บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 7 หิมะ หิว และหัวใจที่ห้ามเต้น

เช้าวันใหม่ในวังน้ำแข็งเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด แสงเงินบาง ๆ จากดวงอาทิตย์ที่ไม่เคยส่องแรงเกินไปในดินแดนหิมะ ทอผ่านหน้าต่างน้ำแข็งหนาเป็นลำแสงอ่อน ๆ คลี่ตัวลงบนพื้นพรมขนสัตว์หนานุ่ม

ฉันขยับตัวใต้ผ้าห่มขนสัตว์ สูดกลิ่นอุ่น ๆ ของไฟเวทย์ที่ยังคงลุกโชนในเตาผิง

ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นอย่างสุภาพ

“คุณผู้มาเยือน...”

เสียงอ่อนโยนของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นจากหลังบานประตู

“ข้ามีนามว่า เสี่ยวหนิง มาดูแลท่านตามบัญชาขององค์ชาย”

ฉันสะดุ้งเล็กน้อย รีบลุกขึ้นจากเตียง กอดผ้าห่มขนสัตว์แนบอกด้วยความเคยชินของคนแปลกที่

แล้วตอบเสียงเบา ๆ

“เข้ามาได้ค่ะ”

บานประตูเปิดออกเบา ๆ อย่างนุ่มนวล

หญิงสาวร่างเล็กในชุดสีขาวสะอาดก้าวเข้ามา

ใบหน้าของเธออ่อนหวาน ดวงตากลมโค้งรับรอยยิ้มสุภาพ ทำให้บรรยากาศแข็งกร้าวของวังน้ำแข็งดูนุ่มนวลลงทันทีที่เธอปรากฏตัว

“ข้ามีหน้าที่นำอาหาร เครื่องใช้ และช่วยดูแลท่านระหว่างที่พักอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ”

เสี่ยวหนิงก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงเคารพ

ฉันยิ้มแหย ๆ ตอบกลับไป พลางกอดผ้าห่มแน่นกว่าเดิมเล็กน้อยด้วยความเก้อเขิน

“ขอบคุณนะคะ...เอ่อ...ฝากตัวด้วยค่ะ”

เสี่ยวหนิงยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะก้าวเท้าเบา ๆ ไปจัดเตรียมอาหารเช้าบนโต๊ะข้างเตาผิง

แม้จะเป็นวังน้ำแข็งที่โอบล้อมด้วยความหนาวเหน็บ แต่โต๊ะอาหารเล็ก ๆ นี้...กลับอบอุ่นกว่าที่ฉันคาดไว้

เสี่ยวหนิงจัดวางจานขนมปังนุ่ม ๆ ที่เพิ่งอบจนหอมกรุ่น แก้วชาร้อน ๆ ที่มีไออ่อน ๆ ลอยขึ้นมาแตะปลายจมูก และชามซุปใสร้อน ๆ ที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลด้วยสมุนไพรอ่อน ๆ

กลิ่นนั้นอบอุ่น...ชวนให้หัวใจอ่อนแรงที่แข็งค้างจากความหนาวละลายลงอย่างช้า ๆ

ฉันหิวจนแทบจะกระโจนใส่โต๊ะ แต่ก็พยายามระงับสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดด้วยมารยาทอันบางเบา นั่งลงบนเก้าอี้ขนสัตว์นุ่ม ๆ ใช้ช้อนเงินตักซุปเข้าปากอย่างตั้งใจ

ซุปใสร้อน ๆ รสชาติอ่อนโยนไหลลงลำคออุ่นวาบ ราวกับละลายเศษเสี้ยวความเหน็บหนาวที่เกาะกุมอยู่ในใจมาตลอดสองวัน

'อย่างน้อย...ก็ไม่ต้องอดตายเพราะหนาวหรือหิว ในวังแห่งนี้'

ฉันคิดในใจ

พลางเหลือบมองเจ้าหยกหิมะที่ขดตัวในกรงน้ำแข็งอยู่ข้างเตาผิง ส่งเสียงหายใจเบา ๆ อย่างพอใจ

บรรยากาศเงียบสงบในห้องเล็ก ๆ นี้ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกโอบล้อมด้วยอ้อมแขนอ่อนโยนที่ไม่เคยคาดหวังจะได้รับจากวังเยือกแข็งแห่งนี้

เมื่อฉันทานอาหารไปได้ครึ่งหนึ่ง เสี่ยวหนิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ ด้วยท่าทางสำรวม รอจังหวะเหมาะสม เธอก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“หากท่านผู้มาเยือนต้องการสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้า ยา หรือความช่วยเหลือ...”

เธอหยิบของบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อของชุดขาว —

มันคือ ระฆังเล็ก ๆ สีเงินเรืองแสงจาง ๆ ขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย รูปทรงคล้ายดอกบัวตูม สลักลวดลายเกล็ดหิมะรอบขอบ

“เพียงเขย่าระฆังนี้เบา ๆ เจ้าค่ะ”

“เสียงจะส่งตรงถึงข้า ไม่ว่าข้าจะอยู่ส่วนไหนของวังน้ำแข็ง”

เธอยื่นระฆังนั้นมาให้ฉันอย่างทะนุถนอม ฉันรับมาด้วยความเกรงใจ แต่ก็อดยิ้มบาง ๆ ไม่ได้

“ขอบคุณนะคะ...มันสวยมากเลย”

เสี่ยวหนิงยิ้มรับ รอยยิ้มอ่อนโยนของเธอเหมือนแสงแดดอ่อน ๆ ท่ามกลางพายุหิมะ

“เป็นเวทเสียงเรียกของวังเก่าแก่เจ้าค่ะ… องค์ชายสั่งให้ข้านำมามอบให้ท่านโดยเฉพาะ”

ฉันชะงักเล็กน้อย

‘...องค์ชาย?’

คำเรียกนั้นทำให้หัวใจฉันเต้นสะดุดอย่างไม่รู้สาเหตุ

“ข้าจะรอรับใช้ท่านเสมอเจ้าค่ะ” เสี่ยวหนิงพูดพร้อมก้มศีรษะอีกครั้ง

“และขอให้ท่านใช้เวลากับวังน้ำแข็งนี้...อย่างอุ่นใจที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

ฉันยิ้มรับเบา ๆ

กำระฆังเงินเล็ก ๆ ไว้แน่นในมืออย่างรู้สึกถึงความปลอดภัยแผ่วเบาที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ

หลังอาหารเช้า ฉันรีบกดเช็กนาฬิกา Omnibite ด้วยความหวังราง ๆ

[กำลังพยายามเชื่อมต่อ...]

จังหวะหัวใจของฉันเต้นเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว

รอคอยอย่างกระวนกระวาย เหมือนคนที่เฝ้ารอโทรศัพท์จากบ้านเกิด

[Error: พลังงานยังไม่เสถียร โปรดลองใหม่อีกครั้งในภายหลัง]

“...เฮ้อ” ฉันถอนหายใจยาวเหยียดอย่างหมดแรง

“พี่ยำ...อย่าทิ้งฉันไว้ที่นี่สิ...”

ฉันพึมพำกับตัวเองเบา ๆ เสียงแหบพร่าเพราะอารมณ์ที่กดทับอยู่ในอก

เจ้าหยกหิมะในกรงน้ำแข็งข้างเตียงเหมือนจะรับรู้ถึงความหดหู่ของฉัน มันส่งเสียง “คิ๊ว~” อ่อนโยนในลำคอ ราวกับจะปลอบใจ

ฉันหัวเราะแห้ง ๆ แล้วก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ เมื่อความหวังริบหรี่ในการติดต่อกลับโลกเดิมเริ่มแผ่ขยายเต็มอก

ประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง

“ตามข้ามา” เสียงทุ้มเย็นเอ่ยขึ้น

ฉันเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจเล็กน้อย

หลงอวิ๋นยืนอยู่ที่ธรณีประตู เส้นผมยาวสีครามเข้มลู่ไหลลงบนไหล่ ชุดคลุมสีเงินเรืองแสงอ่อน ๆ ไหวเบา ๆ ตามแรงลมที่ลอดเข้ามาจากทางเดิน

ดวงตาสีฟ้าของเขาจับจ้องมาที่ฉัน —

นิ่งสงบ เยือกเย็น แต่ไม่แข็งกระด้างเท่าคืนแรกที่เราเจอกัน

ฉันรีบเก็บนาฬิกา Omnibite ใส่กระเป๋า กอดเจ้าหยกหิมะที่หลับปุ๋ยอยู่ในกรงแนบอก แล้วก้าวตามเขาออกไปอย่างรวดเร็ว

วังน้ำแข็งในยามกลางวัน...สวยงามจนน่าใจหาย

เสาหินน้ำแข็งสูงเสียดฟ้าถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจง รูปสัตว์วิเศษ มังกร ลำน้ำ และหมู่ดาว พันร้อยเข้าหากันราวกับโลกทั้งใบถูกร้อยเรียงด้วยปลายนิ้วของเทพเจ้า

พื้นน้ำแข็งใต้เท้าใสสะท้อนแสงแดดอ่อน ๆ ที่ลอดผ่านกระจกน้ำแข็งหนา เกิดเป็นประกายระยิบระยับสีรุ้งที่เต้นระริกไล่ตามฝ่าเท้าไปทุกย่างก้าว

ห้องโถงกว้างใหญ่เต็มไปด้วยประติมากรรมน้ำแข็งรูปร่างแปลกตา —

บางตัวเหมือนนกฟีนิกซ์กำลังสยายปีก บางตัวเหมือนปลาวาฬยักษ์ล่องลอยอยู่เหนือพื้นดิน ทุกรูปปั้นละเอียดลออเสียจนเหมือนพวกมันจะขยับได้จริง ๆ

แสงที่ส่องลอดผ่านคริสตัลน้ำแข็งสูงเหนือหัวทำให้ทั้งวังดูเหมือนลอยอยู่ในความฝัน —

ระหว่างโลกของมนุษย์กับแดนสวรรค์ที่เย็นเยียบ

หลงอวิ๋นเดินนำฉันไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน ฝีเท้าของเขานุ่มนวลมั่นคง ทุกย่างก้าวมีจังหวะที่แน่วแน่เหมือนกับว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของวังน้ำแข็งนี้มาตั้งแต่ต้น

เขาไม่พูดอะไรเลย —

เพียงเดินอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้ฉันได้ซึมซับภาพทั้งหมดด้วยตัวเอง และฉันก็ไม่รู้ตัวเลย...ว่าความกังวล หวาดหวั่น และความเหงาที่เคยเกาะกุมหัวใจมาทั้งคืน เริ่มสลายไปทีละน้อย ราวกับถูกละลายด้วยแสงระยิบระยับของวังน้ำแข็งแห่งนี้

เราผ่าน ห้องบัลลังก์ —

โถงสูงตระหง่านที่เต็มไปด้วยแสงสะท้อนระยิบระยับของน้ำแข็งบริสุทธิ์

ตรงกลางห้อง...ตั้งตระหง่านอยู่คือ บัลลังก์น้ำแข็ง แกะสลักอย่างวิจิตรพิสดาร มังกรน้ำแข็งขนาดมหึมาโอบล้อมรอบบัลลังก์ ด้วยท่วงท่าเยือกเย็นและสง่างามเหมือนสิ่งมีชีวิตจริง

เพดานเบื้องบนประดับด้วย สายคริสตัลใส ร้อยเรียงเป็นเส้นสายละเอียดอ่อน เปล่งประกายแสงระยิบระยับเหมือนหมู่ดาวบนผืนฟ้ายามค่ำคืน

เมื่อมองขึ้นไป...ราวกับโลกทั้งใบกำลังแขวนอยู่เหนือหัว

โถงสีเงินสะท้อนแสงทุกฝีก้าวที่เราย่างผ่าน ความเงียบงันในที่แห่งนี้ ไม่ได้เย็นเพียงร่างกาย — แต่เย็นลึกถึงหัวใจ

ฉันย่างเท้าไปตามหลงอวิ๋นอย่างเงียบ ๆ แต่เมื่อเดินผ่านหนึ่งในเสาน้ำแข็งใสที่ประดับเรียงรายตามทางเดิน ฉันก็เผลอยกมือขึ้นแตะเบา ๆ อย่างไม่รู้ตัว

ปลายนิ้วสัมผัสกับความเย็นเฉียบ...

และทันใดนั้น—

ภาพบางอย่างพุ่งเข้าสู่หัวฉันอย่างรุนแรง

ฉันเห็นหิมะตกหนัก —

เกล็ดหิมะกระหน่ำราวกับพายุโหมกระหน่ำโลกจนแทบแตกสลาย ได้ยินเสียงร้องโหยหวนกรีดแผ่นฟ้า —

เสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด สูญเสีย และความสิ้นหวังจนแทงทะลุเข้าไปถึงกระดูก

และภายใต้พายุหิมะที่ไร้ความเมตตานั้น —

ฉันเห็นเงาร่างบางร่างหนึ่ง ร่างสูงสง่า สวมชุดคลุมที่ปลิวไหว ทรุดตัวลงกลางทะเลเลือดสีแดงฉานที่ซึมไหลเป็นแอ่งใต้หิมะขาวโพลน

เลือด

หิมะ

และความตายที่กัดกร่อนทุกสิ่ง

ภาพนั้นพร่าเลือนเกินกว่าจะจับรายละเอียดได้ เหมือนเศษเสี้ยวของความทรงจำที่แตกสลาย

แต่ความรู้สึกที่มันฝากไว้...

ชัดเจนจนบีบรัดหัวใจฉันจนแทบหยุดเต้น

“อึก...”

ฉันสะดุ้งเฮือก ถอนมือจากผนังน้ำแข็งอย่างรุนแรง ความเย็นเฉียบไหลย้อนจากปลายนิ้วไปจนถึงอก

หลงอวิ๋นหยุดเดิน เขาหันกลับมาช้า ๆ ดวงตาสีฟ้านิ่งสงบแต่เต็มไปด้วยความระวัง

“เป็นอะไร” เขาถามด้วยเสียงราบเรียบ ไม่มีความร้อนรน แต่ก็ไม่เฉยชา

ฉันพยายามพูด แต่เสียงติดขัดกลางลำคอ ราวกับคำพูดทุกคำถูกความกลัวพันธนาการไว้

“ฉัน...ฉันเห็น...” ฉันฝืนเอ่ยด้วยเสียงสั่นไหว

“เลือด...แล้วก็หิมะ...แล้วก็...”

ฉันไม่กล้าพูดคำสุดท้ายออกมา —

คำว่าความตาย

คำที่ยังคงก้องกังวานอยู่ในหัวใจอย่างน่ากลัว

หลงอวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าไม่แสดงความตกใจ เพียงแต่จ้องมองฉันอย่างนิ่งสงบราวกับกำลังชั่งน้ำหนักบางอย่าง

“เจ้ามีดวงตา...ของผู้มองเห็นชะตา” เขากล่าวเบา ๆ ราวกระซิบกับสายลม

“ชะตา?”

ฉันทวนคำนั้นเสียงสั่น หัวใจเต้นกระหน่ำในอก

อย่าบอกนะ...เขารู้แล้ว ว่าฉันไม่ใช่แค่คนส่งอาหารธรรมดา

หลงอวิ๋นไม่ได้ตอบในทันที

เขาเพียงเบือนสายตาออกไปยังหน้าต่างน้ำแข็งสูงที่เผยให้เห็นท้องฟ้าขาวโพลนเบื้องนอก

แววตาของเขาในตอนนั้น...เศร้าลึก ราวกับแบกพายุหิมะที่ไม่มีวันสิ้นสุดอยู่บนบ่าของตัวเอง

ฉันกอดเจ้าหยกหิมะแน่นแนบอก ความอบอุ่นเพียงน้อยนิดนั้นช่วยพยุงหัวใจที่สั่นไหวของฉันไว้ไม่ให้แตกสลาย

'ไม่ว่าภาพนั้นคืออะไร...'

'ไม่ว่าความเศร้าของเขาจะลึกแค่ไหน...'

'ฉันสัญญา...'

'ฉันจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นง่าย ๆ แน่นอน'

แม้ว่าตอนนี้...ฉันจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำอย่างไร

แต่ฉันรู้แค่ว่า —

ฉันอยากปกป้องสิ่งสำคัญนี้ไว้...ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel