่คือพี่คฑาวุฒิหรือเรียกว่าพี่วุฒิก็ได้นะหนูปาน” ชายสูงวัยพูดกับหลานชายก่อนจะหันมาพูดกับว่าที่หลานสะใภ้
“สวัสดีค่ะคุณคฑาวุฒิ” ปานชีวันเอ่ยทักทายเขาพร้อมทั้งยกมือขึ้นไหว้
คฑาวุฒิรับไหว้หล่อน แล้วเดินมานั่งข้างๆ หญิงสาวพลางกระซิบข้างหูเล็กเบาๆ
“นี่เธอชื่อปานชีวันเหรอ วันนั้นทำไม่บอกฉัน”
“ฉันไม่บอกคุณตรงไหน ก็ฉันบอกคุณว่าฉันชื่อปาน...มันเป็นชื่อเล่นของฉัน ใครจะไปรู้ว่าคุณอยากจะรู้ชื่อจริง”
“เธอนี่นะ! หรือว่ามันเป็นแผนการของเธอ ความจริงเธอคิดจะจับฉันอยู่แล้ว”
“คนอย่างฉันไม่จำเป็นต้องมีแผนการอะไรทั้งนั้น รู้ไว้เสียด้วยฉันไม่ได้อยากแต่งงานกับนายสักนิด ฉันก็แค่ทำตามคำขอของคุณปู่ก็เท่านั้น”
“จะบอกว่าตัวเองเชื่อฟังผู้ใหญ่ว่างั้น”
“อืม! แล้วไง”
“ตาวุฒิรู้จักกับหนูมาก่อนรึเปล่าลูก เห็นคุยกันสนิทสนมเชียว” นางสิริอรเอ่ยถาม เมื่อเห็นทั้งสองคนคุยกันกระซิบกระซาบ
“เคยพบกันครั้งหนึ่งครับ...แต่ผมไม่รู้ว่าเขาคือปานชีวัน”
“ปู่ว่าดึกแล้ว...เราไปทานข้าวกันก่อนเถอะ เดี๋ยวหนูปานจะหิวแย่” นายมงคลตัดบทแล้วทุกคนเดินไปที่โต๊ะอาหารพร้อมกัน
“ปู่ว่าไหนๆ หนูปานก็มาอยู่บ้านเราแล้ว เดือนหน้าปู่ว่าจะจัดงานหมั้นให้นะลูก หมั้นกันไว้จะได้ไม่น่าเกลียด”
“มันไม่เร็วไปเหรอครับคุณปู่” คฑาวุฒิรีบแย้ง ถึงแม้เขาไม่ได้รังเกียจสาวสวยที่อยู่ตรงหน้า แต่เขาก็ยังเสียดายชีวิตโสดอยู่
“จริงด้วยค่ะคุณปู่ ปานว่าให้ปานปรับตัวอีกสักหน่อยดีกว่านะคะ”
นายมงคลมองสองหนุ่มสาวแล้วอมยิ้ม ‘คงจะมีแค่เรื่องนี้แหละที่ทั้งสองคนมีความคิดเห็นตรงกัน’ นายมงคลคิดในใจ
“ไม่ได้หรอกหนูปาน ปู่ได้คุยกับคุณปู่ของหนูเรียบร้อยแล้ว เดือนหน้าปู่อนันท์ก็จะเดินทางมาที่กรุงเทพฯ แล้วนะลูก อีกอย่างหนูก็เป็นผู้หญิงปู่ไม่อยากให้หนูต้องมาเสื่อมเสียชื่อเสียง ที่สำคัญก็จะได้ประกาศให้คนรู้ด้วยว่าเจ้าวุฒิมีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว หลานชายตัวแสบของปู่จะได้เพลาๆ เรื่องผู้หญิงลงด้วย”
“คุณปู่ครับ! ผมจะคบใครไปทั่วสักหน่อย อย่างน้อยคนอย่างผมก็เลือกนะครับ” คฑาวุฒิพูดพลางปรายตามองปานชีวัน
“ไม่ต้องเถียงฉัน! ถึงฉันจะแก่ฉันก็ไม่ได้หูหนวกตาบอดอย่างที่แกคิดนะเจ้าวุฒิ”
เมื่อได้ยินชายสูงวัยพูดเช่นนั้นคฑาวุฒิจึงเงียบแล้วก็ก้มหน้าก้มตาทานข้าวโดยไม่พูดอะไร หลังจากทานข้าวเสร็จ คฑาวุฒิจึงขอคุยกับปานชีวันเพียงลำพัง
“คุณ! เรื่องแต่งงานของเราคุณคิดยังไง” คฑาวุฒิเอ่ยขึ้น
"ฉันไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น ปู่ให้แต่งฉันก็แต่ง”
“ดูๆ ไปแล้วคนอย่างคุณก็ไม่น่าจะเชื่อฟังผู้ใหญ่ขนาดนั้นนะ หรือความจริงคุณคิดอยากจะจับผม”
“ทำไมฉันต้องอยากจะจับคุณ คนอย่างคุณเนี่ยนะไม่เห็นจะมีอะไรดีสักอย่าง นอกจากเจ้าชู้ไปวันๆ”
“ถ้างั้นคุณก็คงต้องการสมบัติของผมสินะ ถึงได้ยอมทำอะไรที่มันขัดใจตัวเองแบบนี้”
“ถึงฉันจะไม่รวยเหมือนคุณ แต่ฉันก็ไม่คิดอยากจะได้สมบัติของคุณหรอกนะรู้ไว้เสียด้วย”
“เมื่อคุณยืนยันอย่างนั้นก็ดี ถ้าอย่างนั้นผมว่าเราสองคนมาทำข้อตกลงกันดีกว่า”
“มีข้อเสนออะไรก็ว่ามา”
“หลังจากเราแต่งงานกันครบหนึ่งปีเราต้องหย่ากันทันที และคุณก็ห้ามยุ่งกับสมบัติของผมหรือของปู่ผมเด็ดขาด...โอเคไหม” คฑาวุฒิยื่นข้อเสนอ
“หนึ่งปี! มันไม่นานเกินไปเหรอคุณ” หญิงสาวถามกลับ
“ถ้าหย่าเร็วกว่านี้มันก็ไม่สมเหตุสมผลน่ะสิ ให้ตายคุณปู่ก็ไม่ยอมให้เราหย่าแน่ๆ”
“เอาอย่างนั้นก็ได้...ดีเหมือนกัน แต่ฉันมีข้อแม้นะ”
“ข้อแม้อะไรก็ว่ามา”
“ข้อหนึ่ง...ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังแต่งงานคุณห้ามแตะต้องตัวฉันเด็ดขาด แม้กระทั่งปลายเล็บก็ห้ามแตะต้อง”
“เรื่องนี้ผมไม่คิดจะทำตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
“ข้อสอง...ฉันต้องการอิสระไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม คุณห้ามบังคับฉัน ถ้าฉันเต็มใจฉันจะทำเอง”
“ได้สิ! ผมก็ไม่คิดว่าคนอย่างคุณจะบังคับอะไรได้อยู่แล้วก็ดื้อเสียขนาดนี้”
เมื่อได้ยินคำตอบจากปากชายหนุ่มปานชีวันก็ถลึงตาใส่เขาทันที
“ข้อสาม...ในระยะเวลาหนึ่งปีที่เราสองคนแต่งงานกัน เราทั้งสองคนต้องเปิดโอกาสให้ตัวเองคบกับคนอื่นได้ เพราะฉันจะไม่ยอมปิดกั้นตัวเองเด็ดขาด ถึงแม้ว่าเราสองคนจะคบกับคนอื่นอยู่ แต่ในระหว่างที่เรายังไม่ได้จดทะเบียนหย่า ห้ามมีความ
สัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนอื่นเด็ดขาด ข้อนี้คนอย่างคุณทำได้รึเปล่า”
“ได้สิ! ข้อเสนอของคุณทั้งสามข้อ ผมไม่มีปัญหานะ มีอะไรจะเพิ่มอีกมั้ย”
“ไม่มีแล้ว...ถ้าคิดออกเดี๋ยวบอกละกัน”
“โอเค! งั้นดิล” เขายื่นมือไปให้หล่อน
“ดิล” ทั้งสองจับมือกัน
‘หวังว่าศึกครั้งนี้จะสงบลงได้นะ’ ปานชีวันคิด ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน
