ตอนที่ 6 ติดอยู่ในโลกที่ไม่ใช่ของตัวเอง
วังน้ำแข็งเบื้องหน้าเงียบสงบเหมือนความฝัน
ผนังน้ำแข็งใสราวกระจกสะท้อนแสงคริสตัลระยิบระยับ ดั่งหมื่นดวงดาวแขวนอยู่ในคืนหนาว
แต่หัวใจของฉัน...กำลังเต้นสับสนและร้อนรุ่มอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
หลังจากส่งราเมนเสร็จ ฉันคิดว่างานจบแล้ว
แค่กดเปิดระบบ Omnibite แล้วกลับบ้านเหมือนทุกครั้ง
ฉันกวาดนิ้วลงบนหน้าจอนาฬิกาอย่างคล่องแคล่วด้วยความเคยชิน ใจเฝ้าฝันถึงห้องเช่าอันคับแคบ ผ้าห่มขาด ๆ และกลิ่นกาแฟที่เก่าจนขมขื่น
แต่...
[Error: ไม่สามารถเชื่อมต่อมิติปกติ]
[ระบบเสียหาย: โปรดรอการรีเซ็ตพลังงานใน 7 วัน]
ฉันกะพริบตาปริบ ๆ
มองข้อความนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับมันจะเปลี่ยนคำตอบได้ถ้าฉันจ้องนานพอ
“...หา?”
มือไม้เย็นเฉียบจนแทบไม่รู้ตัว
ฉันกดรีเซ็ต กดสแกน กดทุกอย่างที่จำได้จากคู่มือฉุกเฉิน แต่ไม่ว่าอย่างไร...ข้อความเดิมก็ยังคงสว่างอยู่บนหน้าจอ
[คุณติดอยู่ในโลกนี้ 7 วัน]
“...ฉันติดอยู่ที่นี่จริง ๆ เหรอ?”
เสียงตัวเองเบาเสียยิ่งกว่าเสียงลมหิมะข้างนอก เหมือนสมองหยุดประมวลผลในชั่วขณะ เหมือนหัวใจที่ถูกบีบจนแน่นจนไม่มีแรงแม้แต่จะตื่นตระหนก ฉันทรุดตัวลงนั่งพิงเสาน้ำแข็งข้างทาง ห่อไหล่กอดตัวเองแน่น เจ้าหยกหิมะในกรงเวทขดตัวนิ่ง ๆ ส่งเสียงหายใจเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอ
แม้วังน้ำแข็งแห่งนี้จะสวยงามอย่างกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย แต่ความหนาวเหน็บ และความเงียบว่างที่โอบล้อมรอบตัว...ทำให้หัวใจฉันปวดหนึบอย่างบอกไม่ถูก
ฉันเป็นใครกันในโลกนี้นะ?
แค่คนส่งอาหารคนหนึ่ง...
ที่บังเอิญหลุดเข้ามาในโลกที่ไม่ควรเหยียบย่างมาหรือเปล่า?
“ลุกขึ้น”
เสียงทุ้มเย็นดังขึ้นเหนือหัวฉัน
ฉันเงยหน้าขึ้นช้า ๆ
ภาพของหลงอวิ๋นในชุดคลุมสีเทาเงินยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เหมือนรูปสลักน้ำแข็งที่มีชีวิต แววตาของเขายังคงเยือกเย็น แต่ไม่ใช่ความเยาะเย้ย หรือความเฉยชา มันคือความว่างเปล่าที่คุ้นเคยกับความโดดเดี่ยวเกินกว่าคำพูดจะเอื้อนเอ่ย
“ข้าไม่อนุญาตให้เจ้า...ตายด้วยความหนาว”
น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่ง แต่สำหรับฉัน...
มันคือถ้อยคำที่อบอุ่นที่สุดในยามนี้
ฉันค่อย ๆ ลุกขึ้นตามคำสั่งนั้นอย่างเงียบ ๆ
หลงอวิ๋นหมุนตัว เดินนำฉันไปยังทางเดินด้านในของวัง
พื้นน้ำแข็งสะท้อนเงาเราสองคน — เงาที่เดินเคียงข้างกันอย่างเงียบงัน คล้ายกับเส้นทางที่ไม่มีใครย่างเหยียบมานานแสนนาน
ประตูบานหนึ่งเปิดออกอย่างนุ่มนวล
ภายในเป็นห้องเล็ก ๆ เรียบง่าย
มีเพียงเตียงไม้ปูด้วยผ้าขนสัตว์หนาทึบ กับเตาผิงเวทย์ที่ยังไม่ได้จุดไฟ
บรรยากาศภายในเย็นยะเยือก แต่ไม่ถึงกับเยือกแข็งจนทำให้หมดหวัง
“อยู่ที่นี่”
เขากล่าวสั้น ๆ พร้อมพยักหน้าเบา ๆ — เป็นการรับรองแบบไม่ต้องการเอ่ยคำปลอบโยน
“เอ่อ...ขอบคุณค่ะ” ฉันตอบเขาอย่างเขิน ๆ ใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะ
หลงอวิ๋นไม่พูดอะไรอีก เขาหันหลังเดินจากไป ปล่อยให้ประตูปิดลงอย่างเงียบเชียบ
...ไม่มีคำโอ้โลม ไม่มีรอยยิ้ม มีแค่การกระทำเรียบง่าย แต่สำหรับฉันแล้ว — มันมากเกินพอ
ฉันวางกรงน้ำแข็งของเจ้าหยกหิมะข้างเตียง
จากนั้นก็เดินไปยังเตาผิงเวทย์ มือที่ยังสั่นเทาเล็กน้อยเปิดแผ่นคู่มือฉุกเฉินที่ติดอยู่ข้างฝา
ฉันทำตามทีละขั้นตอนอย่างช้า ๆ แล้วเปลวไฟสีฟ้าอ่อนก็ค่อย ๆ ลุกโชนขึ้นกลางเตา ความอบอุ่นบางเบาคลี่ตัวแผ่ซ่านออกมาช้า ๆ ไล่ความเหน็บหนาวจากผิวหนัง
ฉันซุกตัวใต้ผ้าห่มขนสัตว์หนานุ่ม ฟังเสียงหายใจแผ่วเบาของเจ้าหยกหิมะที่นอนขดตัวอยู่อีกด้านหนึ่งของเตียง
แสงไฟสีฟ้าไหวระริกในความมืด ท่ามกลางลมหิมะที่ยังร้องเพลงโหยหวนอยู่นอกหน้าต่าง
'หนึ่งสัปดาห์...'
หนึ่งสัปดาห์ที่ต้องอยู่ในโลกใบนี้ อยู่ในวังน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ อยู่ข้างชายหนุ่มที่เย็นเยียบเหมือนหิมะพันปี...แต่กลับมีรอยร้าวเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ในหัวใจ
ฉันหลับตาลง หัวใจยังเต้นแผ่วเบา ทั้งด้วยความหวาดกลัว และความคาดหวังบางอย่างที่ฉันเองก็อธิบายไม่ได้
คืนนี้...
แม้ลมหิมะยังร้องคำราม แต่ในห้องเล็ก ๆ นี้ ฉันกับเจ้าหยกหิมะยังคงหายใจอยู่ใต้ไออุ่นแห่งความหวังเล็ก ๆ ที่ยังไม่ดับไป
เช้าวันถัดมา —
แสงสีเงินสลัว ๆ ของยามรุ่งสางลอดผ่านหน้าต่างน้ำแข็งเข้ามาในห้องเล็ก ๆ ฉันขยับตัวใต้ผ้าห่มขนสัตว์หนา สูดกลิ่นอุ่น ๆ ของไฟเวทย์ที่ยังคงลุกไหวช้า ๆ ในเตาผิง
เจ้าหยกหิมะน้อยยังคงขดตัวหลับอยู่ในกรงเวท ส่งเสียงหายใจเบา ๆ อย่างมีความสุข
กำลังจะลุกจากเตียง...ประตูกลับถูกเคาะเบา ๆ
ก๊อก ก๊อก
“เข้าไปได้หรือไม่” เสียงทุ้มเย็นแต่ไม่แข็งกระด้างดังขึ้นจากอีกฟากประตู
ฉันรีบลุกขึ้น คว้าผ้าคลุมไหล่มาพันตัว แล้ววิ่งไปเปิดประตู
หลงอวิ๋นยืนอยู่ตรงนั้น — เรือนผมยาวสีครามเข้มเปียกน้ำค้างเล็กน้อยจากหิมะนอกวัง ชุดคลุมของเขาวันนี้เปลี่ยนเป็นโทนสีเทานวล ดูนุ่มนวลกว่าคืนวาน
ดวงตาสีฟ้าเข้มของเขามองฉันนิ่ง ๆ ก่อนจะเอ่ยสั้น ๆ ตามสไตล์ที่ไม่พูดเกินจำเป็น
“ห้องนี้เย็นเกินไปสำหรับมนุษย์”
ฉันกะพริบตาปริบ ๆ รีบพยักหน้าหงึกหงักโดยไม่คิดมาก
“ตามข้ามา”
เขาหันหลังเดินนำทันที ราวกับไม่ต้องการเปิดโอกาสให้ฉันปฏิเสธ ฉันรีบคว้ากรงน้ำแข็งของหยกหิมะกับกระเป๋าส่งอาหาร แล้วก้าวตามไปอย่างงก ๆ เงิ่น ๆ
ทางเดินน้ำแข็งทอดยาวเงียบงัน แสงจากคริสตัลน้ำแข็งบนเพดานสาดลงมาเป็นลำแสงอ่อน ๆ สะท้อนเงาของเราสองคนคู่ขนานกันไปในความเงียบ
หลงอวิ๋นหยุดลงหน้าประตูบานหนึ่ง
บานประตูสลักลวดลายเกล็ดหิมะละเอียดจนน่าเหลือเชื่อ
กรอบประตูแซมด้วยเส้นเวทย์บาง ๆ ที่เปล่งแสงจาง ๆ ในอากาศหนาว
เขายกมือดันประตูเปิดออก
ภายในเป็นห้องกว้างขวางกว่าห้องเมื่อวานมาก
พื้นปูด้วยพรมขนสัตว์ขาวสะอาด ผนังน้ำแข็งฉลุลวดลายมังกรเลื้อยล้อมดวงดาว เตียงไม้แกะสลักหลังใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง ปูด้วยผ้านวมขนสัตว์เนื้อนุ่มหนาแน่น
ข้างเตียงมีเตาผิงเวทย์ที่กำลังลุกโชนอยู่แล้ว บรรยากาศอบอุ่นกว่าห้องเก่าราวฟ้ากับเหว
ฉันเบิกตากว้าง มองห้องสวยงามตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ
“ที่นี่...” ฉันอ้ำอึ้ง พยายามหาคำพูด
หลงอวิ๋นกล่าวสั้น ๆ ราวกับอ่านใจฉันออก
“ห้องข้างห้องข้า”
เขาหยุดไปเพียงชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยต่อ น้ำเสียงยังคงเย็นสงบ แต่มีบางอย่างที่ฟังดูอ่อนลงนิดหน่อย
“ข้ารู้ว่าเจ้า...ต้องติดอยู่ที่นี่เจ็ดวัน”
ฉันสะอึก เล็กน้อยกับความจริงที่ถูกพูดออกมาโดยไม่ต้องมีคำอธิบายซับซ้อนใด ๆ
“ท่านรู้ได้ยังไงคะ?”
หลงอวิ๋นไม่ตอบเขาทำเพียงมองหน้าฉันด้วยสายตาเย็นชา
“ข้าจะให้สาวใช้เตรียมเสื้อผ้าเหมาะกับการอยู่ในวังน้ำแข็งไว้ให้เจ้า”
“เพื่อให้เจ้า...มีชีวิตรอดได้ง่ายขึ้น” เขาพูดราวกับแค่รายงานภารกิจธรรมดา ๆ
แต่สำหรับฉัน — น้ำเสียงนั้นกลับอบอุ่นกว่าคำปลอบใจยืดยาวนับร้อยพันคำ
“...ขอบคุณค่ะ” ฉันก้มหน้าตอบเสียงเบา หัวใจอุ่นวาบอย่างน่าประหลาด
หลงอวิ๋นพยักหน้าเบา ๆ แล้วหมุนตัวออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ
เมื่อประตูปิดลง...ฉันทรุดตัวนั่งลงข้างเตียง วางกรงหยกหิมะลงอย่างทะนุถนอม
ในห้องอบอุ่นนี้ เสียงเตาผิงเวทย์ที่แตกปะทุเบา ๆ กลายเป็นเพลงกล่อมอย่างอ่อนโยน แม้จะต้องติดอยู่ในโลกนี้เจ็ดวัน...
แต่อย่างน้อย...ฉันก็ได้รู้แล้วว่า
ตัวเองไม่ได้ต้องเผชิญทุกอย่างเพียงลำพัง
