ตอนที่ 4 เมื่อผู้ส่งอาหารกลายเป็นผู้บุกรุก
ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มยังคงจ้องฉันนิ่ง ๆ ไม่ไหวติง สายตาของเขาเย็นเยียบ ปราศจากอารมณ์เหมือนผืนน้ำแข็งโบราณที่ไม่เคยละลายตลอดกาล
ฉันยืนเกร็งอยู่ท่ามกลางลมหิมะที่กระหน่ำใส่ราวกับจะพัดฉันปลิวได้ทุกเมื่อ
กอดกล่องราเมนแนบอกไว้แน่นจนแทบจะฝังเข้าไปในร่าง ราวกับมันคือโล่ป้องกันตัวสุดท้ายที่ฉันมีในโลกใบนี้
'ยิ้มเข้าไว้เอลาเรีย...อย่างน้อยก็ตายอย่างมีมารยาท...'
ฉันพยายามยิ้มแหย ๆ แต่ริมฝีปากสั่นระริกจนแทบเก็บไม่อยู่ ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจได้ว่าจะหนีหรือสู้...
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ หลายคู่ก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงจากด้านหลังวังน้ำแข็ง
กึก กึก กึก กึก!
ชายในชุดเกราะสีเงินวาววับวิ่งกรูออกมา เสียงเกราะกระทบกันดังแกรก ๆ ลั่นสะท้อนในอากาศเย็นจัด
พวกเขาล้อมฉันไว้ในพริบตา ท่าทางแข็งกร้าวเหมือนหินน้ำแข็งที่ไม่มีวันแตก
"บุกรุกพื้นที่หวงห้าม!"
เสียงหนึ่งตะโกนกร้าว
"จับตัวไว้!"
อีกเสียงตะโกนซ้ำ ขณะที่มือข้างหนึ่งหยิบเชือกเวทย์ที่เรืองแสงสีฟ้าอ่อนออกมา
"หาาาา?! เดี๋ยว ๆ ฉันแค่ส่งราเมนนะ!"
ฉันโบกไม้โบกมือรัว ๆ จนกล่องราเมนแทบหลุดจากมือ พยายามถอยหลังหนีโดยไม่คิดชีวิต
แต่พื้นหิมะลื่นอย่างร้ายกาจ เท้าที่จมหายอยู่ในหิมะทำให้ฉันเกือบหงายหลังล้มกองอยู่ตรงนั้น
ทหารคนหนึ่งพุ่งเข้ามาเร็วราวพายุ ข้อมือของฉันถูกรวบอย่างรวดเร็ว และเชือกเวทย์เริ่มพาดพันรอบแขนอย่างแน่นหนา
'ไม่นะ! ฉันยังไม่ได้ทำประกันชีวิตข้ามมิติเลยนะเว้ยยย!'
ฉันหลับตาปี๋ กัดฟันแน่นในขณะที่คิดว่าชีวิตในโลกใบนี้น่าจะจบลงด้วยข้อหาบุกรุกเพราะราเมนชามเดียว...
แต่แล้ว—
พรึ่บ!
สายลมเย็นเฉียบแผ่กระจายออกจากจุดหนึ่งกลางลานหิมะมันไม่ใช่แค่ลมธรรมดา แต่เป็นกระแสพลังที่เย็นจนทำให้อากาศรอบตัวเหมือนจะจับตัวเป็นน้ำแข็งทันที
ทุกอย่างเงียบกริบในเสี้ยววินาที
แม้แต่เสียงลมหิมะที่พัดกระหน่ำเมื่อครู่ ก็เหมือนหยุดนิ่งไปพร้อมกับกาลเวลา
ฉันลืมตาขึ้นอย่างระแวง
ภาพที่เห็นทำให้แทบหยุดหายใจ —
ทหารทุกคนหยุดนิ่งกลางอากาศ ราวกับถูกแช่แข็งโดยพลังลึกลับ
แม้แต่เศษเกล็ดหิมะที่ปลิวอยู่กลางอากาศก็ชะงักค้าง ราวกับโลกหยุดหมุน
แล้ว...
เสียงหนึ่งดังขึ้น — หนักแน่น เย็นชา และทรงอำนาจจนแม้แต่หิมะรอบตัวก็เหมือนสั่นไหวตาม
"ปล่อยตัวนาง"
เสียงนั้นราบเรียบไร้อารมณ์ แต่ก้องสะท้อนเข้าไปถึงกระดูกสันหลังฉัน
ฉันหันขวับไปยังต้นเสียง —
เป็นเขา...ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้ม
เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม ราวกับไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
เส้นผมยาวปลิวเบา ๆ ตามแรงลมอันน้อยนิดที่ยังเหลืออยู่ ดวงตาสีฟ้าเข้มเป็นประกายจาง ๆ ใต้แสงหิมะ จ้องตรงมาที่ฉันอย่างแน่วแน่
ไม่ใช่สายตาอ่อนโยน ไม่ใช่สายตาเมตตา
แต่เป็นสายตาที่...เหมือนกับ "ยอมให้ผ่าน" อย่างไม่เต็มใจนัก ราวกับว่าฉันเป็นสิ่งผิดพลาดที่เขาต้องยอมรับเพราะเหตุผลบางอย่าง
“แต่...”
“ข้าสั่งให้ปล่อย!”
ทหารทุกคนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ คลายเชือกเวทย์ออกจากแขนฉัน แล้วถอยห่างออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก
ฉันยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ กำกล่องราเมนแน่นจนเส้นเลือดปูด
'...เขาช่วยฉันเหรอ?'
หัวใจที่เกือบหยุดเต้นไปแล้วเริ่มกลับมาเต้นระรัวอย่างระส่ำอีกครั้ง
ไม่ใช่ด้วยความกลัวเพียงอย่างเดียว...แต่ยังมีความสงสัยและสับสนเจือปนอยู่ในนั้นด้วย
ชายหนุ่มก้าวเข้ามาใกล้อีกก้าว
ระยะห่างระหว่างเราสองคนสั้นลงจนฉันสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็น — แต่ครั้งนี้ มันไม่ใช่แรงกดดันรุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้
เป็นความเย็นสงบนิ่งที่อบอวลรอบตัวเขา...เย็นจัด แต่ไม่ก้าวร้าว
ฉันได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
ขยับมือที่สั่นนิด ๆ จนกล่องราเมนกระเพื่อมเบา ๆ
"ราเมน"
เขาพูดสั้น ๆ — น้ำเสียงราบเรียบเหมือนคนกำลังประกาศข้อเท็จจริงที่ไม่ต้องมีอารมณ์ร่วม
"อ๋อ!"
ฉันรีบตอบรับ เสียงสูงขึ้นกว่าปกติโดยไม่ตั้งใจ รีบยื่นกล่องราเมนออกไปสองมือ ยิ้มเกร็ง ๆ อย่างกับจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ
"ราเมนเพลิงจันทร์ลาวาค่ะ...ของคุณ..."
เขาไม่ได้เอื้อมมือมารับในทันที
เพียงแค่ยืนนิ่ง จ้องกล่องราเมนในมือฉันด้วยสายตาคมกริบ
ดวงตาสีฟ้าเข้มของเขาฉายแววสงสัยปนระวังอย่างชัดเจน ราวกับว่ากล่องอาหารอุ่น ๆ ธรรมดาใบนี้อาจกลายร่างเป็นอาวุธทำลายล้างโลกได้ทุกเมื่อ
'ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้มั้ง...แค่ราเมนเองนะ...'
ฉันตะโกนในใจ พยายามฝืนยิ้มต่อไปแม้ว่ากรามจะเริ่มแข็งเพราะหนาวจัด
เวลาผ่านไปอึดใจหนึ่งที่ยาวนานอย่างน่าทรมาน
ในที่สุด...
เขาก็เอื้อมมือออกมา
มือเรียวยาว ขาวซีดราวหิมะเก่าแก่ที่ไม่เคยละลาย
นิ้วมือเรียวสวย เคลื่อนไหวอย่างสงบนิ่งขณะที่เอื้อมเข้ามาแตะกล่องราเมนในมือฉัน
เขาไม่ได้ใส่ถุงมือ
ปลายนิ้วเย็นเยียบของเขาแตะลงบนกล่องโลหะอุ่น ๆ อย่างแผ่วเบา
ฟู่—
ทันใดนั้น ไอน้ำอุ่นจากกล่องพวยพุ่งขึ้นมาปะทะกับผิวเย็นเฉียบของเขา
เกิดเป็นม่านหมอกจาง ๆ ลอยขึ้นระหว่างเรา
ชั่วขณะหนึ่ง
ดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งของเขาไหววูบ —
ราวกับสะท้อนความรู้สึกบางอย่างที่ลึกเกินกว่าจะเข้าใจได้ในพริบตาเดียว
เศษเสี้ยวของความอบอุ่น?
เศษเสี้ยวของความคิดถึง?
หรือเพียงความตกตะลึงจากสัมผัสที่ไม่คาดคิด?
...ฉันเองก็บอกไม่ได้
แต่เพียงแค่ชั่ววินาทีเดียว ทุกอย่างก็จางหายไป
เขากลับมาเป็นคนเยือกเย็นเช่นเดิม
ใบหน้าเรียบนิ่ง ราวกับม่านหมอกแห่งอารมณ์ที่เพิ่งเผยออกมานั้นเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
"เจ้า...ชื่ออะไร"
เสียงของเขาดังขึ้นกลางความเงียบที่หนาวเหน็บ
น้ำเสียงราบเรียบ...แต่ทรงพลังจนเหมือนสะท้อนก้องอยู่ในโพรงหิมะที่ล้อมรอบเราไว้
ฉันสะดุ้งเล็กน้อย รีบกะพริบตา ตั้งสติที่กระจัดกระจายเก็บกลับมาให้ได้มากที่สุด ก่อนตอบเสียงสั่น ๆ
"เอลาเรีย...ค่ะ"
เสียงของตัวเองแผ่วเบาแทบกลืนหายไปกับสายลม แต่ดวงตาสีฟ้าเข้มคู่นั้นจับจ้องมาที่ฉันอย่างแน่วแน่
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง
เหมือนกำลังจดจำชื่อฉันไว้ในห้วงลึกสุดของความคิด ราวกับไม่ใช่แค่การรับรู้ธรรมดา แต่เป็นการจารึก
ความเงียบยาวนาทีนั้น ทำให้หัวใจฉันเต้นโครมครามจนเจ็บหน้าอก
แล้วเขาก็เอ่ยเบา ๆ —
เสียงนั้นแผ่วเบา...แต่ทรงอำนาจมากพอจะกวาดหิมะรอบตัวให้สงบนิ่งได้
"ตามข้ามา"
พูดเพียงแค่นั้น — ไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม ไม่มีคำชี้แจงใด ๆ
เขาหมุนตัวอย่างสง่างาม ผ้าคลุมสีเทาเงินปลิวสะบัดตามแรงลมอย่างงดงาม
จากนั้น...เขาก็เริ่มก้าวเดินนำเข้าไปในวังน้ำแข็ง
อย่างไม่แม้แต่หันกลับมาดูว่า ฉันจะตามไปหรือไม่
ฉันยืนตะลึงอยู่อีกไม่กี่วินาที มือกำสายกระเป๋าส่งอาหารแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด
หัวใจเต้นระส่ำเหมือนกลองศึก
'นี่ฉัน...กำลังถูกพาไปไหนกันแน่นะ?'
สายตาเหลือบลงมามองเจ้าก้อนหิมะน้อยในอกเสื้อที่สั่นงึก ๆ อย่างน่าสงสาร ดูเหมือนมันจะสัมผัสได้ถึงความไม่แน่นอนในอากาศนี้เช่นเดียวกับฉัน
ฉันสูดหายใจเข้าลึก ข่มใจที่อยากจะวิ่งหนีกลับไปหาประตูที่ปิดหายไปแล้วนั่นให้จงได้
แล้วก้าวเท้าตามแผ่นหลังสง่างามของชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มเข้าไปในวังน้ำแข็งอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
ทุกก้าวที่ย่างเข้าไป...
เหมือนกำลังเดินลึกเข้าไปในโลกอีกใบที่เย็นเยียบ ลึกลับ และเต็มไปด้วยความลับที่ไม่มีวันหวนกลับได้อีก
❄️❄️❄️❄️❄️❄️
