บท
ตั้งค่า

2 บุคคลที่ต้องหลีกเลี่ยงเป็นอันดับหนึ่ง

2

บุคคลที่ต้องหลีกเลี่ยงเป็นอันดับหนึ่ง

ฮือ เฟยเมี่ยวขอถอนคำพูดที่เคยบอกไว้ว่าขี่ม้าง่ายกว่าขี่รถมอเตอร์ไซค์เสียตอนนี้ ชาติก่อนเฟยเมี่ยวขี่รถในสนามแข่งทีไรชนะที่หนึ่งตลอด ไยพอขี่ม้าแข่งบ้าง นางกลับไม่ชนะเสียทีเล่า !

แดดแรงแล้ว เฟยเมี่ยวจึงขอทดไว้แข่งกับองค์รัชทายาทหวงลู่คราวหน้าแทน ทั้งสองคนลงจากหลังม้าได้ก็เดินเคียงคู่กันออกมาจากสนามวิ่งม้า จากที่เฟยเมี่ยวคิดไว้ว่าจะเดินกลับตำหนักของทันทีก็ต้องชะลอแผนนั้นไว้ก่อน เพราะที่ทางออกจากสนาม พบผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่งยืนอยู่

เจอหน้ากันเพียงนี้แล้ว จะเลี่ยงตามกฎที่ตนตั้งไว้ก็ไม่ได้ จำต้องเผชิญหน้าเท่านั้น

“ถวายบังคมชินอ๋องเพคะ”

“คำนับเสด็จอาพะยะค่ะ”

ตรงหน้าของนางนั้นคือบุรุษร่างสูงใหญ่สวมชุดสีดำทมึนพาดลายงูใหญ่นูนแต่ดูกลมกลืน บนชุดมีเพียงสีแดงเลือดกับสีทองบ้างช่วยแต่งเติมให้ดูยิ่งทรงอำนาจขึ้นไปอีก ชินอ๋องผู้นี้เป็นพระอนุชาของฮ่องเต้ที่อายุห่างกว่าสิบปี ปีนี้เขาน่าจะอายุยี่สิบห้า เป็นโอรสองค์เล็กสุดในอดีตฮ่องเต้ ไม่รู้ด้วยความรักสายสัมพันธ์พี่น้อง หรือเป็นเพราะพระมารดาของชินอ๋องเป็นอดีตนางกำนัลคนสนิทของไทเฮา หรือเหตุอันใดทำให้ชินอ๋องผู้นี้สามารถดำรงอยู่ในเมืองหลวงข้างกายฮ่องเต้ได้ ทั้งที่พระญาติพระองค์อื่นของฮ่องเต้ล้วนถูกส่งไปประจำเมืองชายแดน หรือไม่ก็ถูกประหารหมดแล้วทั้งสิ้น

ซึ่งนอกจากเฟยเมี่ยวจะไม่สามารถสืบรู้ความเป็นมาของชินอ๋องแน่ชัดแล้ว นางก็ยังไม่รู้ว่าใบหน้าภายใต้หน้ากากสีดำนั่นเป็นอย่างไรด้วย

ชินอ๋องได้รับสมญานามว่าเป็นอ๋องลึกลับ จากสองเหตุผล...

หนึ่งคือชินอ๋องไม่ค่อยเข้าร่วมงานของพระราชวังเท่าใดนัก สองคือเขามักปรากฏตัวพร้อมหน้าสีดำปิดหนึ่งในสามของหน้า คลุมตั้งแต่หน้าผาก ตาสองข้าง และส่วนบนของจมูก ทำให้ยิ่งดูลึกลับไปใหญ่

ชินอ๋องผู้นี้ถือเป็นบุคคลที่เฟยเมี่ยวตั้งกฎในใจไว้ว่าต้องหลีกเลี่ยงเป็นอันดับหนึ่ง ! เพราะนางไม่สามารถอ่านความคิดจากสายตาของเขาได้เลย อีกทั้งตำหนักเฮยลู่ของชินอ๋องนั้นก็เป็นเพียงตำหนักเดียวที่เฟยเมี่ยวไม่สามารถล่อลวงคนของตำหนักให้มาเป็นสายได้เยี่ยงตำหนักอื่น ยามนางหาทางผูกมิตรกับคนในตำหนักนั้นแล้วเป็นอันต้องล้มเหลวทุกที จนนางล้มเลิกแผนนั้นเสีย ในเมื่อไม่สามารถหาผู้หวังดีภายในคอยส่งข่าว หรือนางไม่สามารถสืบจากใครได้จึงต้องตั้งตนหลีกห่างแทน

ตอนนี้ภาพจำชินอ๋องสำหรับเฟยเมี่ยวคือ ลาสบอสในเกมส์ที่เคยเล่นในชาติก่อน นางต้องพัฒนาตนเองและฝ่าฟันอุปสรรคจนหมดก่อนค่อยปะทะกับคนผู้นี้ได้ อันใดทำนองนั้นน่ะ

“มิคาดว่ามาคราวนี้จะได้ดูการแข่งขันขี่ม้าขององค์รัชทายาทนะ ฝีมือการควบคุมทิศทางม้าของพระองค์ดีขึ้นมากเชียว ดูเข้าใจสื่อสารได้ดียิ่งกับม้าของพระองค์...”

ในใจของเฟยเมี่ยวนั้นสวดภาวนาให้ชินอ๋องไม่สนใจตนคราแล้วคราเล่า แต่พอเอ่ยชมหวงลู่เสร็จก็เหลือบตามามองนางเสียแล้ว

สิ่งที่สวดขอไว้เป็นอันจบสิ้น

“ทว่าเมื่อครู่พระองค์กลั่นแกล้งคุณหนูซุนเกินไปแล้ว ฝีมือห่างชั้นกันเพียงนี้ไยมิต่อให้นางเสียหน่อยเล่า ฝีเท้าม้าตัวนี้มิอาจเทียบได้ไม่พอ การคุมทิศทางของคนขี่กับตัวม้ายังไม่สอดรับเท่าใดนัก แต่ต้องขอชมว่าคุณหนูซุนนั้นตัดสินใจได้ฉับไว และเปี่ยมด้วยความกล้าหาญยิ่ง หากฝึกถูกทิศทางเสียหน่อยย่อมเก่งกาจกว่านี้แน่”

ฟังไปแล้ว เฟยเมี่ยวเหมือนกำลังถูกตบหัวแล้วเขาก็ลูบหลังนางเพื่อปลอบประโลมต่ออย่างไรอย่างนั้น ชินอ๋องผู้นี้วิจารณ์เสียจนเฟยเมี่ยวอยากกลับไปแข่งอีกรอบเสียตอนนี้เลย แต่ก็ต้องข่มใจไว้ ฝืนหยักยิ้มขอบพระทัยและเอ่ยเสียงหวานที่สุดเท่าที่จะทำได้ในอารมณ์ตอนนี้

“ขอบพระทัยชินอ๋องที่เสนอแนะหม่อมฉันเพคะ หม่อมฉันจะนำไปปรับใช้และพัฒนาตนเองในอนาคตแน่เพคะ”

ยิ้มเข้าไว้เฟยเมี่ยว แม้นร่างกายจะอายุเพียงสิบสี่ย่างสิบห้า แต่จิตวิญญาณของเฟยเมี่ยวจากยุคสองพันก็ปาไปเกือบสามสิบได้แล้ว เพียงนางถูกคำพูดดูถูกและสายตามองอย่างเย้ยหยันเบา ๆ ของชินอ๋องไม่สามารถทลายภาพลักษณ์สตรีสุขุมเรียบร้อยได้หรอก

“หากฝึกเองย่อมมิสามารถพัฒนาได้มากกว่านี้หรอก...”

น้ำเสียงเข้มขรึมพูดโต้กลับมาล้วนพุ่งทิ่มแทงจุดบอดของเฟยเมี่ยวอย่างแรง

เขาไม่รู้ว่าคำกล่าวเมื่อสักครู่นางเพียงพูดตามมารยาท หรือว่าตั้งใจกดข่มนางอย่างเจ็บแสบกันแน่ !

“หม่อมฉันจะตั้งใจเรียนรู้จากองค์รัชทายาทอย่างตั้งใจเพคะ”

“ฝีมือเท่านี้ของคุณหนูซุนก็ได้มาจากการได้องค์รัชทายาททรงช่วยมิใช่หรือ...”

อา ชินอ๋องผู้นี้กวนน้ำโหเฟยเมี่ยวมากเกินไปแล้ว เขากำลังบอกว่านางเรียนกับหวงลู่ไปก็เท่านั้น อย่างไรก็ได้เท่านี้ใช่หรือไม่

ทว่าแม้นในใจของนางจะร้อนดั่งไฟโหมลุกกองใหญ่ แต่สีหน้าก็ยังชื่นบานและหยักยิ้มไม่คลาย

“หมะ...”

“งั้นเอาอย่างนี้ ไว้ชินอ๋องผู้นี้จะช่วยสอนคุณหนูซุนเอง เป็นสัปดาห์ละหนึ่งหนเป็นอย่างไร ช่วงนี้งานราชการไม่มาก พอจัดเวลาสอนได้บ้าง”

นี่ไม่ใช่ข้อเสนอ แต่มันคือคำสั่งต่างหาก !

เฟยเมี่ยวอยากหลบเลี่ยงบุคคลลึกลับผู้นี้แทบใจขาดดิ้นกลับกลายเป็นต้องมาเจอเขาอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งหรือนี่

จะปฏิเสธก็ถูกสายตาพิฆาตขององค์รัชทายาทที่ยืนเฉียงหันหน้ามาทางนางหยุดไว้ ในสายตาของเขาที่มองชินอ๋องอย่างเลื่อมใสแต่มองเฟยเมี่ยวอย่างศรัตรูทำเอาเฟยเมี่ยวมิรู้จะเอ่ยคำใดออกไปเลย...

“หากไม่เป็นการเสียเวลาเสด็จอา หม่อมฉันขอมาร่วมเรียนด้วยนะพะยะค่ะ”

เมื่อไม่กี่ปีก่อนเขาเคยขอร้องให้บิดาผู้เป็นฮ่องเต้ช่วยเอ่ยปากขอให้เสด็จอามาสอนขี่ม้าแต่ก็ถูกปฏิเสธ มิคิดว่าจะมีวันนี้ที่อยู่ดีดีก็มีโอกาสได้เรียนเสียเองแล้ว แม้ตอนแรกเสด็จอาผู้เป็นดั่งต้นแบบให้เขาตั้งใจเรียนจะเอ่ยปากสอนเฟยเมี่ยวมิใช่เขา แต่สุดท้ายเขาก็ติดสอยห้อยตามไปด้วยได้ก็ดีที่สุดแล้ว ก่อนหน้าเป็นอย่างไรหาได้สำคัญไม่...

หนึ่งคนแสนจะดีใจ แต่อีกหนึ่งคนน้ำตาตกในใจ ท่าทีทั้งสองคนล้วนอยู่ในสายตาของชินอ๋องทั้งสิ้น สีหน้าภายใต้หน้ากากกำลังเป็นอย่างไรหาได้มีใครรู้ แต่มุกปากหยักยกเล็กน้อยนั้นมองเห็นได้อย่างชัดเจนในมุมมองของขันทีมากประสบการณ์อย่างขันทีฉีแน่นอน

วันนี้เจ้านายของเขาล้วนทำแต่สิ่งที่อยู่นอกเหนือแบบแผนเดิม จนคนมั่นใจว่าตนเข้าใจชินอ๋องได้ถ่องแท้ที่สุดเสียความมั่นใจไปเลยทีเดียว...

“ท่านอ๋องพะยะค่ะ ท่านเสนาบดีหลิง กรมตุลาการ ส่งคนมาสอบถามพะยะค่ะ เอ่อ ที่นัดหมายไว้ก่อนหน้าไม่ทราบว่าพระองค์ยังจะเสด็จไปอยู่หรือไม่ขอรับ”

เป็นผู้ช่วยประจำตัวของชินอ๋องเต๋อรุ่ยเองที่เดินเข้ามาแทรกบทสนทนา ดูจากสีหน้าที่นิ่งเฉยไม่แพ้ผู้เป็นนาย ย่อมบอกได้ว่าสีหน้า ท่าทางต่างถอดแบบมาจากเจ้านายยันลูกน้องเลยเชียว รวมถึงชุดสีดำทั้งตัวด้วยเช่นกัน

มองไปทางสองนายบ่าว บรรยากาศรอบกายดูมืดครึ้มเยี่ยงท้องฟ้ายามค่ำคืน หรือ เหมือนอยู่ในงานศพอย่างไรอย่างนั้น...

“เดี๋ยวไปเลย เขารีบมากเลยหรือ?”

ฟังจากน้ำเสียงนิ่ง ๆ แต่แผ่รังสีเคล้าลางความไม่พอใจออกมาพร้อมน้ำเสียงแล้ว ใครจะกล้าบอกว่ารีบกันเล่า เฟยเมี่ยวมองคนของเสนาบดีหลิงที่ถูกส่งมาแล้วก็อดรู้สึกสงสารไม่ได้ นางเห็นเขาส่ายหน้าพัลวันจนคอแทบหลุดจากบ่า

“ท่าอาจะเสด็จไปที่ศาลกลางใช่หรือไม่ หม่อมฉันขอไปด้วยได้หรือไม่พะยะค่ะ เป็นการศึกษางานช่วยเสด็จอาไปด้วยในทีเดียวนะพะยะค่ะ”

เต๋อรุ่ยเป็นคนที่ทำงานแล้วไม่ชอบให้คนมาเฝ้าดูเยอะ ยามใดที่เขาถูกเชิญไปช่วยตัดสินคดีความใด ภายในศาลวันนั้นมักจำกัดจำนวนคนเข้าฟังได้ไม่มาก เข้าได้เฉพาะคนที่มีความเกี่ยวข้องกับโจทก์และจำเลยเท่านั้น ด้วยความที่เต๋อรุ่ยนั้นมิได้มีหน้าที่เป็นผู้พิพากษา แต่เขาจะไปช่วยในคราวที่เกินกำลังของท่านเสนาบดีหลิงเท่านั้น ในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษที่ฮ่องเต้เป็นผู้แต่งตั้งให้

เฟยเมี่ยวคิดไปคิดมาว่า หนึ่งปีกว่าที่อยู่ในยุคนี้นางยังไม่เคยไปเที่ยวชมศาลเลยนี่นา นางชักอยากรู้แล้วสิว่าศาลในยุคนี้เป็นอย่างไร แตกต่างจากศาลในสมัยที่นางจากมาหรือไม่ ฉะนั้นเฟยเมี่ยวต้องอาศัยเกาะติดองค์รัชทายาทหวงลู่ดั่งปลิงเกาะขาดูดเลือด เขาไปที่ใดนางต้องได้ไปที่นั่นเช่นกัน

“องค์รัชทายาททรงพาหม่อมฉันไปด้วยนะเพคะ เพราะฮองเฮาทรงฝากฝังให้ท่านดูแลสอนสั่งข้าแล้ว ทรงอย่าลืมนะเพคะ...”

เฟยเมี่ยวไม่ได้พูดออกมาทันที แต่นางค่อย ๆ เขยิบไปหาหวงลู่และกระซิบบอกเขาเบา ๆ ให้ได้ยินกันสองคนเท่านั้น

ที่เฟยเมี่ยวต้องยกเอารับสั่งฮองเฮามาเพราะกลัวหวงลู่ปฏิเสธนั่นเอง

“อย่างนั้นก็ตามมาได้...”

หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีตาเปล่งประกายทันที ที่ได้ยินคำยินยอมของชินอ๋อง

...หวงลู่ตื่นเต้นยิ่งที่จะได้ไปดูต้นแบบอย่างชินอ๋องทำงานจริงด้วยตาตนเอง

...ส่วนเฟยเมี่ยวนั้นดีใจที่ตนจะได้ออกจากวังในช่วงกลางวัน อีกทั้งมีเรื่องน่าตื่นตาให้ชม แทนที่จะอยู่วังรู้สึกเบื่อไปวันวัน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel