บท
ตั้งค่า

5

เฮยเอ๋อร์กลายเป็นนกบ้า

เช้าวันถัดมา เจียวจินตื่นแล้วแต่วันนี้นางเลือกอ่านตำราเกี่ยวกับทำสุราในห้องนอน ในระหว่างนั้นอยู่ดีดีนางกำนัลสองคนที่สงบเสงี่ยมมาตลอดวันนี้กลับส่งเสียงร้องหวีดว้ายเสียได้ อีกทั้งไม่ใช่เพียงชั่วครู่ด้วยนะ เจียวจินรอนานกว่าหลายสิบอึดใจก็ยังไม่เบาเสียงลงเสียที จนนางจึงต้องเดินไปดูนั่นล่ะ

เพิงเล็กๆข้างตำหนักที่ถูกทำไว้คล้ายครัวใช้พออุ่นน้ำได้บ้างมีสองสตรีหนึ่งนกทั้งบินทั้งวิ่งสับสนวุ่นวายไปมา

เจ้าเฮยเอ๋อร์ที่หายไปหลายวันกลับมาคงจะทำให้สองนางกำนัลของนางแตกตื่นจึงร้องหวีดว้ายเช่นนี้กระมัง

หมับ!

เจียวจินเดินเข้าไปหาและคว้าจับนกแสนรู้ที่วันนี้ไยดูเลื่อนลอยบินอย่างคนเมาเสียได้ แม้ตอนอยู่ในกำมือของเจียวจินแล้วก็ไม่วายจะกางปีกบินหนี ไม่เข้ามาจ้องมองและออดอ้อนเจ้านายเหมือนอย่างเคย จนกระทั่งมันดีดดิ้นจนหมดฤทธิ์ไปค่อยสลบคามือของเจียวจินในที่สุด

“เกิดอันใดขึ้น ไยเฮยเอ๋อร์ถึงมีอาการเช่นนี้”

เจียวจินมองสองนางกำนัลที่มีสภาพเหนื่อยหอบและสีหน้ายังไม่คลายความหวาดกลัวจึงไม่ได้เร่งรีบ รอจนทั้งสองกลับมาหายใจเป็นปกติ เป็นอาฟางที่ตอบกลับมา

“อิงอิงต้มน้ำร้อนทิ้งไว้แล้วกำลังจะมาดูเพคะ นางกลับมาเจอเฮยเอ๋อร์บินวนเช่นนี้จึงเรียกบ่าวมาช่วยกันไล่จับ แต่มันไม่ฟังอีกทั้งมีทีท่าหวาดกลัวจนตื่นตกใจเช่นที่พระองค์เห็นเลยเพคะ”

นกสีดำที่สิ้นแรงหลับตัวย้วยบนมือนาง คือตัวที่บินหนีคนอย่างคนบ้า พฤติกรรมนี้ไม่ใช่ปกติของมันเลย ไม่แน่มันอาจไปกินอันใดผิดสำแดงมา

“ถุงปักนั่นของพวกเจ้าหรือ?”

เจียวจินสอดส่องมองโดยรอบเห็นถุงปักเลื่อมงดงามวางนอนเปิดปาก อยู่ตรงข้างเตาที่ก่อกองไฟสำหรับต้มน้ำอยู่ และดูเหมือนว่าของในถุงจะหกกระจายออกไปไม่น้อยด้วย

“มะไม่ใช่เพคะ ถุงนั่นไม่ใช่ของบ่าว อิงอิงของเจ้าหรือ?”

ทั้งอาฟางและเจียวจินหันมองบ่าวร่างหนาที่นั่งนิ่งมาสักพักแล้ว

“ไม่ใช่ของบ่าว ไม่ใช่ไม่ใช่เจ้าค่ะ บะบ่าว ไม่เห็นมันเลยตอนกำลังก่อไฟ มันมาได้อย่างไรกัน มาได้อย่างไร บะบ่าว...”

ไม่ว่าจะประโยคคำพูดที่ยาวกว่าปกติ และท่าทางสีหน้ายามตอบมาดูเหมือนหวาดกลัวเกินเรื่อง อิงอิงทำอย่างกับว่านางกำลังถูกสอบสวนในห้องลงทัณฑ์ก็ไม่ปาน ทำเอาเจียวจินขมวดคิ้วมุ่นกับเรื่องฉงนยามเช้าพวกนี้

นางเดินไปก้มดูตรงถุงปัก รวมถึงมองดูผงที่กระจายออกทิศกระฉอกไปหากองไฟ

มันเป็นผงละเอียดสีขาวหม่น วูบหนึ่งที่เจียวจินได้กลิ่นมันตอนนางนั่งลงมาทำเอามึนหัวไปชั่วขณะ ซึ่งพอใช้สองนิ้วหยิบผงขึ้นมาขยี้และดมกลับไม่มีกลิ่นเลย มีแต่กลิ่นสมุนไพรอ่อนๆมาจากกองไฟที่จุดอยู่ต่างหาก

ผงลักษณะนี้เจียวจินคุ้นตาเหมือนนางเพิ่งเห็นสิ่งนี้ที่ไหนสักแห่ง แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก...

“อาฟาง ตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรอยู่”

นางกำนัลฟางสะดุ้งเล็กน้อยตอนได้ยินเจียวจินถาม ก่อนตอบกลับมา

“หม่อมฉันสับสนไปหมดเพคะ แต่ว่าหม่อมฉันไม่ได้ทำจริงๆนะเพคะ ไม่ได้...”

“เจ้าไม่ได้ทำอันใด?”

อาฟางที่กำลังเอ่ยปฏิเสธอีกรอบหยุดชะงักไป นางนิ่งคิดชั่วครู่ก็ส่ายหน้า

“ไม่ทราบเพคะ นั่นสิ ไยหม่อมฉันต้องปฏิเสธด้วยนะ”

เจียวจินยกมือห้ามก่อนที่นางกำนัลฟางจะทึ้งหัวตนเองไปมากกว่านี้ นางมองอาการผิดปกติของบ่าวทั้งสองคนไปมา อาฟางนั้นยังมีสติตอบโต้ได้แต่จะดูร้อนรนและรีบเร่งตอบมากกว่าปกติ ส่วนอิงอิงนั้นนิ่งเงียบแต่ทั้งกายสั่นเทา กำมือแน่น และยามที่เจียว

จินถามนางก็ดูหวาดกลัวเกินทั้งที่ปกติอิงอิงจะนิ่งสงบ อาการเหล่านี้เหมือนคนเสพยาเสพติดที่มีฤทธิ์กล่อมประสาทอย่างไรอย่างนั้น

“อาฟางเจ้าพาอิงอิงไปพักก่อนเถอะ หายมึนหัวแล้วค่อยมาพบข้า อย่าลืมดื่มน้ำเยอะๆ”

เจียวจินคิดออกแล้วว่านางเคยเห็นผงสีขาวหม่นนี่ที่ไหน!

ตอนเจียวจินเดินสำรวจห้องของซือเจี๋ยยวี่ พระสนมนางแรกที่ตายในสภาพตาเบิกโพรงและสีหน้าตกใจอย่างไรเล่า ผงสีขาวละเอียดนี้อยู่ใต้ตะเกียงจุดไฟที่มอดไปแล้วนั่นเอง ทั้งกลิ่นสมุนไพรที่อ่อนมากแล้วก็ลักษณะไม่ผิดแน่

แต่ไฉนมาอยู่ตรงนี้ได้คง อืม หรือจะเป็นเฮยเอ๋อร์คาบมา ถุงปักงดงามเช่นนี้เฮยเอ๋อร์เห็นแล้วคงคาบหวังจะมาอวดนาง และคงทำหล่นที่หน้าเตาไฟพอดี เจ้าผงขาวนี่ต้องออกฤทธิ์หลอนประสาทคนเมื่อยามถูกความร้อน

เฮยเอ๋อร์ได้รับควันพิษนี้ไปเต็มๆ มันจึงบินแบบผิดปกติเช่นนี้ ส่วนอิงอิงมาแถวนี้คนแรกรับควันไปบ้างจึงมีอาการมากกว่าอาฟางที่ตามมาทีหลัง ส่วนอาการของนางกำนัลทั้งสองที่เพียงมึนและหวาดวิตกมากกว่าปกติไม่ได้ตายเยี่ยงพระสนมทั้งสองคงเพราะ บริเวณนี้เป็นที่เปิดโล่ง อากาศถ่ายเท ควันพิษเจือจางมากกว่าการถูกจุดในห้องปิดทึบเยี่ยงห้องของสนมทั้งสอง

ผงสีขาวขุ่นนี่ต้องไม่ใช่เพียงยากล่มประสาททั่วไปแต่มันอันตรายจนทำให้คนสูดดมมีอาการหวาดวิตกและตายในที่สุดอย่างพระสนมทั้งสอง

อา คนคิดและลงมือทำช่างอำมหิตยิ่งนัก!

ข้อสันนิฐานนี้ของเจียวจินย่อมพิสูจน์ได้แต่นางไม่คิดเป็นคนพิสูจน์เองหรอก หากนางเก็บผงนี้ไว้กับตัวไม่บอกใครก็เสี่ยงถูกป้ายสีอีก ฉะนั้นเจียวจินจึงคิดว่าควรรีบเปิดเผยกับคนกลางเสียดีกว่า!

ส่วนใครเป็นผู้ลงมือสังหารอย่างเลือดเย็นนั้นต้องอาศัยให้เฮยเอ๋อร์นำพาไปยังแหล่งที่มันคาบเจ้าถุงนี้มาแล้ว

เจียวจินเฝ้าดูเฮยเอ๋อร์รอจนมันฟื้นกลับมามีสติ และส่งอาฟางที่พักผ่อนจนหายแล้ว นำสารที่เจียวจินเขียนไว้ไปส่งให้หัวหน้าองครักษ์ซ่ง นางแจ้งเขาเพียงว่ามีบางสิ่งที่นางลืมบอกเขาไปในวันที่นางคือคนกลุ่มแรกที่พบศพของซือเจี๋ยวยวี่ ให้เขามาพบนางหน่อย

เจียวจินกลัวหลักฐานและและข้อสันนิฐานหายไปหรือถูกสอดส่องระหว่างทาง จึงไม่เขียนลงไปทีเดียวในจดหมายนั่น เวลาล่วงเลยจนเข้ายามเว่ยแก่ จึงมีขันทีนายหนึ่งมาแจ้งเรียกให้เจียวจินไปเข้าพบฝ่าบาท!

“เจ้าไม่ได้แจ้งผิดคนใช่ไหม เจ้านำสารไปส่งให้หัวหน้าองครักษ์ซ่งมิใช่หรือ? เหตุใด...”

เจียวจินหน้าซีดไปแล้ว นางไม่ได้อยากพบบุรุษที่แผ่แต่รังสีกดข่มผู้อื่นผู้นั้นเสียหน่อย

“หม่อมฉันแจ้งขอพบหัวหน้าองครักษ์ซ่งจริงๆเพคะ แต่ไยเป็นได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทได้นั้นหม่อมฉันไม่รู้แล้วจริงๆ”

เจียวจินพรูลมหายใจยาวยืดอย่างทำใจ อย่างไรนางบอกหัวหน้าองครักษ์ซ่งไปเรื่องก็ถึงพระกรรณของฝ่าบาทอยู่ดี ได้ถ่ายทอดสิ่งที่คิดให้พระองค์ตรงๆก็ดีกว่านั่นล่ะ ติดเพียงอาจจะพูดยากกว่าเท่านั้นเอง

“อาฟางตามข้ามา ส่วนอิงอิงให้พักไปก่อนฝากให้นางดูเจ้าเฮยเอ๋อร์ด้วยแล้วกัน...”

เจียวจินไม่ลืมหยิบถุงปักอันเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญติดกายไปด้วย คราวก่อนนางได้เห็นเพียงปลายเท้าและได้ยินเสียงของฮ่องเต้ คราวนี้นางหวังว่าจะได้เห็นพระพักตร์เป็นบุญตาเสียหน่อยก็คุ้มแล้วก่อนตายแล้ว...

