บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 8 ใต้แสงจันทร์สีเงินกับคำสัญญาที่ไม่ตั้งใจ

คืนนี้...

พระจันทร์สีน้ำเงินเต็มดวง ลอยเด่นสง่าอยู่เหนือยอดหลังคาแหลมสูงของวังน้ำแข็ง

แสงจันทร์นวลเย็นไหลรินลงมาราวกับสายน้ำสีฟ้าซีด ทาบทับผนังน้ำแข็งที่ใสวาวเหมือนกระจก พื้นน้ำแข็งสะท้อนเงาแสงนั้นแตกกระจายเป็นระลอกระยิบระยับ เหมือนทางช้างเผือกไหลผ่านโถงวังอันเงียบงัน

ฉันนอนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงขนสัตว์หนานุ่ม แม้ร่างกายจะเหนื่อยล้าเต็มที แต่เปลือกตากลับปฏิเสธที่จะปิดลงอย่างดื้อดึง

ความหนาวและความเงียบไหลซึมเข้าในอก เหมือนมือที่มองไม่เห็นกำลังเกาะกุมหัวใจไว้แน่น

ฉันลุกขึ้นนั่ง ดวงตาหรี่ลงมองเจ้าหยกหิมะตัวน้อยในกรงน้ำแข็งที่ขดตัวนอนหลับปุ๋ย มันส่งเสียงหายใจแผ่วเบา นุ่มนวล ราวกับเสียงลมหิมะอ่อน ๆ

ฉันยิ้มบาง ๆ อย่างเหนื่อยล้า แล้วถอนหายใจยาว...ปล่อยให้เสียงลมหายใจของตัวเองล่องลอยหายไปในความเงียบ

'นอนไม่หลับเลย...'

เสียงลมหนาวที่พัดเฉื่อยผ่านกระจกน้ำแข็งดังแผ่วเบา

มีชีวิต มีเสียงของมันเอง —

เป็นเพลงโศกที่ไหลเวียนอยู่ทั่ววังแห่งนี้มาเนิ่นนานกว่าฉันจะมาเยือนเสียอีก

สุดท้าย...

ฉันก็สวมเสื้อคลุมขนสัตว์ แล้วค่อย ๆ แง้มประตูห้องออกอย่างระมัดระวัง

โถงทางเดินน้ำแข็งทอดยาวออกไปไม่มีที่สิ้นสุด เงาสีเงินและสีน้ำเงินจากจันทร์เต็มดวงไหลฉาบไปตามผนัง สะท้อนบนพื้นเหมือนโลกทั้งใบกำลังหลับใหลอยู่ในห้วงฝัน

มีเพียงเสียงฝีเท้าเบา ๆ ของฉัน...เบาจนแทบไร้เสียง ราวกับตัวเองกลายเป็นเพียงเงาเงียบ ๆ ในความว่างเปล่านี้

ฉันปล่อยให้เท้านำพาไปเอง ไม่รู้ปลายทาง ไม่รู้จุดหมาย เพียงปล่อยให้หัวใจว่างเปล่า...และเดินไปตามเสียงเรียกที่ไม่มีตัวตน

แล้ว...

สายตาของฉันก็สะดุดกับบางอย่างตรงลานกลางวัง

ใต้แสงจันทร์สีน้ำเงินที่ทอดตัวลงมาราวม่านโปร่งใส

ร่างสูงสง่าในชุดคลุมสีเทาเงิน

ยังคงยืนอยู่กลางลานน้ำแข็ง กายแผ่วเบาดั่งเงาในห้วงความฝัน เส้นผมยาวสีครามปลิวไหวตามสายลมอ่อน ๆ ปลายชุดคลุมกว้างพลิ้วตามจังหวะการเคลื่อนไหวที่งดงาม เหมือนการเต้นรำเงียบ ๆ ท่ามกลางโลกที่หลับใหล

แขนเสื้อกว้างโบกสะบัดช้า ๆ ขณะที่มือเรียวยาวร่ายเวทมนตร์อย่างแผ่วเบา ละอองแสงสีน้ำเงินเรืองรองบางเบา ลอยขึ้นเหนือฝ่ามือของเขา เส้นเวทมนตร์เคลื่อนไหวราวสายน้ำแข็งที่เปล่งแสง —ละเอียด อ่อนโยน และงดงามเกินกว่าจะบรรยายด้วยถ้อยคำใด ๆ

เวทมนตร์ของเขา...

ไม่ใช่อาวุธ ไม่ใช่คำสาป แต่เป็นบทเพลงไร้เสียงที่สะท้อนความเปล่าเปลี่ยวที่ลึกสุดในหัวใจ

ฉันหลบอยู่หลังเสาหินน้ำแข็ง สายตาจับจ้องเขาอย่างลืมหายใจ ไม่กล้ากะพริบตาแม้แต่น้อย...กลัวว่าภาพนี้จะสลายหายไปกับสายลม

ในยามกลางวัน เขาคือองค์ชายผู้เย็นชา

แต่ในยามกลางคืน...

เขาคือชายหนุ่มผู้โดดเดี่ยวที่ร่ายเวทอยู่ใต้แสงจันทร์— ไร้ผู้คน ไร้คำกล่าวขาน ไร้การรับรู้จากโลกทั้งใบ

หลงอวิ๋นค่อย ๆ ลดมือข้างหนึ่งลง เส้นเวทมนตร์ที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศค่อย ๆ สลายตัวไปเหมือนเกล็ดหิมะที่หลอมละลาย

แล้วเขาก็หันมา...ดวงตาสีฟ้าเข้มนิ่งสงบจับจ้องมายังฉันที่ซ่อนตัวอยู่หลังเสาหินน้ำแข็ง

สายตานั้น...แม่นยำเกินกว่าจะบอกว่าเป็นความบังเอิญ เหมือนเขารับรู้ถึงตัวฉันตั้งแต่แรก

หัวใจฉันสะดุ้งเฮือก แต่ไม่ได้เพราะความกลัว เป็นเพราะ...ความอ่อนโยนที่แผ่วเบา แฝงอยู่ในสายตาเยือกเย็นคู่นั้น

เขาไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจ ไม่ได้ดุ ไม่ได้ตำหนิ

เพียงเอียงหน้ามองฉันในเงามืดอย่างเงียบ ๆ

จากนั้น...เสียงทุ้มเย็น ๆ ของเขาก็ดังขึ้นเบา ๆ ท่ามกลางความเงียบของราตรี

“หากหนาว...” เสียงนั้น...นุ่มลงอย่างประหลาด เหมือนหิมะบางเบาที่ร่วงหล่นจากฟ้า

“...ข้าอนุญาตให้เข้าใกล้”

เพียงคำพูดนั้น —

เรียบง่ายเหลือเกิน แต่สำหรับฉัน มันอบอุ่นจนเหมือนเปลวไฟเล็ก ๆ ที่สั่นไหวอยู่กลางพายุหิมะโหดร้าย

ฉันยืนนิ่งอยู่อีกครู่หนึ่ง สองมือกอดอกแน่น นิ่งคิดเพื่อตัดสินใจ

แล้ว...

เท้าก็ค่อย ๆ ขยับ พาฉันก้าวออกจากเงามืดของเสาหินน้ำแข็ง เดินเข้าไปหาเขา — ช้า ๆ แต่มั่นคง

ระยะห่างลดลงทีละน้อย...ทีละน้อย จนกระทั่งฉันสามารถสัมผัสได้ถึงไอเย็นเฉพาะตัวของเขา

ไอเย็นที่คราวนี้...ไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไป เรายืนเคียงกัน ใต้แสงจันทร์สีน้ำเงินที่อบอวลไปด้วยความเงียบสงบ

เรายืนเคียงกันโดยไม่มีคำพูดใด ท่ามกลางลานน้ำแข็งอันกว้างใหญ่เงียบงัน มีเพียงแสงจันทร์สีน้ำเงินทอดผ่านร่างของเราทั้งคู่ ราวกับโลกใบนี้เหลือแค่เราเท่านั้น

หัวใจของฉัน...ยังเต้นไม่เป็นจังหวะ หลังจากเขาพูดประโยคที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน

“หากหนาว...ข้าอนุญาตให้เข้าใกล้”

มันเหมือนคำอนุญาตที่ไม่ใช่แค่เรื่องอุณหภูมิ

แต่มันคือการเปิด ‘ประตูเล็ก ๆ’ ในหัวใจของเขาให้ฉันได้แทรกเข้าไป — แม้เพียงน้อยนิดก็ตาม

เวลาผ่านไปสักพัก ฉันเงยหน้าขึ้นหายใจลึก แล้วเอ่ยเสียงเบา

“วังนี้...ตอนกลางคืนสวยมากเลยนะคะ”

“ถึงจะเงียบไปหน่อยก็เถอะ...”

“ข้า...ชินแล้ว” เขาตอบสั้น ๆ

น้ำเสียงเขาเรียบเฉยเหมือนเคย แต่ฉันฟังออก...ว่ามันไม่ใช่ความเฉยชาที่แท้จริง มันคือ ‘ความว่างเปล่า’ ที่เขาห่อหุ้มตัวเองไว้ต่างหาก

ลมหนาวพัดแผ่วพาเกล็ดหิมะบางเบาร่วงลง เสียงลมนั้นคล้ายเสียงกระซิบของอดีตกาล...แผ่วเบาแต่สะกิดหัวใจไม่หยุด

หลงอวิ๋นยืนนิ่งอยู่ข้างฉัน มือทั้งสองซุกอยู่ในแขนเสื้อคลุมหนา ท่าทางสงบนิ่งเหมือนเคย แต่ในเงามุมของดวงตาเยือกเย็นคู่นั้น ...กลับมีบางอย่างเคลื่อนไหว

เขาเอ่ยขึ้นเบา ๆ น้ำเสียงนั้นราบเรียบ แต่ฟังแล้วคล้ายเสียงสะท้อนจากก้นบึ้งหัวใจที่แสนเงียบงัน

“เจ้ากลัวหรือไม่...กับโลกที่ไม่รู้จัก กับชะตาที่มองเห็นแต่ไม่เข้าใจ”

ฉันหันมามองเขาช้า ๆ ลมหายใจสะดุดเบา ๆ กับคำถามนั้น

เขาไม่มองฉัน สายตายังคงเหม่อมองแสงจันทร์ที่สะท้อนกับผืนน้ำแข็งไกลสุดลูกหูลูกตา เหมือนกำลังถามตัวเอง...มากกว่าจะถามฉัน

ฉันเม้มปาก ก่อนจะตอบอย่างแผ่วเบา แต่จริงใจ

“…กลัวสิ”

“แต่ถึงจะกลัว...ฉันก็ยังอยากรู้”

“อยากรู้ว่า...สิ่งที่เห็นมันคืออะไร และ...จะเปลี่ยนมันได้ไหม”

คำพูดของฉันทำให้เขาหันมามองในที่สุด ดวงตาสีฟ้าของเขาทอประกายเล็กน้อยในแสงจันทร์ ราวกับน้ำแข็งบาง ๆ เริ่มละลาย แม้เพียงเสี้ยววินาที

แต่ก่อนที่ฉันจะได้พูดอะไรต่อ—

สายลมเย็นเฉียบก็พัดแรงขึ้นในฉับพลัน

ฟึ่บ!

เงาของอะไรบางอย่างเคลื่อนวูบผ่านมุมตา เหมือนเงาร่าง...ที่ไม่ควรปรากฏกลางคืนเช่นนี้ พื้นน้ำแข็งใต้เท้าเกิดแรงสะเทือนเบา ๆ

ก่อนที่คริสตัลน้ำแข็งริมลานบางจุดจะเปล่งแสงแปลกประหลาด — สีม่วงเรืองจาง ๆ ราวกับถูกกระตุ้นจากพลังงานต้องห้าม

“ถอย!” หลงอวิ๋นเอ่ยคำสั่งสั้น ๆ

แขนของเขาเหวี่ยงออกอย่างรวดเร็ว วาดเส้นเวทกลางอากาศด้วยมือเปล่า แผ่นเวทมนตร์บางเฉียบกระจายออกเป็นแนวโค้ง

แต่แรงสะท้อนกลับจากพลังที่ปะทะกันกลับรุนแรงกว่าที่เขาคาด

แรงสั่นสะเทือนทำให้พื้นน้ำแข็งใต้เท้าฉันลื่น

“อ๊ะ—!”

ฉันเสียหลัก ล้มลงข้างตัวเขา แต่ก่อนที่ร่างจะกระแทกพื้น วงแขนหนึ่งก็พุ่งเข้ามารับไว้ทัน

หลงอวิ๋นคว้าข้อมือฉันไว้ในจังหวะสุดท้าย แรงกระชากทำให้เราทั้งคู่เสียสมดุลเล็กน้อย ฉันเซไปซบเข้ากับอกเขาเต็มแรง!

กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเสื้อคลุมขนสัตว์ของเขาแทรกเข้ามาในลมหายใจ มือของเขายังคงจับแขนฉันไว้แน่น — อบอุ่นแม้จะเป็นมือของชายที่เหมือนน้ำแข็งเดินได้

หัวใจฉันเต้นรัว จนไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะตกใจ...หรือเพราะอยู่ในวงแขนเขากันแน่

“ระวังตัวให้มากกว่านี้หน่อย”

เสียงทุ้มของเขาดังแผ่วเบา แผ่วเกินกว่าจะเป็นคำตำหนิ...แผ่วเกินกว่าจะเป็นแค่คำเตือน

ฉันเงยหน้าขึ้น และพบว่า...ระยะระหว่างใบหน้าเราสองคนใกล้กันจนแทบได้ยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่าย

แสงจันทร์สีน้ำเงินสะท้อนประกายในดวงตาของเขา ดวงตาที่แม้จะเยือกเย็นดังน้ำแข็งพันปี...แต่ในค่ำคืนนี้กลับทอดแสงอุ่นไหว

หลงอวิ๋นจ้องฉันเงียบ ๆ มือข้างที่ยังจับข้อมือฉันไว้แน่นค่อย ๆ เลื่อนมาประคองไหล่ฉันเบา ๆ —

สัมผัสนั้นแผ่วเบา...ราวกับกลัวว่าฉันจะสลายหายไปกับสายลม ริมฝีปากเขาขยับน้อย ๆ ราวกับลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

ก่อนที่สุดท้าย...เสียงทุ้มต่ำแผ่วเบาก็หลุดออกมา

“ตราบใดที่เจ้าหายใจ...”

เสียงนั้นนุ่มละมุนแต่หนักแน่น ราวกับคำสาบานที่ทอดออกจากหัวใจที่เย็นเยียบตลอดชีวิตนี้

หลงอวิ๋นเอียงหน้าลงใกล้อีกนิด —

เงาของเขาซ้อนทาบลงบนตัวฉันใต้แสงจันทร์สีน้ำเงิน

“...ข้าจะไม่ปล่อยมือ”

คำพูดนั้นพริ้วผ่านอากาศเข้าโอบล้อมหัวใจฉันอย่างเงียบเชียบ อบอุ่น ลึกซึ้ง และเปราะบางอย่างเหลือเชื่อ

หัวใจฉันเต้นถี่...เสียงดังจนเกรงว่าเขาจะได้ยิน

ในค่ำคืนที่เงียบงันนี้

โลกใบนี้มีเพียงลมหิมะที่พัดแผ่ว และหัวใจของเราสองคนที่ยังเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel