ช่วยรักษา
ณ ทางเข้าเมืองไห่ ผู้คนพลุ่กพล่านไปมามากมายลายตา เมืองไห่เป็นเมืองการค้าที่ใหญ่อีกแห่งหนึ่งของแคว้นหมิง ในเมืองนี้ คหบดีที่ร่ำรวยอาศัยอยู่หลายตระกูล รวมไปถึงจวนแม่ทัพไป๋ที่เป็นหนึ่งใน 4 แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้น นามว่า 'ไป๋ซือฮุ่ย' เขาเป็นแม่ทัพที่ขึ้นชื่อว่าซื่อสัตย์และรับใช้ราชวงค์มาตั้งแต่ฮ่องเต้ พระองค์ก่อน นอกจากนี้ยังมีสำนักชาวยุทธ์ที่คอยพยุงคุณธรรม ฝึกสอนผู้ที่สนใจร่ำเรียนวรยุทธ์และผู้ที่มีพลังปราณในตัว ซึ่งสำนักที่ว่าคือ ‘สำนักเจียงหนาน’ สำนักเจียงหนานเป็นหนึ่งใจ 4 สำนักใหญ่ของแคว้นหมิงเช่นกัน เสียงล้อเกวียนเคลื่อนตัวเข้าถึงตัวเมือง ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองอย่างช้าๆ
“พวกเจ้าทั้งสองจะไปที่ใดกัน” ทหารยามหน้าประตูเมืองซักถามชายทั้งสอง
“พวกข้าจะนำสินค้าไปขายในตัวเมืองขอรับ และก็จะพาหลาวสาวของข้าไปรักษาในตัวเมืองด้วยขอรับ นางป่วยหนักมากจำต้องพาไปรักษาในเมืองขอรับ” ชายร่่างท้วมคนขับเกวียนเป็นคนตอบคำถาม ส่วนชายร่างผอมอีกคนได้ยื่นเงินจำนวนหนึ่งใส่มือทหารยามคนนั้นไป ทหารยามเมื่อได้รับเงินแล้วยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
“อืม เช่นนั้นรึ ไปได้” ทหารยามคนนั้นจึงโบกมือให้ชายสองคนขับเกวียนผ่านไป ชายทั้งสองคนขับเกวียนมาจอดบริเวณหน้าโรงหมอแห่งหนึ่ง
“เจ้าพานางเข้าไปให้หมอรักษาก่อน ข้าจะนำเกวียนไปไว้ด้วยหลังร้าน” ชายร่างท้วมที่ขับเกวียนกล่าว
“ได้ ข้าจะพานางไปข้างในเอง” ชายร่างผอมกระโดดลงจากเกวียน เดินอ้อมไปด้านหลังเกวียน ไปประคองร่างเล็กแล้วอุ้มเด็กสาวลงจากเกวียน โดยไม่ทันได้สังเกตว่าเด็กสาวได้สิ้นลมไปแล้ว
พออุ้มเด็กสาวเข้ามาในโรงหมอชายร่างท้วมอุ้มเด็กสาวไปวางบนเตียงคนไข้ที่เรียงกัน 4 เตียง วางไว้เตียงริมสุด
“ท่านหมอช่วยรักษานางที นางโดนทุบตีมาหลายวันแล้ว อาการน่าจะหนักพอตัว” ชายร่างผอมเอ่ยบอกหมอเหลียงเจ้าของโรงหมอแห่งนี้
“เจ้าวางนางไว้ตรงนั่นแหล่ะ ข้าเสร็จธุระแล้วจะไปดูนางเอง เจ้ากลับไปก่อน ไม่ต้องเป็นห่วง… เจ้าก็รู้ว่าข้ารักษาทาสที่มีอาการเยี่ยงนี้มามากน้อยเพียงใด” หมอเหลียงกล่าวพร้อมหันหน้ากับไปจัดยาที่ค้างไว้ต่อ ชายร่างท้วมได้ยินเช่นนั้นจึงหันมองร่างเด็กสาวเพียงครู่หนึ่ง
“ขอรับ ” ชายร่างผอมเดินออกไปจากห้องทันที หมอเหลียงคนนี้ ส่วนมากจะรักษาทาสที่ได้รับบาดเจ็บจากการทุบตีจากฝีมือของเจ้านายหรือชนชั้นสูงที่ทำร้ายทุบตีทาสเพื่อระบายอารมณ์ เขาเห็นร่างเด็กสาวก็นึกสงสาร ‘เจ้าช่างเวทนานัก เจ้าคงเป็นอีกหนึ่งคนที่โดยคนใจร้ายทุบตีมาเป็นแน่' หมอเหลียงถอนหายใจยาวครั้งหนึ่ง เดินออกไปเรียกผู้ช่วยหญิงด้านนอกเข้ามาให้เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เด็กสาว
ณ พื้นที่โล่งกว้างแห่งหนึ่งล้อมรอบไปด้วยกลุ่มควันสีขาวปนเทา กระจัดกระจายไปทั่ว พื้นที่นี้ไม่มีสิ่งใดนอกจากกลุ่มควันสีขาว มนทกานต์จากยุคปัจจุบันที่คิดว่าตนได้ตายไปแล้วได้ยืนอยู่กลางกลุ่มควันเหล่านั้น
“ที่นี่ ที่ไหนกัน สวรรค์หรอหรือ นรก ไม่นะ” หญิงสาวร้องขึ้นด้วยความตกใจ ใจเริ่มสั่นเพราะกลัวว่าจะตกนรก
“ไม่นะ ฉันไม่อยากตกนรกนะ ถึงแม้จะเคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาบ้างก็เหอะ แต่ฉันก็มีกรรมดีอยู่บ้างน๊าาา” หญิงสาวพูดคนเดียวพร้อมอาการสั่นเทาไปทั่วร่าง หญิงสาวมองและหมุนตัวไปรอบ ๆ เพื่อหาทางออก จู่ ๆ กลุ่มควันเหล่านั่นค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลือง สว่างขึ้นเรื่อยๆจนทำให้หญิงสาวแสบตาจนรับแสงนั้นไม่ไหว พรึ่บบบ
“หนาว หนาวจัง ฮึย ฮึย หนาว หนาวมาก ผะ ผ้าห่ม ขอผ้าห่มหน่อย” อยู่ ๆ เด็กสาวที่นอนนิ่งบนเตียงคนไข้ก็ร้องขึ้นเมื่อร่างกายถูกผ้าชุบน้ำเช็ดถูตามตัว
“น้องสาว เจ้าอดทนอีกนิดนะ ตัวเจ้าร้อนมาก ข้าต้องเช็ดตัวให้เจ้าหายไข้ก่อน” หญิงผู้ช่วยหมอใช้ผ้าเช็ดตัวให้คนป่วยต่อ ผู้ช่วยหมอคนนี้มีนามว่า มู่เหลียน นางเป็นสาวอายุได้ 25 ปี สมควรมีสามีได้แล้วแต่นางยังไม่มี เป็นเพราะนางต้องทำงานหาเลี้ยงตนเอง ไม่มีเวลาหาชายสักคนที่จะแต่งงานด้วย ส่วนใหญ่คนแถวบ้านนาง ถ้าอยากมีกินมีใช้จะต้องแต่งเป็นอนุของพวกเศรษฐี นางมาทำงานรับใช้ท่านหมอเหลียงได้ 2 ปีแล้ว นางยุ่งกับการช่วยดูแลคนป่วยจึงไม่มีเวลาไปมองหาชายใด นางคิดว่าการที่นางได้อยู่ช่วยเหลือคนป่วยที่นี่ ทำให้นางมีความสุขแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปหาความสุขอื่นใด นางนั้นเป็นสาวโสด พ่อแม่ตายไปเมื่อ 3 ปีก่อน ก่อนที่นางจะมาทำงานที่โรงหมอแห่งนี้ ท่านหมอเหลียงเห็นว่านางตัวคนเดียวไม่มีญาติพี่น้องจึงรับนางไว้ทำงานที่โรงหมอแห่งนี้
“หนาววว หนาววว ” หญิงสาวร้องครางครู่เดียว แล้วเสียงก็เงียบไป หญิงสาวหลับไปด้วยร่างกายที่หมดแรง
“นางคงเหนื่อยล้ามาก ช่างน่าสงสารนัก ผู้ใดกันช่างโหดร้ายกับเด็กน้อยถึงเพียงนี้” มู่เหลียนจ้องมองใบหน้าของเด็กสาวที่กำลังหลับไหล
“ให้นางพักเถอะ เจ้าคอยป้อนยา ทายาให้นางตามเวลาอีกไม่นานนางก็หาย ” หมอเหลียงกล่าวแล้วเดินออกจากห้องไป
“เจ้าค่ะ" มู่เหลียนตอบ แล้วหันหน้าไปมองหน้าเด็กสาวอีกครั้ง พร้อมกับหยิบผ้าห่มขึ้นมาห่มให้นางอีก 1 ผืน
“เจ้านอนพักซะนะเด็กน้อย” หญิงสาวเอามือไปลูบใบหน้าเด็กสาวเบา ๆ อีกครั้ง เดินออกจากห้องไป
