5 กลั่นแกล้งกันเกินไปแล้ว
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น!?”
น้ำเสียงของผู้มาใหม่นิ่งเรียบแต่ทรงพลังจนทุกคนในห้องพร้อมใจกันหยุดหายใจและมองต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย เป็นบุรุษหนุ่มหล่อเหลาเดินกำด้ามพัดเข้ามาแลดูสูงศักดิ์ยิ่งกว่าผู้มาใหม่อีกคนที่เดินตามหลังมา อีกทั้งผู้ดูแลที่เหลือบเห็นก็เกือบล้มลงคะมำกับพื้นเมื่ออยู่ดีดีขาก็ไร้แรงเพราะความเกรงกลัว
ผู้ดูแลพยายามตั้งสติและยิ้มจืดเจื่อน เขาเค้นเสียงสั่นเอ่ยแก้ตัวทันใด
“ขะ...ขอรับ คุณชายอวี่ อะเอ่อ เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงความเข้าใจผิดกะน...ข้า...ข้าจะจัดการ...”
“ความเข้าใจผิด?” อวี่เอ่ยแทรกทันที ดวงตาคมกริบหรี่ลงอย่างสอบสวน “เจ้ากล้าบอกว่าเรียกเก็บเงินเกินจากผู้คนที่มารับภารกิจเป็นความเข้าใจผิด? คิดว่าข้าไร้ตาไร้หูหรือ?”
เขาหันไปมองรอบๆ แล้วก็ไม่เห็นสตรีที่เป็นตัวต้นเรื่องเสียแล้ว นางสร้างเรื่องเสร็จดังหวังก็จากไปอย่างไร้ร่องรอยอย่างรวดเร็ว...
เขาละสายตาจากการมองหาเอ่ยเสียงดังและชัดเจนกับบุรุษอีกคนที่ตามมา
“ฉิงอี นำตัวเขาออกไป สืบสวนและจัดการลงโทษตามกฎของสำนักเงาพยัคฆ์”
ฉิงอีค้อมศีรษะรับคำทันที “ขอรับ”
“คุณชายอวี่! โปรดให้โอกาสข้าอีกสักครั้ง! ข้าจะไม่ทำผิดอีก ขอโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”
บุรุษหนุ่มมากอำนาจไม่ได้สนใจคำอ้อนวอนแต่อย่างใด
“ความเสียหายที่เจ้าก่อไว้ไม่ใช่เพียงมีผลต่อผู้คนที่มารับภารกิจ แต่ยังรวมถึงชื่อเสียงของสำนัก ข้าไม่มีวันยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้นอีกแน่นอน”
เขาหันไปทางฉิงอีต่อมา “จัดการให้เรียบร้อย และหาคนที่เหมาะสมมาดูแลที่นี่โดยเร็ว ข้าต้องการคนที่รักษาคำสัตย์ที่เรายึดมั่นและเพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นให้ผู้มารับภารกิจสามารถขอเงินคืนกับเราได้เพียงนำหลักฐานการรับภารกิจมาแจ้งเราก็พอ”
ผลประโยชน์นี้ที่อวี่มอบให้แก่พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ แต่เขาก็เลือกที่จะเสียเงินของตนเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของสำนักเงาพยัคฆ์ให้คงอยู่ ซึ่งทำให้ชื่อเสียงเรื่องความยึดมั่นในความเที่ยงธรรมและช่วยคนยากไร้นี้ขจรกระจายสืบไปนับจากนี้...
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น อวี่เดินออกจากโซนรับภารกิจโดยไม่หันกลับไปมองอีก ฝีเท้าของเขาดูเร่งรีบจนลูกน้องคนสนิทอย่างฉิงอีเอ่ยทัก
“คุณชาย ท่านจะไปที่ใดขอรับ?”
อวี่หยุดเดินชั่วครู่ แต่ไม่ได้ตอบคำถาม ดวงตาของเขาจ้องมองไปยังท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้มเหมือนใจที่ขบคิดบางสิ่งอยู่ สุดท้ายก็ตัดสินได้
“ไม่ต้องตามข้ามา” เขากล่าวเสียงเบา ก่อนก้าวเดินออกไปนอกสำนักทั้งที่เพิ่งก้าวเท้าเข้ามาเมื่อไม่กี่เค่อนี้ก็ตาม
หลังจากหมิงจูออกมาจากสำนักเงาพยัคฆ์แล้วนางก็มุ่งหน้าสู่จุดหมายใหม่ทันที ในเมื่อที่สำนักนั่นไม่มีภารกิจไหนน่าสนใจสำหรับนางก็คิดว่าไม่ควรปล่อยเวลาให้สูญเปล่า นางเดินมุ่งหน้าสู่ย่านที่พักซึ่งเพิ่งได้ยินข้อมูลจากบทสนทนาในโรงน้ำชาว่าเป็นแหล่งปล่อยบ้านให้เช่า
ถนนสายเล็กเส้นนี้ทอดยาวผ่านแผงลอยมากมาย นางหยุดที่แผงขายขนมแผงหนึ่งจ่ายเงินเพื่อซื้อและถือโอกาสถามข้อมูลไปในตัว
“ท่านป้าข้าถามอันใดหน่อยสิเจ้าคะ?” หมิงจูเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร “แถวนี้มีตรอกที่ให้เช่าบ้านอยู่ไม่ใช่หรือ? ข้ากำลังหาที่พักเล็กๆ สักแห่ง ไม่ทราบว่าต้องไปที่ใด?”
เจ้าของแผงเงยหน้าขึ้นก่อนตอบ “มีสิ แม่หนู ต้นตรอกตรงไปข้างหน้านั่นเอง บุรุษนามว่าย่างจี๋ดูแลบ้านเช่าในแถบนั้นอยู่ หากเจ้าไปหาที่บ้านเขา เขาจะช่วยจัดการให้ทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
หมิงจูยอบตัวเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ ก่อนเดินต่อไปทางทิศที่ป้าเจ้าของแผงขนมกลิ่นหอมชี้ไป
บ้านของบุรุษนามว่าย่างจี๋ตั้งอยู่ที่มุมตรอก เป็นบ้านไม้ขนาดกลาง ทาสีเรียบง่ายแต่สะอาดสะอ้าน หมิงจูเคาะประตูเสียงเบา ไม่นานนักประตูเปิดออกเผยให้เห็นบุรุษวัยกลางคนที่แต่งกายสุภาพ ใบหน้าของเขาเปี่ยมด้วยความเป็นมิตร
“คุณหนูมาหาใครหรือ?” ย่างจี๋เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ข้ากำลังมองหาที่พัก ได้ยินว่าท่านเป็นนายหน้าที่ช่วยดูแลบ้านเช่าในตรอกนี้”
ย่างจี๋ยิ้มกว้างทันที “มาได้ถูกที่แล้ว ข้าดูแลบ้านเช่าหลายแห่ง คุณหนูเข้ามาก่อนสิ”
เขาเปิดประตูต้อนรับหมิงจูเข้าสู่บ้าน ภายในเรียบง่าย มีโต๊ะไม้ตัวใหญ่พร้อมเก้าอี้หลายตัววางอยู่กลางห้อง หลังจากพูดคุยเบื้องต้น ย่างจี๋ก็พานางเดินชมบ้านเช่าหลายแห่งในตรอกด้วยท่าทีกระตือรือร้นเป็นพิเศษ
“บ้านหลังนี้สองห้องนอน มีห้องครัว ห้องเก็บของ และสวนเล็กๆ ด้านหลัง” ย่างจี๋เอ่ยพลางเปิดประตูบ้านให้หมิงจูชมด้านใน “เหมาะสำหรับคนที่ชอบความสงบ ราคาไม่สูงนัก ข้าคิดว่าคุณหนูน่าจะชอบ”
หมิงจูสำรวจบ้านด้วยความสนใจ ห้องต่างๆ แม้จะเล็กแต่ก็ดูสะอาดและเป็นระเบียบ สวนหลังบ้านมีต้นไม้เล็กๆ ปลูกไว้สร้างความสดชื่น
“ข้าสนใจหลังนี้” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากเป็นไปได้ ข้าขอทำสัญญาจองไว้ก่อนได้หรือไม่?”
ย่างจี๋พยักหน้าอย่างยินดี “ได้สิ คุณหนูดูน่าเชื่อถือข้าจะไม่คิดเงินมัดจำก็แล้วกัน หากคุณหนูตกลง ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่งขอรับ”
เขาคงหาลูกค้าได้ยากพอเห็นนางสนใจก็เลยพยายามมีเงื่อนไขให้น้อยที่สุดเพื่อให้นางซื้อ นางดูจากความกระตือรือร้นของเขาที่มีตั้งแต่ต้นจนจบแล้วคงไม่ผิดจากที่คิดแน่ ซึ่งนั่นก็ดีต่อนางยิ่งนัก
ทว่าทันทีที่หมิงจูลงนามว่า “ไป๋หมิงจู” ออกมา สีหน้าของย่างจี๋เปลี่ยนไปทันที จากความเป็นมิตรกลายเป็นแข็งทื่อ ราวกับเพิ่งนึกบางสิ่งขึ้นได้
“ข้า...เอ่อ...” เขาเริ่มพูดติดขัด น้ำเสียงแปลกไปจนเห็นได้ชัด “ข้าลืมไปว่าบ้านหลังนี้มีคนจองไว้แล้ว คุณหนูไปหาที่อื่นเถอะ ข้าต้องขอโทษด้วย”
หมิงจูมองเขาด้วยสายตานิ่งๆ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพอย่างใจเย็น “ถ้าเช่นนั้น ข้าขอดูบ้านหลังอื่นแทนได้หรือไม่?”
ย่างจี๋ส่ายหน้ารัวทันที “บ้านทุกหลังในตรอกนี้มีคนจองหมดแล้ว ข้าคงช่วยอะไรไม่ได้ คุณหนูกลับไปก่อนเถิด”
พูดจบ เขาหันหลังกลับ รีบเดินหนีเข้าบ้านและปิดประตูเสียงดัง หมิงจูยืนอยู่นิ่งๆ หน้าประตูแววตาฉายความฉงนได้แต่ต้องเดินออกมาจากตรอกนั่น หมิงจูครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น สีหน้าของย่างจี๋และคำพูดที่รีบร้อนปฏิเสธ ทั้งหมดบ่งบอกถึงบางอย่างที่ผิดปกติอันเนื่องมาจากเขารู้ตัวตนของนางไม่ผิดแน่
...นางคาดว่าเรื่องนี้คงไม่พ้นฝีมือคนสกุลซุน หรืออาจจะเป็นฮ่าวเทียนที่ลงมือเพื่อกลั่นแกล้งนาง เขาลงมือเร็วเช่นนี้คงหวังให้นางลำบากจนทนไม่ได้ต้องกลับไปอ้อนวอนเขาสินะ
ทั้งที่นางคิดว่าหนังสือหย่านั่นเขาน่าจะยินดีด้วยซ้ำที่ได้รับแต่เหตุใดถึงกัดนางไม่ปล่อยเช่นนี้...
ทว่าความสงสัยนี้ก็ต้องถูกขัดเมื่อนางเดินเข้ามาในตรอกเปลี่ยวแห่งหนึ่ง เมื่อไม่มีคนพลุกพล่านความรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองจากด้านหลังทำให้มันชัดเจนขึ้น ทว่าหมิงจูก็แสร้งเดินต่อไปด้วยท่าทีไม่รู้ตัว แต่จิตใจกลับตื่นตัวเต็มที่พร้อมรับมืออันตรายที่เกิดขึ้น