“เจียวกุ้ยเหรินมีอันใดจะบอกหม่อมฉัน ทูลฝ่าบาทได้เลยพะยะค่ะ”

หัวหน้าองครักษ์ซ่งยืนอยู่ในห้องทรงงานอันมีฮ่องเต้นั่งเก้าอี้ประจำกายเบื้องหลังเป็นโต๊ะทรงงาน ว่านกงกงยืนตรงข้ามซ่งหวงลู่ ส่วนเจียวจินและนางกำนัลฟางหมอบคำนับอยู่กลางห้องต่อหน้าฮ่องเต้

แม้จะเกินกว่าที่คิดแต่การได้เล่าเบาะแสนี้ต่อหน้าผู้ตัดสินสูงสุดเองก็เป็นเรื่องดีไม่หยอก หากเจียวจินเดาไม่ผิดนางต้องเป็นหนึ่งในบุคคลน่าสงสัยในความคิดของซ่งหวงลู่แน่ ฉะนั้นเช่นนี้ก็ดีแล้ว

“เมื่อเช้านี้บังเอิญมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นที่ตำหนักของหม่อมฉันเพคะ...

สัตว์เลี้ยงของหม่อมฉันเป็นนกแสนรู้และรักในสิ่งสวยงาม มันบังเอิญไปคาบถุงปักสีทองอันนี้มาให้หม่อมฉันเพคะ”

เจียวจินส่งถุงปักเจ้าปัญหาให้ว่านกงกง และมันก็ถูกส่งต่อไปให้ฮ่องเต้ใบหน้าหล่อเหลาไม่ต่างจากเสียงที่นางเคยได้ยิน ติดก็แต่เขาทำหน้านิ่งอย่างกับกำลังถ่ายแบบอารมณ์คนคูลอย่างไรอย่างนั้น

“สิ่งนี้คือ?”

เจียวจินไม่ตอบจื่อหานไปตามที่เขาตรัสถาม แต่นางเลือกที่จะถามซ่งหวงลู่แทน

“หัวหน้าองครักษ์ซ่งเคยเห็นผงเหล่านี้มาก่อนไหม?”

“...”

สีหน้าฉงนแต่ไม่ปฏิเสธว่าเคยเห็นหรือไม่ของเขาทำให้เจียวจินคิดว่าต้องช่วยกระตุ้นความทรงจำเขาหน่อย

“หม่อมฉันคุ้นว่าพบผงแบบเดียวกันนี้ตะเกียงจุดไฟที่ห้องของซือเจี๋ยวยวี่ ตอนนั้นหม่อมฉันสำรวจห้องแล้วเห็นว่าประหลาดจึงจำได้ ไม่ทราบว่าหัวหน้าองครักษ์ซ่งได้พบมันที่ห้องของลู่ซงเยวี่ยนด้วยหรือไม่”

เจียวจินเกริ่นเรื่องนี้มาเพราะมั่นใจว่าคนของเขาต้องจดรายละเอียดสิ่งแวดล้อมของพระสนมทั้งสองตำหนักไว้อย่างแน่นอน นางไม่กลัวถูกหาว่ากุเรื่องขึ้นหรอก

ในเมื่อเจียวจินถามเช่นนั้น ซ่งหวงลู่ก็หยับหนังสือบันทึกคดีออกมา พลิกหน้ากระดาษไปมาก็เงยหน้าสบว่านกงกงและจื่อหานทันใด

“มีจดไว้ว่าพบผงลักษณะคล้ายผงในถุงปักนี้จริงพะยะค่ะ พบทั้งสองพระตำหนักเลย พระองค์กำลังจะบอกว่ามันคือสิ่งเดียวกันหรือพะยะค่ะ แล้วเหตุใดมันไปอยู่ที่ตำหนักพระองค์ได้ หรือมีใครนำไปวางไว้อย่างนั้นหรือ?”

เจตนาของซ่งหวงลู่ชัดเจนว่าสงสัยนาง ซึ่งเขาไม่ผิดหรอก

“เป็นเช่นนั้น เพียงแต่อย่างที่หม่อมฉันบอกเพคะ ไม่ได้มีใครนำไปไว้แถวนั้นหรอกแต่เป็นนกของหม่อมฉันบังเอิญไปคาบมันมาเอง แต่มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นเพคะ หม่อมฉันขอเอ่ยส่วนหม่อมฉันสงสัยก่อนเพคะ...”

เจียวจินเน้นกล่าวกับผู้เป็นใหญ่ในห้องนี้ แม้นฮ่องเต้จะไม่ได้พูดแต่แววตาเขาก็เจือความสงสัยไม่ต่างกัน นางสบตาเขาเพียงนี้ไม่ถูกลงโทษอันใดจึงไม่คิดหลบสายตาตามธรรมเนียมอีกแล้ว

นางกลับยิ่งเอ่ยไปสบตาคนตรงหน้าไป เขาสามารถขึ้นปกครองคนหมู่มากได้เพียงนี้การอ่านคนจากแววตาย่อมเลิศล้ำไม่น้อย เจียวจินบริสุทธิ์ใจมาตลอดเขาย่อมมองออก

“หม่อมฉันคิดว่า ผงในถุงปักนั่นคือเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้พระสนมสองพระองค์ มีลักษณะสิ้นใจด้วยสีหน้าตื่นตกใจเยี่ยงเดียวกันได้

ผงนี้หม่อมฉันไม่ทราบชนิดของสมุนไพร หากดมผงนี้ตอนนี้จะไม่เป็นอันใด แต่หากนำมันไปเผาไฟหรือถูกความร้อนจะสำแดงฤทธิ์ทำให้ผู้ที่สูดดมมันเห็นภาพหลอนและตกใจตายได้ เรื่องนี้หม่อมฉันรู้ได้จากการที่ถุงปักนี้ตกหน้าเตาไฟเมื่อเช้าและนางกำนัลของหม่อมฉันมีอาการแปลกประหลาดเล็กน้อยเพคะ หากสงสัยในเรื่องนี้ต้องรบกวนให้ท่านหัวหน้าซ่งนำมันไปให้ผู้เชี่ยวชาญเรื่องพิษตรวจด้วยว่ามันคือสิ่งใด...”

หัวหน้าซ่งรับคำสั่งจากฮ่องเต้และส่งให้คนในการปกครองของตนนำมันไปให้หมอหลวงดู ส่วนเขาก็กลับมาประจำที่เดิม

“เจียวกุ้ยเหรินรู้จักมันดียิ่งนัก หากเป็นอย่างที่พระองค์พูดจริงไยนางกำนัลของพระองค์ถึงยังมีชีวิตรอดเล่า แต่พระสนมทั้งสองพระองค์กลับสิ้นพระชนม์ไปเสียแล้ว”

เจียวจินหยักยิ้มบางเบา ก่อนเอ่ยตอบอย่างสุขุมไร้ท่าทีหวั่นเกรง

“เพราะเมื่อเช้านั้นผงนั่นถูกเผาบริเวณเตาไฟอุ่นน้ำที่ตั้งอยู่ข้างตำหนักของข้าซึ่งเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ส่วนของพระสนมทั้งสองพระองค์...”

“ถูกเผาในตำหนักปิดทึบ เนื่องด้วยช่วงนี้เป็นวสันตฤดู ช่วงกลางคืนอากาศเย็นต้องปิดหน้าต่างทุกบานและจุดไฟให้ความอบอุ่นเล็กน้อยเป็นธรรมดา เช่นนั้นหากจุดไฟที่มีผงพิษอยู่ก็เป็นการลมควันตนเองดีดีนั่นเอง สามารถฆ่าคนได้โดยไม่เสียแรงและยังใช้เรื่องตำหนักผีสิงและเรื่องเล่าผีสนมตามหลอกหลอนสนมที่ได้ปรนนิบัติรับใช้เราได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ...”

เจียวจินมองฮ่องเต้ผู้เอ่ยเชื่อมต่อกับที่นางสงสัยและเพิ่มข้อสันนิฐานของตนเองครบนิ่ง อย่างน้อยผู้เป็นใหญ่ก็เชื่อที่นางเล่าแล้วส่วนเรื่องใครผู้อยู่เบื้องหลังหรือทำไปด้วยเหตุอันใดเขาจะคิดว่าเป็นเจียวจินไหมนั้น

นางน่าจะรอดแล้วกระมัง ไม่แน่ว่าฮ่องเต้อาจมีคนในใจที่คาดว่าจะอยู่เบื้องหลังแล้ว...

“เพคะ พระองค์อาจสงสัยว่าเหตุใจหม่อมฉันถึงได้มาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ใช่ไหมเพคะ...”

เจียวจินคิดว่านางควรเปิดเผยความในใจของตนโดยไม่ต้องมีใครถาม เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจเสียเลย

“วันแรกที่พบศพพระสนมพระนางแรก หม่อมฉันบังเอิญเดินเล่นย่อยมื้อเช้าแถวนั้นพอดี ส่วนเมื่อวานที่พบท่านหัวหน้าองครักษ์ซ่งนั้นหม่อมฉันตั้งใจจะไปสำรวจที่ตำหนักแห่งนั้นเอง เป็นเพราะการที่เกิดเรื่องราวเกี่ยวกับพระสนมสิ้นพระชนม์นี้ส่งผลให้ไป๋ซูเฟยมีคำสั่งโยกย้ายสนมที่พักตำหนักแถวตำหนักผีสิงไปที่อื่นเพคะ ด้วยความผูกพันกับที่นั่น หม่อมฉันไม่อยากย้ายจึงอยากช่วยไขปริศนาจะได้ไม่ต้องย้ายไปไหนเท่านั้นเองเพคะ”

เมื่อได้ฟังคำสารภาพอย่างตรงไปตรงมาของเจียวจินแล้วคนฟังทั้งสามต่างพากันเผยสีหน้าประหลาดใจไปตามๆกัน

เหตุผลที่ว่าไม่อยากย้ายตำหนักแสนเล็กนั่น ดูจะขัดกับที่ควรเป็นมากไปหน่อยหรือ

...ตำหนักเล็กเท่ารูหนูนั้นไม่ใช่ใครๆก็อยากย้ายไปยังที่ใหญ่ขึ้นหรอกหรือไร

“อ้อ ส่วนเรื่องที่มาของถุงปักนั่นหม่อมฉันเสนอว่าให้รอเจ้าเฮยเอ๋อร์ฟื้นก่อนแล้วค่อยให้มันพาไปยังแหล่งที่มันคาบถุงปักมา นั่นอาจช่วยให้ท่านหัวหน้าองครักษ์ซ่งตามหาผู้ร้ายได้บ้างเพคะ”

“เฮยเอ๋อร์?”

สีหน้างงงวยของฮ่องเต้ทำเอาเจียวจินรีบตอบทันที

“นกแสนรู้สัตว์เลี้ยงที่หม่อมฉันรายงานไปอย่างไรล่ะเพคะ มันแสนรู้มากแต่ตอนนี้มันเมาผงพิษนั่นอยู่เพคะ”

เจียวจินบอกทุกอย่างที่นางรู้แล้ว นางเชื่อว่าอย่างน้อยหากพวกเขาไม่เชื่อนางหมดก็ต้องหาทางพิสูจน์สิ่งที่นางบอกเอง แล้วบัดนั้นความจริงก็คงเปิดเผยเองนั่นแหละ

“...”

ความเงียบเข้าครอบคลุมในห้องนานราวหนึ่งก้านธูปได้ เจียวจินที่เงียบคอยให้คนในห้องประมวลผลเผื่อเขามีคำถามมานางก็ตอบได้ทันใจ แต่ในเมื่อไม่มีนางก็ว่าควรแก่เวลาแล้ว

“หม่อมฉันได้บอกสิ่งที่รู้ไปหมดแล้ว หม่อมฉันทูลลาเพคะ”

คำนับเสร็จก็หมุนกายเดินออกไปทันที ว่านกงกงที่เหม่อลอยคิดกับตนเองจนลืมหน้าที่จะเอ่ยห้ามก็ไม่ทันเสียแล้ว

มีอย่างที่ไหนขอลาออกไปเอง โดยไม่มีรับสั่งของฮ่องเต้ เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน...

พอมองไปที่ฮ่องเต้ที่ยังทอดพระเนตรมองตามและสายตาค้างที่ประตูโดยไม่ละสายตากลับมาเสียที ก็เลือกหยุดคำพูดของตนไว้ สนมนางนั้นจะถูกลงโทษหรือไม่ขึ้นอยู่กับรับสั่งของฮ่องเต้

“พิสูจน์ข้อสันนิฐานของนางให้เร็วที่สุด และส่งคนติดตามนางบันทึกส่งรายงานให้เราด้วย”

ว่านกงกงอ้าปากค้างไปเสียแล้ว

นอกจากฮ่องเต้จะไม่มีสีหน้าโกรธเคืองนางที่อาจหาญท้าทายอำนาจแล้ว ยังดูเหมือนว่าจะทำตามและปล่อยผ่านง่ายดายเสียด้วย...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel