ข้ามมิติ
แสงแดดอ่อน ๆ สอดส่องเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยม ที่มีเตียงเรียงกัน 4 เตียง เตียงไม้สีซีดริมสุดมีร่างเด็กสาวนอนหลับหายใจอย่างสม่ำเสมอ ผ่านไปครู่หนึ่งร่างน้อยเริ่มขยับตัว แต่ด้วยร่างกายที่บอบช้ำทำให้เด็กสาวขยับตัวได้เพียงเล็กน้อย มนทกานต์พยายามลืมตาขึ้นเพื่อมองดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่ภาพที่เห็นกลับยังเลือนลาง มองไม่ชัด มู่เหลียนเดินเข้ามาพอดีเห็นเด็กสาวกำลังพยายามลืมตาขึ้น
“น้องสาวเจ้าตื่นแล้วรึ ข้านึกว่าเจ้าจะไม่ยอมตื่นเสียแล้ว” มู่เหลียนจึงเดินไปหยิบถ้วยข้าวต้มที่ตนเตรียมไว้ก่อนหน้านี้มาวางไว้ข้างเตียงพร้อมทั้งประคองตัวเด็กสาวลุกนั่ง จะได้ป้อนข้าวต้มถนัด
“โอ๊ะ โอ๊ะ โอ้ย…ดะ เดี๋ยว ฉันเจ็บ แปบนึงได้ไหม” เพียงขยับตัวมนทกานต์ก็ร้องขึ้นแต่ไม่ได้โวยวายเพียงขอให้หญิงสาวตรงหน้าหยุดประคองตน แล้วพยายามขยับด้วยตัวเองนางลุกนั่งช้า ๆ หายใจเข้าออกช้า ๆ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บด้วยตัวเอง มู่เหลียนได้ยินเช่นนั้นจึงปล่อยมือจากเด็กสาว
“เจ้าคงเจ็บมากสินะ” มู่เหลียนมองหน้าเด็กสาวอย่างสงสาร ทำหน้าเศร้าน้ำตาคลอเบ้า มนทกานต์เห็นหญิงสาวอีกคนทำหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้จึงพูดปลอบใจ
“ฉันไม่เจ็บมากหรอก ทนได้ ละ…แล้วที่นี่คือที่ไหนคะ ฉันมาอยู่นี่ได้ยังไง” มนทกานต์ถามขึ้นตามความสงสัยของตนเอง เพราะตั้งแต่ลืมตาขึ้นมา สภาพห้องนี้ก็แปลกตา รวมถึงการแต่งกายของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านี้ด้วย
“ที่นี่โรงหมอของท่านหมอเหลียง ตั้งอยู่ที่เมืองไห่” มู่เหลียนตอบไปเพราะทราบจากท่านหมอว่าหญิงสาวคนนี้นั้นถูกขายมาเป็นทาส และเพิ่งพาเข้ามาในเมืองไห่เมื่อสามวันก่อน โดนทุบตีมาอย่างหนัก คนซื้อจึงต้องพามารักษาตัวที่โรงหมอแห่งนี้ก่อน ค่อยนำไปขายต่อในราคาที่สูงขึ้น
“เมืองไห่… โรงหมอ… ทาส… คืออะไรอ่า” มนทกานต์พูดออกไปแบบงงๆ
“เจ้าจำไม่ได้รึ เจ้าได้รับบาดเจ็บหนักคงหลงลืมไปบ้าง จากที่ข้าไปสอบถามจากคนที่นำเจ้ามาส่งเขาบอกว่าเจ้าเป็นคนสกุลเว่ย พ่อแม่ไม่มี อาศัยอยู่กับลุงกับป้าสะใภ้ พวกเขาบอกว่าเจ้ามีนิสัยขี้ขโมย ล่าสุดไปขโมยของ ของผู้นำหมู่บ้านมา ลุงกับป้าสะใภ้จึงลงโทษเจ้า และขายเจ้าเพื่อเอาเงินไปชดใช้ให้ผู้นำหมู่บ้านน่ะ เจ้าพอจำได้บ้างหรือไม่” พูดแล้วจ้องหน้าเด็กสาวเพื่อรอคำตอบ มนทกานต์ส่ายหน้าพยายามใช้ความคิด 'มันเกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่ เราตายแล้วไม่ใช่เหรอ หรือ เห้ย…เราเข้ามาอยู่ในนิยายหรือโลกอีกโลกหนึ่งเหมือนนิยายที่เคยอ่านรึป่าวนะ หึย…เริศมากกก แค่เคยคิดเล่น ๆ เองนะว่าอยากมีโอกาสข้ามมิติเหมือนนิยายบ้าง สวรรค์ชั่งเป็นใจจริง ๆ อิอิ โอะ…แต่…มาแบบดี ๆ มีชีวิตดีกว่านี้ไม่ได้หรอ ทำไมต้องเจ็บตัวแบบนี้ด้วย ไม่เข้าใจเลย’ มนทกานต์ประเดี๋ยวยิ้มประเดี๋ยวทำหน้าเศร้าอยู่คนเดียว มู่เหลียนเห็นเด็กสาวเป็นเช่นนั้นจึงยิ่งสงสารเด็กสาวขึ้นมากกว่าเดิม นางคงเลอะเลือนไปแล้ว
“พี่คะท่านรู้ไหม ว่าฉันชื่ออะไร” มนทกานต์ถามด้วยความตื่นเต้น มู่เหลียนฟังภาษาที่เด็กสาวพูดแปลกๆแต่ไม่ได้ว่าอะไร
“เจ้ามีนามว่า ซีอิง เว่ยซีอิง เจ้าอายุได้ราว 14 หนาวแล้ว เจ้าพอจำได้หรือไม่” มู่เหลียนกล่าวพร้อมรอลุ้นเผื่อว่าเด็กสาวจะจำขึ้นมาได้
“ฉันว่าฉันคงเลอะเลือนจริงแหล่ะค่ะ เห้ย… เจ้าค่ะ” มนทกานต์ยิ้มแล้วตอบไป พลางคิดทบทวนไปด้วยว่าจะตอบว่าอะไร ต้องตอบให้เหมือนกับภาษาของพวกเขา
“ช่างนักสงสารยิ่งนัก เฮ้อ เด็กน้อย เดี๋ยวเจ้ากินข้าวต้มนี้เสร็จแล้วก็กินยาในถ้วยนี้ซะ นอนพักอีกสักวันสองวัน เจ้าจะหายดีเอง” มู่เหลียนกล่าวพร้อมชี้นิ้วไปยังถ้วยข้าวต้มและถ้วยยาที่วางไว้บนโต๊ะไม้ข้าง ๆ
“ค่ะ… เจ้าค่ะ ขอบคุณนะเจ้าค่ะ” มนทกานต์ยิ้มให้มู่เหลียนแล้วถามต่อว่า
“ท่านชื่ออะไรคะ เจ้าคะ”
มู่เหลียนยิ้มตอบ
“ข้านามว่า มู่เหลียน เรียกข้าว่า พี่มู่เหลียนก็ได้นะ เจ้าว่าไง”
“เจ้าค่ะพี่มู่เหลียน” มนทกานต์ตอบ
“เจ้ารีบทานข้าวทานยาซะ จะได้นอนพักต่อ” มู่เหลียนยกถ้วยข้าวต้มยื่นให้เด็กสาว มนทกานต์ยื่นมือที่สั่นเทาเล็กน้อยไปรับถ้วยข้าวต้มมาแล้วกล่าวขอบคุณมู่เหลียนอีกครั้ง
“ขอบคุณ…เจ้าค่ะ”
“เจ้าทานเองไปก่อนข้าจะออกไปจัดสมุนไพรต่อ อีกประเดี๋ยวข้าจะกลับมา” มู่เหลียนเห็นเด็กสาวพยักหน้ารับจึงเดินออกจากห้องไป หลังจากมู่เหลียนเดินออกไป มนทกานต์ใช้ช้อนตักข้าวต้มใส่ปาก
“หือ ข้าวต้ม รสชาติเค็มนิด ๆ แต่ทำไมรู้สึกว่ามันอร่อยมากเลยอ่า” ว่าแล้วมนทกานต์รีบตักข้าวต้มเข้าปากไปเรื่อย ๆ จนหมดชาม พอกินหมดหญิงสาวจึงวางถ้วยข้าวต้มลง ขณะที่วางลงนางสังเกตเห็นแขนและมือของร่างที่นางอาศัยอยู่มีรอยเขียว ช้ำเต็มไปหมด
“เห้ย นี่รอยอะไรนักหนาเนี๊ย มิน่าล่ะเราถึงรู้สึกปวดไปหมด ใครมันช่างโหดร้ายจริง ๆ ทำกับเด็กผู้หญิงตาดำ ๆ ได้ลงคอ เฮ้อ สวรรค์น้อสวรรค์ ให้ข้ามมิติมาทั้งทีให้มีชีวิตดี ๆ หน่อยก็ไม่ได้ แล้วทีนี้เราจะเอายังไงต่อดีล่ะ ตัวก็ยังเล็กแถมไม่แข็งแรงอีก ซ้ำร้ายยังถูกขายเป็นทาสอีก เราจะใช้ชีวิตยังไงละทีนี้ โอ้ยยย ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ปวดหัวววว” หญิงสาวได้แต่เอามือกุมขมับตนเอง ส่ายหัวไปมา
“ไม่ไหว ไม่ไหว ยิ่งขยับตัวยิ่งตาลาย ต้องพักแล้วล่ะ” มนทกานต์ขยับตัวกำลังจะนอนลงนึกขึ้นได้
“ยา ยา ลืมกินยา” ว่าแล้วก็หยิบถ้วยยาขึ้นมากิน
“อี๋ เอี๊ย หึยยย ยาบ้าอะไรขมชิบ” หญิงสาวร้องพร้อมกับขนลุก นางรีบหยิบกาน้ำที่ต้องอยู่ด้านข้างขึ้นมาเทเข้าปากตัวเองทันที
“อืม ค่อยยังชั่ว แต่ก็ยังขมติดลิ้นติดคออยู่ดี หึยยย แอะ อึยยย อ๊วกกก" นางแลบลิ้นทำทางจะอ๊วก
"อึยยย นอนดีกว่า ตื่นมาค่อยคิดหาทางต่อละกัน” หญิงสาวค่อย ๆ ล้มตัวนอน แล้วก็หลับไป
