สาวน้อยกับความหิวโหย 1
อาสามมีบุตรสาวหนึ่งคน ถูกใช้ให้ทำงานหนักพอ ๆ กับครอบครัวของฉินหลิวซี นิสัยเอาจริงเอาจังและเงียบขรึม เขาต่างกับลุงใหญ่ที่ไม่ฟังคำโน้มน้าวของภรรยา ภรรยา
อาสามมีนิสัยขี้ฟ้องประจบประแจงแม่สามี แต่กลับชอบต่อว่าเขาต่อหน้าคนอื่นให้อับอาย มักคลุกคลีอยู่กับสะใภ้ใหญ่อย่างท่านป้า
อาหญิงใหญ่และอาสี่เป็นฝาแฝดอายุสิบหกปี
อาหญิงใหญ่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจเหมือนเป็นคุณหนูในบ้านซอมซ่อ เป็นลูกสาวคนเดียวของบ้าน กำลังหาคู่แต่งงานที่เป็นคุณชายในเมือง
อาสี่ที่กำลังจะสอบบัณฑิตมีนิสัยชอบดูถูกพี่น้องที่ไร้การศึกษา ฉลาดแกมโกง งานหนักไม่เคยทำงานเบาไม่เคยแตะ อ้างต้องอ่านหนังสือแต่สอบไม่เคยติด
ฉินหลิวซีวาดแผนภูมิต้นไม้ของคนบ้านนี้ในหัวแล้วก็ขมวดคิ้วไม่หยุด
นี่มันแหล่งรวมมลพิษทางชีวิตหรือไง!?
นางถอนหายใจในวันเดียวนี้มากกว่าสิบปีที่แล้วรวมกันตอนฝ่านรกซอมบี้เสียอีก
หญิงสาวในคราบเด็กหญิงอดคิดไม่ได้ว่าชีวิตของตนมันช่างบัดซบสิ้นดี ไม่ว่าจะครั้งก่อนหรือครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรน่าพอใจ เรื่องดี ๆ ที่พอมีให้ชื่นใจอยู่บ้างก็คือเรื่องพลังของนางที่พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด หรือมันคือตัวช่วยในการให้นางสู้ชีวิตต่อไปกันแน่
ถ้าเป็นอย่างที่เดาสุ่มนั่นก็อยากจะบอกเลยว่า ขอบใจมากแต่คราวหลังไม่ต้อง จะอยากให้ข้าสู้ชีวิตซ้ำซ้อนอะไรขนาดนั้น! หา!?
ระหว่างที่กำลังใจลอยหนีความบัดซบของชีวิตก็พบว่าได้เวลากินข้าว ฉินหลิวซีมองแผ่นแป้งเล็กของตนเองด้วยความแค้นใจ เมื่อเช้านางไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากแผ่นแป้งแห้ง ๆ แข็ง ๆ รสชาติเหมือนเทียนไข
เวลาทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาในครอบครัวคือช่วงเวลาที่เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความแตกต่างและความลำเอียง
ฝั่งอาหารของบ้านใหญ่ สำรับของหลานชายทั้งสองที่มีอายุมากกว่านางสองสามปีล้วนมีไข่ไก่ ข้าวพูนจาน
ไม่มีน้ำ
ส่วนของบ้านนางมีเพียงน้ำต้มข้าวไร้รสชาติ
และแผ่นแป้งแข็ง ๆ ฉินหลิวซียกน้ำข้าวต้มให้น้องชายที่ได้รับส่วนแบ่งเพียงช้อนเดียว เพราะพวกเขาคิดว่าน้องชายนางยังเล็ก อีกทั้งยังไม่ได้ทำงาน ให้กินแค่นี้ก็เพียงพอ
เพียงพอแบบไหน อะไร ยังไง อยากจะเปิดโต๊ะให้อภิปรายเหลือเกิน เพียงพอแบบขี้ข้าหรือไง
ถ้าหากฟันของมนุษย์แข็งแรงน้อยกว่านี้ วันนี้นางคงได้เคี้ยวฟันตัวเองจนแตกแน่ เด็กหญิงนับหนึ่งถึงสิบในใจเป็นร้อยรอบ เจอสถานการณ์แบบนี้ นี่นางใจเย็นที่สุดในชีวิตแล้ว ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในร่างเด็กห้าขวบคงมีคนซี่โครงหักกันบ้าง อะไรมันจะขนาดนี้
“ชิวย่าหนาน พักนี้ทำงานอืดอาดไปหรือเปล่า”
ท่านย่าเอ่ยตำหนิมารดาของนาง พอมีคนเปิดหัวข้อสนทนา ก็มีคนรอเหยียบย่ำคอยเสริม
“จริงด้วยเจ้าค่ะท่านแม่ พักนี้น้องสะใภ้บ้านรองเราทำงานเชื่องช้าอยู่เหมือนกัน”
“เห็นไหมเล่า คนอื่นก็ว่าเชื่องช้า”
“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ” มารดาของนางเอ่ยได้เพียงเท่านั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก จิตใจนางยอมรับสภาพนี้ไปอย่างจำยอมแล้ว
แม้ฉินหลิวซีจะรู้สึกไม่ชอบใจสถานการณ์เช่นนี้เป็นอย่างมาก แต่นางพรวดพราดทำอะไรไปไม่ได้ หากไม่ไตร่ตรองให้ดี เรื่องนี้จะยิ่งบานปลาย นางต้องใช้เวลาวางแผนแก้ไขสถานการณ์มากกว่านี้
“สำนึกก็ดีแล้ว คราวหน้าอย่าทำอะไรชักช้าอย่างนี้อีกล่ะ”
“ไหน ๆ วันนี้ก็ซักเสื้อผ้าไปใส่เยอะแล้ว วันพรุ่งนี้ก็เปลี่ยนไปซักผ้าม่านก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีมองหน้ามารดาแล้วก็รู้สึกเหนื่อยใจ
ชิวย่าหนานทำหน้าราวกับวิญญาณออกจากร่างตลอดเวลา แววตาก็ไม่มีชีวิตชีวาเอาเสียเลย จากสิ่งแวดล้อมแล้วออกมาสภาพนี้ก็ไม่ได้น่าแปลกใจอะไร ที่ยังไม่สติแตกประสาทเสียไปกว่านี้ก็นับว่าปาฏิหาริย์แล้ว
ฉินหลิวซีทนกินแผ่นแป้งรสเทียนไขเพราะยังไม่อยากมีปัญหาในตอนนี้
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นางก็พบว่าบ้านหลักพูดเหน็บแนมครอบครัวของนางที่เป็นบ้านรองทุกครั้งที่มีโอกาส เด็กหญิงทำหูทวนลมแต่จำได้ทุกคำ ตราบใดที่ไม่ลงไม้ลงมือตอนนี้นางก็จะไม่สนใจไปก่อน
“ท่านแม่ ข้าขอพาน้องออกไปเล่นนะเจ้าคะ”
หลังมื้อเช้าจบลง ต่างคนต่างก็แยกย้ายไปทำงาน
