2
ตำหนักผีเฮี้ยน
ตกดึกคืนนั้นเอง สนมที่ถูกลืมเมื่อไร้สหายยากพึ่งพิงในการนำอาหารมาให้แล้ว จึงต้องออกจากตำหนักพักนอนหาอาหารเติมลงท้องเอง
เจียวจินเคลื่อนตัวในความมืดในชุดสีเข้มที่สุดเท่าที่จะหาได้ในหีบเสื้อผ้าตอนนี้มาสวมเพื่อพรางตนกับความมืด นางมุ่งไปที่ห้องเครื่องของวังหลัง ยามนี้ไม่มีคนอยู่แล้วประตูและหน้าต่างทุกบานปิดลงหมด ดีที่เจียวจินสั่งให้เฮยเอ๋อร์บินคาบกิ่งไม้มาขัดหน้าต่างบานหนึ่งไว้ก่อนแล้วเมื่อตอนเย็น มาตอนนี้จึงสามารถแงะบานหน้าต่างบานหนึ่งให้เผยอออกได้
ท่ามกลางห้องเครื่องขนาดใหญ่ที่มืดทึบนั้นมีไข่มุกราตรีเม็ดเท่าครึ่งกำมือสตรีให้แสงสว่างอยู่ ไข่มุกเรืองแสงนี้คือของสิ่งหนึ่งที่เฮยเอ๋อร์แสนรู้คาบมาให้เมื่อนานมาแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นประโยชน์มากแก่นาง
เจียวจินเดินหยิบทั้งของสด และอาหารที่ปรุงแล้วใส่ไว้ในย่ามที่เตรียมมา ขนมบางอย่างที่มีเหลือมากก็หยิบมาแบบไม่ให้ดูออกว่าหายไป เมื่อรวบรวมเสบียงได้จนพอใจก็กระโดดผลุงออกมาจากหน้าต่าง มุ่งกลับตำหนักอย่างไม่ให้เสียเวลามาก
แต่ไม่ลืมขากลับนี้นางจะแวะตำหนักผีเฮี้ยนเจ้าปัญหาสักหน่อย นางอยากรู้ว่าตำหนักแห่งนี้มีผีจริงไหม หรือว่ามีใครเล่นกลอันใดหลอกผู้อื่นอยู่กันแน่!
ตำหนักของสนมขั้นฉางจ้ายมีขนาดเท่าตำหนักของเจียวจินเลย เพียงแต่ทั้งสองข้างทางเดินโล่งเตียน ต่างจากตำหนักของ
กุ้ยเหรินอย่างนางที่ตำหนักหลบอยู่หลังต้นท้อต้นใหญ่ไม่สังเกตก็ไม่พบ ภายในดูสะอาดตาและเครื่องเรือนใหม่กว่าของนางมาก เข้ามาในตำหนักก็พบชุดเก้าอี้โต๊ะรับแขกหนึ่งชุด และเป็นห้องนอนเลย ไม่ได้มีอันใดน่ากลัวอย่างที่เห็นนางกำนัลลือเสียหน่อย
สำนวจรอบห้องสักพักไม่พบอันใดที่น่าเก็บไปใส่ใจ จึงตัดสินใจออกไปดีกว่าเสียเวลากลับไปทำมื้อเย็นหมด
โอ๊ะ! ข้างนอกตำหนักเหมือนมีกลุ่มคนเดินมาทางนี้
เจียวจินออกไปจากที่นี่ไม่ทันแล้ว นางต้องหาที่หลบเพื่อไม่ให้ใครมาเห็นว่าตนมาอยู่ในตำหนักผีเฮี้ยนนี่ก่อน!
“ทางนี้พะยะค่ะ ฝ่าบาท”
ว่านกงกงนั้นมีอายุเข้าสู่ช่วงสามสิบแล้วผ่านการใช้ชีวิตมามากทว่าข่าวลือที่ว่าตำหนักแห่งนี้มีผีนั้นก็ทำให้เขาขนลุกและขาสั่นน้อยๆได้เช่นกัน แต่ในเมื่อเจ้านายต้องการมาเขาก็ต้องตามมาอย่างเสียไม่ได้
หลายวันมานี้ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรืออย่างไร ไยฮ่องเต้หนุ่มผู้นี้ถึงเดินย่อยอาหารมาไกลถึงแถบนี้เสียทุกทีไม่รู้...
“กงกงเคยเห็นผีหรือไม่?”
อ๋องเต้แคว้นฉู่ จ้าวจื่อหานผู้นี้เดินเข้าสู่ตำหนักอย่างไร้ความกลัวเกรง สีหน้าเต็มไปด้วยความอยากรู้เสียมากกว่า
“ไม่พะยะค่ะ ทว่านางข้าหลวงและขันทีล้วนลือกันว่า สนมเจ้าของตำหนักนี้ตายแล้วยังไม่ไปเกิด วนเวียนอยู่ในตำหนัก แรงแค้นมากตามหลอกหลอนข้ารับใช้ตนเองจนตกใจตายไปจนหมด บางคืนก็ว่ามีเสียงร้องไห้จวนขาดใจ บางคืนก็มีคนเห็นเงาคนเดินไปภายในตำหนักร้างแห่งนี้พะยะค่ะ”
ว่านกงกงพูดด้วยเสียงสั่นๆ สายตาสอดส่ายรอบข้าง บรรยากาศวังเวงเช่นนี้ชั่งน่ากลัวเกินคาดคิด ทว่ามองทีท่าของเจ้านายตนแล้วแทบอยากจะร้องไห้เสียตอนนี้
จ้าวจื่อหานเดี๋ยวหยิบของในห้องขึ้นดู เดี๋ยวเดินแวะเวียนเปิดตู้นู่นนี่ดู จนหากวิญญาณสนมนางนั้นอยู่ต้องโมโหไปแล้วแน่
กึกๆ
นั่นปะไร ในความมืดสุดสายตาต้นกำเนิดเสียงดังเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างขยับอยู่ ทำเอากงกงผู้สุขุมน่าเคารพแทบล้มลงไปนั่งกับพื้น
ขาของเขาอยู่ดีดีก็ไม่มีแรงเสียแล้ว...
“ใครอยู่ตรงนั้น! แสดงตัวบัดเดี๋ยวนี้”
แต่สำหรับจ้าวจื่อหาน เขารับรู้ได้สักพักแล้วล่ะว่าตรงบริเวณหลังตู้เหมือนมีใครอยู่ ยังดีที่พอเขาสั่งเจ้าของเสียงที่เกือบทำกงกงเข่าอ่อนก็ออกมาจากที่ซ่อน แสดงตัวอย่างว่าง่าย
“เอ่อ ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”
เป็นสตรีนางหนึ่งนั่นเอง จะว่าเป็นนางกำนัลในวังหลังก็ไม่ใช่ เครื่องแบบชุดที่สวมและเครื่องประดับหัวและทั่วกายล้วนไม่ใช่อย่างที่นางกำนัลสวมใส่ หรือเป็นเหล่าสนมก็ยิ่งไม่น่าใช่ใหญ่เพราะสตรีตรงหน้านี้ นอกจากชุดสีม่วงเข้มที่ถูดตัดเย็บอย่างประณีตแล้วล้วนไม่มีอื่นใดประดับอีก ไม่ใช่เหล่าสนมที่ยามเขาไปหาทีบนกายแทบจะมีแต่เครื่องประดับแทบไม่เห็นเนื้อหนังแน่นอน
“เจ้าคือผู้ใด ไยลอบเข้าตำหนักนี้ได้!”
นอกจากจื่อหานที่อยากรู้อยากเห็นแล้วไม่คิดว่าจะมีคนที่มีความคิดเช่นเดียวกันด้วย
ช่างเป็นสตรีที่หาญกล้าเกินทั่วไปจริงๆ
“เอ่อ ขอพระราชทานอภัยให้หม่อมฉันด้วย หม่อมฉันไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จมาก่อนมิเช่นนั้นก็คงไม่มาเพคะ หม่อมฉันเจียวจิน สนมขั้นกุ้ยเหรินเพคะ”
หากเจียวจินเงยหน้าขึ้นมาคงเห็นสีหน้าประหลาดใจของจื่อหานไปแล้ว ทว่าตอนนี้นางก้มหน้ามองพื้นอย่างที่ถูกสอนสั่งมาตั้งแต่สอบคัดเลือก ไหนเลยจะเงยหน้ามองสังเกตฮ่องเต้ได้
จื่อหานนั้นนานครั้งยากจะเดาอันใดพลาด ทว่าครานี้คนตรงหน้ากับเป็นถึงสนมเสียได้ แม้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาผู้มีสนมหลายสิบคนจะจำหน้าพวกนางไม่ได้ แต่ไหนเลยจะถึงขนาดมองไม่ออกว่าใครคือสนมใครไม่ใช่
อีกทั้งคำพูดคำจาของนางที่เอ่ยอย่างกับว่าเขาคือโรคร้ายแรงที่ควรหลีกเลี่ยงก็ไม่ปาน อันใดคือบอกว่าหากรู้ว่าเขามาก็จะไม่มา หากเดาไม่ผิดสตรีตรงหน้าอาจทราบข่าวว่าเขามาจึงมาดักที่ตำหนักแห่งนี้เสียมากกว่ากระมัง
เล่ห์กลพวกนี้เขาผู้เป็นถึงฮ่องเต้จะไม่เข้าใจหรืออย่างไร เหอะ!
“งั้นเจ้ามาทำอันใดที่นี่”
“หม่อมฉันได้ยินข่าวลือจึงอยากรู้อยากเห็นเท่านั้นเพคะ เอ่อ อย่างนั้นตอนนี้หม่อมฉันขอกลับตำหนักก่อน เชิญพระองค์เที่ยวชมตามพระทัยเลยเพคะ...”
ที่แห่งนี้มีอันใดให้เที่ยวชมกัน นางพูดอย่างกับว่าตำหนักผีสิงนี้คือสวนดอกไม้อย่างไรอย่างนั้น ไหนจะรีบเดินออกไปโดยไม่เงยหน้ามองเขาเลยสักวาบเดียว
...มาดักรอไยไม่รั้งให้นานกว่านี้ กลับเร่งรีบเดินออกไปเสียได้ หรือว่านี่คือกลเม็ดใหม่ในการเชื้อเชิญให้เขาสนใจกัน
“เอ่อ ฝ่าบาทจะทรงเที่ยวชมต่อไหมพะยะค่ะ”
ว่านกงกงเอ่ยถามเพราะตั้งแต่สตรีเมื่อครู่ออกไปแล้วเจ้านายของเขาก็นิ่งมานานเกิน จนเขากลัวว่าเจ้าของตำหนักจะแสดงอำนาจจริงๆ ส่วนสนมที่ไม่เหมือนสนมเมื่อครู่ไม่ได้อยู่ในความคิดของกงกงเลยเพราะในหัวเขามีแต่เรื่องเล่าของบริวารที่กรอกหูเขามาตลอดวัน
“ใครบอกว่าเรามาเที่ยวกัน ว่านกงกงชักเลอะเลือนแล้ว สตรีเมื่อครู่นางคือกุ้ยเหรินจริงหรือ?”
พอออกมาจากตำหนักวังเวงแล้ว ว่านกงกงค่อยกลับมาเป็นว่านกงกงผู้เป็นหัวหน้าขันทีคนเดิมหน่อย
“กระหม่อมคุ้นๆว่าเมื่อตอนพระองค์ครองราชย์ใหม่มี
กุ้ยเหรินอยู่หนึ่งคนจริงพะยะค่ะ เพียงแต่ไม่ทราบว่าใช่แม่นางเมื่อสักครู่หรือไม่”
กงกงจำเหล่าสนมของจื่อหานได้ทุกคน ซึ่งเขาจำได้ว่าในบัญชีชื่อพระสนมนั้นมีสนมขั้นล่างไม่กี่คน หนึ่งในนั้นคือสนมที่เพิ่งฆ่าตัวตายไปผู้นั้น ไม่คิดว่ายังมีเจียวกุ้ยเหรินอีกคนที่ตกหล่นไปเสียได้
“สืบดูแล้วมารายงานเราด้วยแล้วกัน วันนี้พักที่ตำหนัก
เฉียนชิงกงแล้วกัน”
คำพูดของจื่อหานว่านกงกงเข้าใจเป็นอย่างดี พระองค์หมายความว่าวันนี้จะทรงไม่เลือกป้าย และไม่ไปเยี่ยมเยียนพระสนมคนใด ส่วนกงกงอย่างเขาก็ต้องหาข้ออ้างไปบอกไทเฮาที่เฝ้าคอยมองความคืบหน้าเรื่องนี้ว่า
“ฝ่าบาทพระราชกิจมาก ทำเสร็จดึกดื่น พักที่ตำหนักของพระองค์เองพะยะค่ะ”
แล้วกงกงผู้เป็นคนกลางอย่างเขาก็ต้องรับฟังคำบ่นของไทเฮาและนำมารายงานฮ่องเต้เสียทุกครา
พระองค์หนึ่งก็อยากให้มีโอรสเสียที ส่วนอีกพระองค์ก็หลีกเลี่ยงแทบตาย คนกลางอย่างเขาเผชิญกับเรื่องนี้จนหัวใจชินชาไปเสียแล้ว..
เจียวจินปลีกตัวจากบุคคลทรงอำนาจมาได้แทบหยุดหายใจ นี่เป็นคราแรกของทั้งเจ้าของร่างและนางเลยที่ได้พบฮ่องเต้ตัวจริง จากที่คิดว่าน่าจะเป็นคนมีอายุ พุงพุ้ย หัวล้าน ไฉนกลับดูหนุ่มและอ่อนไวปานนั้น เสียดายที่สนมอย่างนางไม่มีสิทธิมองพระพักติ์ของฮ่องเต้ตรงๆได้ มองจากที่ไกลๆผ่านความมืดมาดูหล่อเหลาเอาการ ไม่รู้มองใกล้ๆจะดูดีเพียงใด
เสียดายที่มีเมียมากไปเสียหน่อย มิเช่นนั้นอดีตสายลับที่ไร้รักมาตลอดก็คงยอมพร้อมมอบกายมอบใจให้ไปแล้ว
เพียงคุยไม่กี่ประโยคเจียวจินก็พอเดาได้ว่าคนผู้นี้ต้องเป็นคนเอาแต่ใจคนหนึ่ง อาจเพราะคนที่มีอำนาจเหนือคนใต้หล้าเยี่ยงเขามีแต่คนพะเน้าพะนอน้ำเสียงที่เอ่ยแต่ละทีจึงเหมือนกำลังสั่งอยู่แทบตลอดเวลา
หากนางเผลอทำเรื่องไม่ถูกใจเขามีหวังคอขาดได้ง่ายๆแน่ เช่นนั้นหากเป็นไปได้ต้องออกห่างจากเขามากที่สุด หากเป็นสนมที่ถูกลืมคนนี้ไม่ได้ ทางเลือกอีกทางก็คงมีแต่ต้องออกจากวังไปเผชิญกับชีวิตข้างนอกนั่นล่ะ
อย่างไรนางก็ใช้ชีวิตสบายตามใจมาเกือบปี ตอนนี้คงได้เวลาวางแผนอนาคตแล้ว
เจียวจินต้องรีบหาทางออกจากวังหลวงก่อนที่นางจะมีตัวตนไปมากกว่านี้ มิเช่นนั้นต้องยากขึ้นเป็นอีกเท่าตัว
เช้าวันต่อมา ว่างกงกงที่ทำพลาดคราแรกรีบแก้ตัวอย่างไว หลังจื่อหานว่าราชการยามเช้าเสร็จ
“ทางกองบันทึกบุคคลทำงานพลาดไปจริงพะยะค่ะ ตำแหน่งกุ้ยเหรินเคยอยู่ในบัญชีล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว แต่ตกหล่นไปตั้งแต่ต้นปีมา กุ้ยเหรินคงเป็นสตรีองค์เมื่อคืนไม่ผิดแน่พะยะค่ะ พระนางมาจากตระกูลสามัญชน แซ่เจียว บิดาเคยเป็นตูตูอยู่ที่มนฑณขอบแคว้นแถบชายแดน ตอนนี้ย้ายไปเข้าร่วมศึกที่ชายแดนกับบุตรชายพะยะค่ะ”
จ้าวจื่อหานอ่านรายงานในมือไปหูก็ฟังไป เงยหน้ามองขันทีรู้ใจตรงหน้าทันทีที่เอ่ยจบ
“หมายความว่านางไม่ได้ในสิ่งที่สนมชั้นล่างควรได้มาตลอดหนึ่งปีเลยรึ?”
หากเป็นเช่นอย่างที่เขาคิดนอกจากความรู้สึกเวทนา นัยน์ตาของฮ่องเต้หนุ่มกลับมีประกายวาววับที่มักเกิดขึ้นยามเจอเรื่องน่าตื่นเต้นฉายให้เห็นชัดเจน
“เป็นเช่นนั้นพะยะค่ะ หัวหน้ากองเอ่ยว่า นางกำนัลประจำตำหนักนั้นก็ไม่มีมานานแล้ว เพราะเหมือนว่าทางกองบันทึกบุคคลจะเคยรับเรื่องว่าเจียวกุ้ยเหรินป่วยและสิ้นพระชนม์ไปแล้วพะยะค่ะ”
ป่วยตายอย่างนั้นหรือ... เรื่องนี้ไม่น่าแปลกอันใด สนมในวังหลังเวียนเข้ามาและตายจากไปบ่อยจนสนใจไม่ทันอยู่แล้ว ทว่าเรื่องที่ว่าถูกรายงานว่าป่วยตายและกลับยังมีชีวิตอยู่นี้ เขายังไม่เคยพบว่าเกิดขึ้นมาก่อนในตำราประวัติศาสตร์
“อย่างนั้นฝากกงกงจัดการเรื่องที่สมควรทำเถอะ”
ตามจริงจื่อหานไม่สนใจวังหลังนอกจากใช้เป็นที่พักหลับนอนเท่าไหร่นัก เรื่องยุ่งยากเหล่านี้ล้วนเป็นมารดาของเขาจัดการในระหว่างที่ยังไร้ฮองเฮา
ส่วนเรื่องของสนมนางนั้นเพียงเข้ามาในหัวเขาตอนนี้ก็สมควรออกไปได้แล้ว...
“ฝ่าบาทอยากให้กระหม่อมเพิ่มป้ายนามเจียวกุ้ยเหรินเข้าพิจารณาให้ปรนนิบัติพระองค์ด้วยไหมพะยะค่ะ”
ว่านกงกงแทบกลั้นหายใจรอรับสั่งของเจ้านายหน้านิ่งที่หยุดคิดชั่วครู่
“แล้วแต่กงกงเห็นสมควรเลย”
เพ้ย! ว่านกงกงผู้นี้ไม่ชอบคำตอบนี้เป็นที่สุดสิหน่า ทว่าก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เป็นเขาเองที่ยินดียืนอยู่ในตัวแหน่งสูงจนหนาวนี้
“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ กระหม่อมทูลลา”
