บท
ตั้งค่า

4

นางต้องลาจากตำหนักแสนรักหรือ?

หลายวันถัดมาสหายใหม่อย่างลี่อิงมาหานางพร้อมข่าวที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก

“สนมที่พักอยู่ตำหนักแถบนี้จะถูกย้ายไปรวมกันที่ตำหนักอีกฝั่งหนึ่งของวังหลังนะ โดยเฉพาะอาจินที่อยู่ใกล้ตำหนักผีเฮี้ยนที่สุด”

ตำหนักที่นางอยู่มาปีหนึ่ง หากย้ายไปที่อื่นก็ไม่รู้จะยังมีความเป็นส่วนตัวเยี่ยงนี้อีกไหม นี่นางกำลังจะไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้วหรือ...

เรื่องนี้เจียวจินเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ตั้งแต่นางมีสหายเป็นสนมอย่างลี่อิงมาจนมีโอกาสได้เข้าร่วมกิจกรรมหลายอย่างกับสนมคนอื่นทำให้เจียวจินรู้ได้อย่างหนึ่ง ว่านางไม่เหมาะกับสังคมสนมในวังหลังเลย!

นางอยากนอนหลับเงียบๆ อ่านตำราคิดค้นสูตรสุราเลิศรสไว้กินยามบรรยากาศเป็นใจ แต่การไปเข้าร่วมสังคมสนมนั้นคือการต้องไปร่วมเล่นการละเล่นของสตรี ไม่ว่าจะเป็นแข่งกันปาลูกดอกลงท่อ ชวนไปไกวชิงช้าชมธรรมชาติ หรือว่าจะเป็นร้องรำประกอบเพลงร่วมกัน เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เจียวจินทำไม่ได้นะ แต่นางไม่อยากเสียเวลาเสียแรงจนเหนื่อย แทนที่จะเอาไปนอนต่างหาก

ตำหนักหลังนี้สงบที่สุดแล้ว เจียวจินไม่ยอมย้ายอย่างแน่นอน

“เป็นรับสั่งของไทเฮาหรือ?”

“ใช่ที่ไหนกัน รับสั่งของไป๋ซูเฟยจอมหยิ่งนั่นต่างหาก อีกไม่เกินสามวันหรอกตำหนักฝั่งนู้นทำความสะอาดและซ่อมแซมเสร็จเมื่อไหร่เจ้าต้องถูกย้ายไปแน่”

เจียวจินนิ่งเงียบ ในหัวนางกำลังคิดใคร่ครวญหาวิธีให้ตนไม่ต้องย้ายไปหาความวุ่นวายเหล่านั้น

“พอไทเฮามอบอำนาจให้นางเจ้าดูเอาเถอะ สนมคนไหนไม่ได้รับผลกระทบบ้าง นางเรียกพวกพระสนมชั้นสูงเข้าไปพบยามเช้าแทบทุกวันอย่างกับว่าเรียกไปคำนับนางในฐานะฮองเฮาไม่ผิด ส่วนเจ้าน่ะต้องย้ายเพราะอยู่ใกล้ตำหนักต้นเหตุอย่างไม่ถามความสมัครใจ ไม่รู้ว่านางจัดการเรื่องที่ได้รับมอบหมายไปถึงไหนแล้ว แต่ที่ไล่ทุกคนออกไปให้รู้ว่านางกำลังทำงานตามที่ไทเฮามอบหมายไม่ได้ออกนอกลู่นอกทางไปไหน”

ไม่เพียงลี่อิงเท่านั้นที่ดูไม่ชอบใจไป๋ซูเฟย ตอนเจียวจินไปร่วมสังคมฟังพวกนางสนมสนทนากัน หัวข้อส่วนใหญ่วนอยู่ที่พระชายาเอกหนึ่งเดียวจนเจียวจินพอเข้าใจสถานการณ์ในวังหลังขึ้นมาบ้าง

“เอาเถอะๆ เรื่องของนางมิใช่เรื่องของเราเสียหน่อย วันนี้ท่านมาหาข้าคงไม่ได้จะชวนออกไปข้างนอกหรอกนะ

...ข้าบอกไว้ก่อนเลยว่าวันนี้ข้ามีสิ่งที่ต้องทำในตำหนักอีกมากไม่ว่างไปกับเจ้า”

แน่นอนเจียวจินเดาไม่ผิด ลี่อิงมาชวนไปเล่นจริงดังว่า

“พวกนางอยากให้เจ้าไปช่วยไขปริศนาภาพเล่มนั้นให้เสร็จ เรียกร้องมาจนข้าปวดหูไปหมด หากเจ้าไม่ไปไม่แน่พวกนางอาจมาตามถึงตำหนักเลยก็เป็นได้นะ เจ้าจะเอาอย่างนั้นหรือ?”

ลี่อิงพูดความจริงเต็มสิบส่วน สหายสนมทั้งชั้นสูงและขั้นเอกในตอนแรกที่เจอเจียวจินก็มีไม่ชอบใจบ้าง ทว่าพอได้คุยได้เล่นกิจกรรมร่วมกันกลับกลายเป็นเอาแต่เรียกหาทำอย่างกับว่า

เจียวจินคือคนที่นางต้องการมิใช่ฮ่องเต้อย่างไรอย่างนั้น

ก็ใครให้เจียวจินเท่แสนเท่เพียงนี้เล่า!

ตอนเล่นเกมปาลูกดอกลงท่อ เหล่าสนมที่เล่นแทบทุกวันยังปาลงบ้างไม่ลงบ้างแต่พอเป็นเจียวจินที่เล่นคราแรกโยนกี่ดอกก็ลงเป้าหมดทุกดอก!

ไหนจะยอมไกวชิงช้าและแนะนำวิธีเล่นที่แปลกใหม่จนพวกนางหายเบื่ออีกเล่า และหนังสือที่มีปริศนาภาพที่พวกนางร่วมกันแก้ไขมาหลายเดือนแต่ถูกเจียวจินแก้ได้เกือบหมดเล่ม ซึ่งวันนั้นหากไม่มืดก่อนคงหมดทั้งเล่มหนาๆนั้นแน่

“เมื่อคืนตำหนักข้างๆข้ามีเสียงร้องไห้ดังขึ้นมาหากพวกนางอยากมาอยู่เป็นสหายค่าที่นี่ก็ให้มาเถอะ ดีเสียอีกจะได้ไม่ต้องเหงาฟังเสียงอันใดไม่รู้คนเดียว”

ลี่อิงที่เดิมมีสีหน้าสดใสพลันซีดเซียวขึ้นทันตา อีกทั้งหันมองซ้ายมองขวาและขอตัวกลับไปอย่างที่เจียวจินไม่ต้องเอ่ยไล่ในเวลาต่อมา

“เจียวกุ้ยเหรินตรัสจริงไหมเพคะ ระ เรื่องเสียงนั่น”

อาฟางที่ยืนฟังมาโดยตลอดรีบเอ่ยถามน้ำเสียงติดสั่นเล็กน้อย จนเจียวจินที่กุเรื่องเพื่อขู่ลี่อิงเริ่มรู้สึกสงสารขึ้นมา

“ไม่หรอก เจ้าอยู่มาหลายวันยังคิดว่าตำหนักนั่นมีกุ๊กกู๋อีกหรือ?”

อาฟางพยักหน้าหงึกหงึกอย่างแรง

ดูท่าแล้วเจียวจินต้องเก็บปณิธานที่จะอยู่เงียบๆใช้ชีวิตเรียบง่ายไว้ชั่วคราวเสียแล้ว หากนางปล่อยให้เรื่องผีสนมนั่นยังดำเนินต่อไปไม่รู้ชีวิตแสนเงียบสงบของเจียวจินจะกลายเป็นเช่นไร...

คืนนี้เองในเมื่อเจียวจินตัดสินจะพึ่งตนเองออกโรงหาเงื่อนงำของการที่สนมสองคนตายด้วยเหตุเดียวกันแล้ว นางจึงตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังตำหนักของสนมคนที่สองที่ตาย เพราะคนแรกเจียวจินสำรวจดูด้วยตาตนเองแล้ว

ทว่าการมาครานี้นางเสียเที่ยวแล้วล่ะ เพราะว่าพอเจียวจินเปิดประตูเข้าไป ภายในตำหนักเหมือนว่าจะถูกเก็บกวาดเรียบร้อย ข้าวของทุกอย่างดูเข้าที่ ฉะนั้นนางคงต้องไปสอบถามจากคนที่พบเห็นศพแทน

นางเดินออกไปจากตำหนักร้างไม่ไกลก็ต้องสะดุ้งเพราะเสียงเรียกจากด้านหลัง

“เจียวกุ้ยเหรินเสด็จมาทำอันใดที่นี่หรือพะยะค่ะ”

อา เจียวจินไม่คิดว่าจะพบหัวหน้าองครักษ์ซ่งเสียได้ สายตาเขานั้นส่อแววสงสัยใคร่รู้มองตรงมาอย่างไม่ปิดบัง

“ข้ามาเดินให้มื้อเย็นย่อยน่ะ แล้วองครักษ์ซ่งเล่ามาทำอันใดในวังหลังยามดึกเช่นนี้”

ใครก็รู้ว่า นอกจากองครักษ์ที่เฝ้ายามตามกำแพงแล้วนั้น บุรุษเพศที่ไม่ใช่ฮ่องเต้และขันทีไม่สามารถเข้ามาในวังหลังได้

หากเจียวจินเดาไม่ผิด เขาต้องได้รับโองการจากฮ่องเต้ให้รับผิดชอบเรื่องปริศนาการตายของเหล่าสนมอีกทาง มิเช่นนั้นคงไม่อาจเข้ามาในวังหลังนี้อย่างโจ่งแจ้งทั้งที่ไม่ใช่เวรเช่นนี้ได้

“กระหม่อมเพียงมาตรวจดูพื้นที่รอบตำหนักแห่งนี้เท่านั้น อย่างนั้นเชิญเจียวกุ้ยเหรินตามสบายเถอะพะยะค่ะ”

ผิดคาดที่หัวหน้าองครักษ์ซ่งปล่อยนางไปไม่เอ่ยถามอันใดเพิ่ม แต่นางเชื่อว่าในหัวเขาคิดสงสัยไม่เชื่อคำพูดของเจียวจินมากกว่าเชื่อแน่

“ยามนี้ก็ค่ำแล้ว ข้าต้องรบกวนท่านหัวหน้าองครักษ์เดินไปส่งข้าที่ตำหนักด้วยเถอะ...”

ไหนๆนางก็ถูกสงสัยแล้วมิสู้ใช้เรื่องนี้ให้เกิดประโยชน์ไม่ดีกว่าหรือ...

ระหว่างทางเดินนี้เจียวจินคิดว่านางอาจแยบถามคนที่น่าจะรู้เรื่องดีที่สุดเสียหน่อย

"ท่านหัวหน้าองครักษ์ซ่งน่าจะรับผิดชอบสืบเรื่องเหล่าสนมสิ้นพระชนม์ให้ฝ่าบาทกระมัง ไม่ทราบว่าตอนนี้ดำเนินไปจนใกล้ได้ข้อสรุปหรือยัง?”

“เรื่องนั้นกระหม่อมจะทำสุดความสามารถไม่ต้องทรงกังวลพระทัยพะยะค่ะ”

คำตอบไร้ข้อชี้แจงนี้ไม่ผิดจากที่นางคาดไว้ เขาตอบรายละเอียดให้นางฟังสิถึงแปลก

เจียวจินเอ่ยถามเพื่อตรวจสอบว่าเขาคือคนของฝ่าบาทไม่ใช่คนของไป๋ซูเฟยก็เท่านั้น ซึ่งเมื่อครู่เขาไม่เอ่ยแย้งย่อมเป็นไปได้ว่าเป็นอย่างที่นางคิด เพราะหากเขาคือคนของไป๋ซูเฟยที่มีแนวโน้มว่าไม่ใส่ใจสืบคดีนี้จริง เจียวจินจะได้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขาให้เสียเวลาเปล่า

หากนางรู้อันใดอาจจะสามารถบอกเขาได้บ้าง ซึ่งการที่เขามาพบครานี้เกินความคาดหมายมากเสี่ยงที่นางจะถูกสงสัยได้เช่นกัน หลังจากประโยคนั้นเจียวจินจึงไม่ได้เอ่ยเรื่องเหล่านี้อีก

หัวหน้าองครักษ์ซ่งเดินไปส่งสนมเจียวแล้วก็ถึงเวลากลับไปรายงานความคืบหน้าของเรื่องกับฮ่องเต้พอดี

“ทูลฝ่าบาทพะยะค่ะ กลางคืนนี้กระหม่อมไปตรวจตราตำหนักพระสนมเอกลู่มานั้นพบ เจียวกุ้ยเหรินมาเดินแถวนั้นพะยะค่ะ”

จื่อหานที่ก้มหน้าอ่านฎีกามากมายบนโต๊ะอยู่เงยหน้าขึ้นทันใด

“เจียวกุ้ยเหรินอย่างนั้นหรือ?”

เจ้าของชื่อคนนี้ไม่ใช่คนที่เขาบังเอิญพบนางตอนที่ไปเยี่ยมชมตำหนักผีสิงอย่างนั้นหรือ?

จื่อหานเบนสายตามองว่านกงกงชั่วครู่อย่างที่บ่าวคนสนิทเข้าใจความหมายของสายตานั่นเป็นอย่างดี

“เป็นสนมที่เพิ่งกลับมามีรายชื่อในบัญชีพะยะค่ะ และก็เป็นสนมพระนางนั้นที่พระองค์ทอดพระเนตรในวันนั้น...”

“และก็เป็นพระนางนี่เองที่บังเอิญอยู่ในเช้าวันพบพระศพของซือเจี๋ยวยวี๋พะยะค่ะ”

ยิ่งหัวหน้าซ่งเอ่ยเสริมยิ่งมีแต่ความน่าสงสัยเต็มไปหมด...

สตรีผู้นั้นไยมีเหตุให้ไปแถวที่เกิดเหตุหลายครั้งหลายครา หากไม่ใช่สวรรค์นำพาโดยบังเอิญก็ต้องเกี่ยวพันกับเหตุที่เกิดขึ้นแน่

หากแต่เมื่อดูภูมิหลังครอบครัวของสนมชั้นล่างผู้นี้แล้วไม่น่าเกี่ยวข้องอันใดกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนทำสิ่งเหล่านี้ออกมาได้เลย การตายของเหล่าสนมไม่ใช่เพียงแค่เรื่องความแค้นของสตรีเป็นต้นเหตุแน่นอน มันมีอันใดมากกว่านั้นมาก แน่นอนว่าเกี่ยวโยงถึงข่าวลือมากมายในวังหลังอันเป็นเหตุให้ฮ่องเต้หนุ่มต้องปวดหัวรับฎีกามากมายจากเหล่าขุนนางที่ถือโอกาสนำจุดอ่อนของเขาขึ้นมาพูดอีกครั้งเช่นตอนนี้

“ฝากหัวหน้าองครักษ์ซ่งให้คนจับตาดูนางด้วย หากมีอันใดเร่งด่วนให้รายงานได้ทันที แล้วฝ่ายไป๋ซูเฟยสืบเรื่องไปถึงไหนแล้ว”

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมให้คนจับตาดูพบว่าไป๋ซูเฟยส่งคนตรวจค้นสนมบางคนที่พระนางสงสัยบ้างพะยะค่ะ แต่กระหม่อมไม่คิดว่าจะสามารถสืบรู้ได้เร็ววัน กระหม่อมจึงเร่งมือสืบหาด้วยอีกแรง”

“หากไทเฮาเร่งมาเจ้าก็เพียงรับปากไว้แต่สำคัญคือต้องสืบหาคนอยู่เบื้องหลังให้ได้ อาจช้าเสียหน่อยแต่ก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เพียงอย่างเดียว ดีเสียอีกเราจะได้รู้ว่าขุนนางคนใดอยู่ฝ่ายเราจริง คนใดปากบอกเข้าข้างเรา แต่เมื่อยามเจอโอกาสก็ไม่ปล่อยหลุดมือหันกลับมาโจมตีเราทันที หึ”

พระปรีชาสามารถของจื่อหานเป็นที่รู้กัน เขาสามารถจัดระเบียบข้าราชสำนัก กำจัดคนคดโกงได้หมดไปใช้เวลาเพียงสองปีหลังขึ้นครองราช แน่นอนว่าการทำเช่นนั้นย่อมก่อให้เกิดขุนนางที่ไม่พอใจมากมาย แต่พวกเขาก็ไม่สามารถขัดอันใดได้กับฮ่องเต้ที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์

ทว่ามีช่องโหว่หนึ่งที่กวนใจจื่อหานมาโดยตลอดและมิอาจปฏิเสธได้ นั่นก็คือ เขายังไม่มีทายาทแม้แต่พระองค์เดียว ไหนจะตำแหน่งฮองเฮาที่ว่างอยู่อีกเล่า แล้วยิ่งข่าวลือที่ว่าในวังหลังมีสนมตายมากมาย ส่งผลให้ศรัตรูเอามาเล่นงานและตอกย้ำว่าเขาขาดคุณสมบัติความเป็นเจ้าของแผ่นดิน ตอนนี้สถานการณ์ในราชสำนักตึงเครียดและมีคนส่งฎีกาให้เขารีบแต่งตั้งฮองเฮาและมีพระโอรสมากจนอ่านไม่หวาดไม่ไหว

แต่ก่อนมีเพียงไทเฮากดดันก็ว่าปวดหัวมากแล้ว นี่ต้องมานั่งอ่านคำพูดของขุนนางทั้งวันเกี่ยวกับเรื่องนี้ จบวันทีในหัวมีแต่คำว่าแต่งตั้งฮองเฮา และ มีโอรส ...

ใครจะรู้บ้างว่าเขาก็มีเหตุผลที่ไม่สามารถทำตามสิ่งที่ทุกคนต่างก็อยากให้ทำได้เช่นกัน!

หัวหน้าองครักษ์ซ่งจากไปแล้ว ในห้องทรงงานของฮ่องเต้แคว้นจึงเหลือเพียงเจ้าของห้องที่นั่งหน้านิ่งคิ้วขมวด และว่านกงกงที่มองเจ้านายด้วยสายตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง

“ฝ่าบาทวันนี้ทรงเข้าบรรทมก่อนเถอะพะยะค่ะ อย่างไรอีกไม่นานหัวหน้าองครักษ์ซ่งก็ย่อมต้องหาตัวการมาได้แน่พะยะค่ะ”

จื่อหานพยักหน้ารับคำ อย่างน้อยเรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลังนี้ก็มีข้อดีตรงที่ทำให้เขาไม่ต้องเลือกป้ายพระสนม เขาสามารถใช้ข้ออ้างเรื่องนี้อ้างกับมารดาได้อย่างเป็นธรรมชาติไร้ข้อกังหาแหละนะ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel