บท
ตั้งค่า

1 นางคือสหายขององค์รัชทายาท

1

นางคือสหายขององค์รัชทายาท

กลางดึกในเขตวังหลวงนั้นเอง องครักษ์เฝ้ายามทำหน้าที่ได้ดีแล้ว ใครต้องการบุกรุกเข้ามาล้วนทำได้ยากยิ่ง แต่ท่ามกลางความมืดนั้นเองก็ยังมีร่างเพรียวบางสวมชุดสีดำทั้งตัวกระโดดข้ามหลังคาด้วยฝีเท้าเบามิต่างจากฝีเท้าแมว นางห้ามจากหลังคาหนึ่งไปอักหลังหนึ่งด้วยเครื่องมือที่พิสดารไม่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในยุคนี้ ค่อย ๆ อาศัยจุดบอดของการเฝ้ายาม เดินทางจนมาถึงตำหนักลู่ซานอันเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ขององค์หญิงสามลู่เอิน

ร่างเพรียวชุดดำผู้นี้คือ ซุนเฟยเมี่ยวเอง คืนนี้นางมีนัดกับสหายข้างนอกวังหลวง แต่ก่อนออกไปนั้นนางต้องจัดการเหล่าบุคคลที่กลั่นแกล้งนางเมื่อช่วงกลางวันเสียก่อน

เวลานี้กลางยามห้าย แล้ว จากสายของเฟยเมี่ยวในตำหนักลู่ซานบอกไว้ว่ายามนี้ทั้งเจ้านายและบ่าวรับใช้ต่างเข้านอนหมดแล้ว เป็นช่วงเหมาะสมยิ่งที่เฟยเมี่ยวจะจัดการบางอย่างอย่างลับ ๆ ในตำหนักนี้ นางเข้าไปในตำหนักไม่นานจัดการนำผงสมุนไพรคันใส่ในหีบเสื้อผ้าของลู่เอินเสร็จก็จากไปทันที

เวรยามของวังหลวงเฟยเมี่ยวเข้าใจหมด ด้วยการใช้ทักษะที่ร่ำเรียนมากว่าสิบปีของการเป็นสายลับในชาติก่อน ค่อย ๆ ชักจูงคนด้วยความปรารถนาใต้บึ้งลึกจิตใจ หรือไม่ก็กิเลสหลายด้านของคน ซึ่งย่อมต้องมีทุกคน ตลอดเกือบสองปีที่ฟื้นมาในร่างของคุณหนูซุนเฟยเมี่ยวที่ถูกมารดาและบิดาทิ้งไว้ในวังหลวงเพียงลำพังนั้น นางตั้งสติได้ก็ค่อย ๆ หาพรรคพวกตามตำหนักต่าง ๆ ใช้เวลาทำความเข้าใจจนปรับตัวได้ มีชีวิตรอดในวังหลวงอันเปรียบเสมือนสงครามขนาดย่อมจนถึงตอนนี้

ด้วยความที่เฟยเมี่ยวฟื้นมานางก็อยู่ในความดูแลของฮองเฮาแล้ว ความทรงจำของเจ้าของร่างก็พอมีบ้าง มีพอให้เข้าใจว่าตนเองเป็นใคร แต่เหตุการณ์ของเจ้าของร่างนี้ที่เคยผ่านมาล้วนเลือนลางไม่สามารถนำมาปะติดประต่อได้เลย ที่รู้แน่ชัดคือวิญญาณร่างนี้หมดอายุไขไปตั้งแต่ป่วยหนักก่อนที่

เฟยเมี่ยวจะมาเข้าร่างนี้ก็เท่านั้น

แต่ยังดีที่ความทรงจำของนางในชาติก่อนที่ตนเองจะหายเข้ามาในยุคนี้นั้นยังชัดเจน ประสบการณ์การเป็นสายลับกว่าสิบปียังมีติดตัว แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดตนถึงทะลุมิติย้อนมาอยู่ในยุคสมัยจีนโบราณได้ แต่เมื่อเกิดในร่างใหม่นี้แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดย่อมคือการมีชีวิตรอดต่อไปในร่างนี้นั่นแหละ

เมื่อจัดการในสิ่งที่ตนต้องการเสร็จแล้ว ร่างเพรียวบางดำทมึนก็กระโดดหายไป มุ่งหน้าสู่เป้าหมายที่แท้จริงของค่ำคืนนี้ทันที

...นอกวังหลวงนั่นเอง

เช้าวันต่อมา...

วันนี้นอกจากอากาศจะแจ่มใสชวนใจจิตใจปลอดโปร่งแล้ว ในอนาคตอันใกล้นี้ก็จะมีข่าวดีให้เฟยเมี่ยวชื่นใจอีกอย่างแน่นอน สตรีในชุดสีขาวฟ้าเดินสงบเสงี่ยมนำนางกำนัลสองคนและบ่าวที่ติดตามมาอย่างมู่กวาไปเข้าเฝ้าฮองเฮา เพื่อร่วมทานมื้อเช้าด้วยอย่างทุกวัน

สิ่งที่เฟยเมี่ยวต้องทำในฐานะคนในการดูแลของฮองเฮาคือการต้องมาทานอาหารมื้อเช้าและมื้อเย็นร่วมทุกวัน วันไหนพิเศษหน่อยโอรสและพระธิดาของฮองเฮาก็อาจจะมาทานด้วย มิสามารถคาดเดาได้ แต่เฟยเมี่ยวไม่กลัวเพราะก่อนนางจะเข้าไปยังตำหนักคุนหนิงมักจะรู้เหตุการณ์เบื้องต้นข้างในก่อน จากสายที่นางตีสนิทไว้ประจำตำหนักนี้ สายคนนั้นคือขันทีหลาน ผู้มีหน้าที่ยืนเฝ้าหน้าประตูทางเข้าห้องที่ฮองเฮาประทับอยู่นั่นเอง

“วันนี้มีองค์รัชทายาทมาร่วมเสวยอาหารด้วย ทรงสนทนาอยู่ด้านใน ส่วนองค์หญิงสามไม่สบายเสวยอาหารที่ตำหนักส่วนตัว”

ขันทีหลานอาศัยจังหวะที่เฟยเมี่ยวหยุดหน้าประตูเอ่ยเสียงเบาพอให้ได้ยินสองคน ก่อนจะขานให้เจ้านายข้างในรับรู้การมาของผู้มาใหม่ตามหน้าที่ของตน

“คุณหนูเฟยเมี่ยวมาแล้วพะยะค่ะ !”

ไม่ผิดจากที่เฟยเมี่ยวคาดเดาเท่าไรนัก จากสิ่งที่นางทำเมื่อคืนย่อมทำให้องค์หญิงสามมีอาการคันคะเยอหลังเปลี่ยนชุดย่อมไม่มีหน้าเอาสภาพน่าเกลียดออกมาเดินนอกตำหนักเป็นแน่ หากองค์หญิงสามต้องการหาคนลงมือทำเฟยเมี่ยวก็ไม่กลัวว่าจะสาวมาถึงนาง เพราะนางจัดการซื้อสมุนไพรนั้นอีกทั้งลงมือทำโดยไร้คนพบเห็นอย่างรอบครอบ เมื่อหาคนทำไม่ได้ผู้ที่ตกเป็นที่รองรับอารมณ์ย่อมคือเหล่านางกำนัลคนสนิท เพียงเท่านี้

เฟยเมี่ยวก็รู้สึกชื่นใจจนมองไปทางไหนก็ดูสดชื่นสบายตาไปหมดแล้ว

“ถวายพระพรฮองเฮา องค์รัชทายาทเพคะ ขอให้ทรงพระเจริญพันปีพันพันปี...”

เฟยเมี่ยวกล่าวจบก็รอให้คนรับการเคารพเอ่ยอนุญาตก่อนจะลุกขึ้นได้

“มานั่งเถิด วันนี้อาหวงมาทานด้วย เมี่ยวเมี่ยวก็ช่วยปรนนิบัติพี่เขาหน่อยก็แล้วกัน”

เฟยเมี่ยวยิ้มรับ นางมองสบตากับองค์รัชทายาทหวงลู่เล็กน้อยก่อนเดินไปประจำตำแหน่งของตน ยามที่องค์ชายใหญ่ หรือ องค์รัชทายาทหวงลู่มาร่วมทานอาหารกับฮองเฮาด้วย พระนางชอบเอ่ยให้เฟยเมี่ยวช่วยเทน้ำ หรือไม่ก็ คีบอาหารบางอย่างให้เรื่อย ๆ ระหว่างที่ทานด้วยกัน ซึ่งคราวนี้ก็เช่นกัน ยามเขามาทีไรนางต้องได้กินน้อยกว่าปรกติเสียทุกที

จะแสดงความไม่พอใจก็ไม่ได้ เพราะท่าทีที่เฟยเมี่ยวแสดงต่อหน้าฮองเฮาคือสตรีสงบเสงี่ยมแม้ไม่ถึงขนาดเรียบร้อยแต่ก็ไม่กระโตกกระตากเยี่ยงเมื่อคืนที่กระโดดผาดโผนหนีออกนอกวังนั่นล่ะ

“หงไท่ฝูเอ่ยเตือนให้เมี่ยวเมี่ยวตั้งใจมากขึ้นหน่อย เพราะเขาทดสอบเจ้าทีไรก็ตอบมิได้ทุกที เอาเป็นว่าหากเจ้ามีสิ่งใดไม่เข้าใจก็ไปถามอาหวงก็แล้วกัน สะดวกสอนน้องหน่อยหรือไม่?”

หงไท่ฝูคืออาจารย์ที่รับผิดชอบสอนวิชาเขียนอักษรและวาดภาพให้เหล่าองค์หญิงองค์ชาย และบุตรหลานขุนนางที่มาร่วมเรียนด้วยนั่นเอง ซึ่งเฟยเมี่ยวนั้นจำพวกตัวอักษรทั้งหมดได้นานแล้ว ส่วนวิชาวาดรูปนางก็ทำได้แม้ไม่ได้งดงามมากแต่ก็ดูสบายตานั่นล่ะ เพียงแต่เฟยเมี่ยวไม่อยากแสดงตนให้เก่งเกินไปจนเป็นที่หมั่นไส้ของเหล่าผู้สูงศักดิ์ ฉะนั้นเวลาหงไท่ฝูถามนางก็เลี่ยงทำเป็นตอบไม่ได้แทน รอตอนสอบวัดผลนางค่อยทำเต็มที่ก็พอ

คนถูกดึงเข้าสู่หน้าที่ใหม่อย่างหวงลู่ก็หยักยิ้มมีเลศนัยเล็กน้อย ก่อนเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มจริงใจส่งไปให้มารดา

“ลูกสะดวกเสมอพะยะค่ะท่านแม่ มีแต่เมี่ยวเมี่ยวนั่นล่ะจะอยากเรียนหรือไม่”

เฟยเมี่ยวย่อมไม่อยากเรียนเพิ่มอยู่แล้ว แต่เมื่อสักครู่นางวาบความคิดหนึ่งขึ้นมาจึงพยักหน้ายินดีทันที

“หม่อมฉันน้อมรับความหวังดีของพระองค์เพคะ”

ความคิดที่ว่าก็คือ นางจะใช้โอกาสนี้ให้หวงลู่พาออกนอกวังหลวงนี้ในช่วงกลางวันอย่างภาคภูมิน่ะสิ

ต้องขอบพระทัยฮองเฮาที่เปิดโอกาสนี้ยิ่งนัก ด้วยความคิดนี้เฟยเมี่ยวจึงส่งยิ้มดีใจเต็มหน้าตลอดเวลา จวบจนฮองเฮาเอ่ยบอกให้หวงลู่พาเฟยเมี่ยวออกไปเดินย่อยข้างนอกนั่นล่ะ รอยยิ้มอ่อนหวานจริงใจบนใบหน้าทรงรีจิ้มลิ้มจึงหุบลงทันที

ขันทีและนางกำนัลรับใช้ของทั้งสองคนที่ตามมาข้างหลังก็ถอยห่างออกไปไกลพอควร ปล่อยให้หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเดินเคียงคู่เยี่ยงมังกรคู่หงส์

“เมี่ยวเมี่ยวชักจะเหิมเกริมเกินไปเสียแล้วนะ อันใดคือเจ้าหุบยิ้มทันทีที่มิได้อยู่ต่อหน้าเสด็จแม่กัน”

เฟยเมี่ยวมิได้กลัวอันใดกับคำพูดเชิงตำหนิแต่เต็มไปด้วยการล้อเลียนของบุรุษข้างเคียง นางยังคงเดินจ้ำอ้าวต่อไปไม่ได้ให้หวงลู่ที่มีศักดิ์เป็นถึงองค์รัชทายาทเดินนำอย่างที่ควรเลย

“หม่อมฉันก็เรียนมาจากพระองค์ยามเข้าหน้าเหล่าขุนนางและลับหลังเหล่าขุนนางนั่นแหละเพคะ พระองค์ยิ้มบ่อยน่าจะรู้ว่าการหยักยกริมฝีปากมันเมื่อยเพียงใด”

เขาล้อมา เฟยเมี่ยวก็ล้อกลับบ้างไม่ยอมแพ้หรอก ในวังหลวงแห่งนี้มีเพียงหวงลู่ผู้นี้นั่นล่ะที่รู้ว่าเนื้อแท้นิสัยของ

เฟยเมี่ยวซุกซนและเจ้าเล่ห์เพียงใด นางจึงสบายใจยามอยู่กับเขาและเอ่ยขอให้เขาช่วยพาออกนอกวังหลวงอยู่หลายครา ด้วยอำนาจขององค์รัชทายาทที่เป็นรองเพียงฮ่องเต้และฮองเฮา

เฟยเมี่ยวเลือกคบเขาเป็นสหายแล้วมีประโยชน์เป็นที่สุด

“เสด็จแม่ก็เอ็นดูเจ้าเสียจริง แล้วนี่ยังถูกลู่หลินแกล้งอยู่หรือไม่?”

การที่หวงลู่รู้นั้นมิใช่เพราะว่าเฟยเมี่ยวมาฟ้องนะ แต่เพราะองค์หญิงสามแสนเอาแต่พระทัยผู้นั้นแสดงออกถึงความไม่ชอบหน้านางจนใครต่างก็รู้ดี ไม่เว้นแม้แต่ฮองเฮาเองนั่นแหละ

“องค์หญิงสามแกล้งข้า ข้าก็แกล้งกลับเท่านั้นเอง พระองค์ไม่ต้องทรงห่วงหม่อมฉันหรอกเพคะ ไปห่วงน้องสาวพระองค์เถอะ ป่านนี้ร้องไห้จนตำหนักแตกไปแล้วกระมัง”

ได้ยินดังนั้นหวงลู่ก็เข้าใจเหตุที่น้องสาวเขาไม่มาร่วมทานอาหารวันนี้ทันที เขาเร่งฝีเท้าเดินขวางคนต้นเรื่องไว้

“ที่แท้ฝีมือเจ้า เมื่อเช้านางลงโทษนางกำนัลรับใช้ส่วนตัวยกชุดจนกูกูต้องหานางกำนัลใหม่แทบไม่ทันเชียวนะ เจ้าไปทำอันใดน้องข้ากัน บอกมาเสียดีดี”

แม้หวงลู่จะชอบพอนิสัยของเฟยเมี่ยวแต่ก็ไม่ได้มากกว่าน้องสาวสายเลือดเดียวกันเลย ซึ่งเฟยเมี่ยวก็เข้าใจดีในจุดนี้

“หม่อมฉันก็ได้ยินมาเช่นกันเพคะ อันใดคือพระองค์ถึงได้มองหม่อมฉันในแง่ร้ายเช่นนั้น”

เฟยเมี่ยวเดินหนีด้วยฝีเท้าเร็วขึ้น เพราะนางมิอยากถูกคาดคั้นไปมากกว่านี้ คนไม่ชอบโกหกแต่ก็ไม่สามารถบอกความจริงได้ เพราะอาจดึงภัยเข้าสู่ตนเอง ก็ต้องหาทางเลี่ยงไม่พูดแทนนั่นล่ะ

อ๊ะ ตรงหน้ามีขบวนข้ารับใช้กลุ่มใหญ่ กำลังมุ่งตรงหน้ามาทางนี้ ด้วยหลักยึดการเอาตัวรอดในวังหลวงของเฟยเมี่ยวแล้ว นางต้องเลี่ยงการเผชิญหน้า

“องค์รัชทายาทเพคะ เช้านี้พระองค์สนใจไปทรงม้ากับหม่อมฉันไหมเพคะ”

หวงลู่ฉงนใจที่อยู่ดีดีเฟยเมี่ยวที่เร่งฝีเท้าเดินหนีตนก็หมุนตัวกลับมาออกปากชวนไปโรงม้าเสียอย่างนั้น เขานิ่งไปชั่วครู่ก็พยักหน้าตกลง พากันเดินกลับไปอีกทางอันเป็นเส้นทางทอดยาวไปยังโรงม้าหลวงแทน

“พระองค์ต้องการให้กระหม่อมเตรียมรถม้าตอนนี้เลยหรือไม่พะยะค่ะ”

ขันทีอาวุโส หรือ ขันทีฉี ผู้ทำหน้าที่ดูแลเชื้อพระวงศ์ผู้เอาใจยากยิ่งอย่างชินอ๋อง หรือ จ้าวเต๋อรุ่ย พระอนุชาพระองค์เดียวของฮ่องเต้ที่สามารถอาศัยในเขตเมืองหลวงได้ อีกทั้งมีอำนาจ

พอ ๆ กับองค์รัชทายาท เขาเอ่ยถามเจ้านายของตนที่ออกมาเดินย่อยหลังมื้ออาหารไกลถึงสวนใกล้ตำหนักคุนหนิง หลังจากเดินย่อยแล้วก็เป็นเวลาออกวังนั่นเอง

ขันทีมากประสบการณ์เอ่ยถามทั้ง ๆ ที่รู้คำตอบอยู่แล้วนั่นล่ะ ว่าเจ้านายเขาย่อมต้องมีรับสั่งให้เตรียมรถม้าเป็นแน่

“ไม่ล่ะ ข้าอยากไปออกกำลัง ซ้อมขี่ม้าเสียหน่อย ไปโรงม้าหลวงเถอะ”

เพล้ง ! เสียงความมั่นใจของขันทีมากประสบการณ์แตกดังก้องสะท้องหู อ้าปากค้างไม่ทันไรก็ต้องรีบตั้งสติเดินตามเจ้านายและหันไปสั่งคนให้กลับไปนำชุดสำหรับทรงม้าให้ชินอ๋องอย่างรู้หน้าที่ทันที

...เจ้านายเขายังต้องซ้อมม้าอีกหรือ ? มิใช่ว่าทรงเก่งกาจจนฮ่องเต้เอ่ยปากขอให้เป็นอาจารย์สอนองค์รัชทายาททรงม้าหรอกหรือ ?

ณ โรงม้าหลวง

เฟยเมี่ยวเปลี่ยนชุดเสร็จก็มาเจอกันกับองค์รัชทายาทหวงลู่ที่คอกม้าเพื่อมานำม้าคู่ใจของแต่คนไปขี่ ม้าประจำของ

หวงลู่คือม้าสีน้ำตาลเข้มขนดำเงางามดูก็รู้ว่าผ่านการดูแลอย่างดี ส่วนของเฟยเมี่ยวเป็นม้าสีขาวบริสุทธิ์ ตัวเตี้ยกว่าของหวงลู่หน่อยเดียวเท่านั้น นางตั้งชื่อม้าของตนว่าไป่ไป๋ ตั้งตามสีขนของมันนั่นล่ะ

ตามจริงตอนทะลุมิติมาอยู่ในร่างนี้แรก ๆ นางหาได้ขี่ม้าเป็นไม่ ส่วนเจ้าของร่างเดิมก็ขี่ไม่เป็นเช่นเดียวกัน เฟยเมี่ยวได้องค์รัชทายาทหวงลู่ผู้นี้นั่นแหละเป็นคนช่วยสอน ด้วยความที่นางเป็นคนเรียนรู้เร็วอยู่แล้วเขาสอนสองสามครั้งก็ขี่เป็นแล้ว หลังจากนั้นเฟยเมี่ยวก็อาศัยความคุ้นชินกับความเร็วอยู่แล้ว แค่เปลี่ยนจากรถมอเตอร์ไซค์เป็นเจ้าม้าที่มีสี่ขาแทนเท่านั้น เฟยเมี่ยวว่าขี่ม้ายังง่ายกว่าขี้รถในยุคที่นางจากมาด้วยซ้ำ

“ไป่ไป๋ของข้าหล่อเหลาขึ้นนะเนี่ย อีกหน่อยย่อมต้องสูงใหญ่กว่าเจ้าเฉียวขององค์รัชทายาทหวงลู่เป็นแน่”

ใครว่าเฟยเมี่ยวหมั่นไส้หวงลู่เพียงนิสัย นางลามยันไปถึงอิจฉาความสูงของม้าเขาด้วยแล้ว เพราะพอทหารฝึกม้าเห็นนางเป็นสตรีหน่อยก็เลือกแต่ม้าตัวเล็ก ๆให้ตลอด ดีที่นางรู้มาว่าเจ้าไป่ไป๋ตัวนี้อยู่ในวัยเด็กยังเติบโตได้อีก และนางก็รู้สึกถูกชะตากับมันจึงยอมรับเจ้าม้าสีขาวมาเป็นม้าประจำของตนในที่สุด

“วันนี้เจ้าพร้อมแข่งกับข้าหรือไม่ เมี่ยวเมี่ยวและเสี่ยวไป๋”

จากคำพูดของหวงลู่ดูเหมือนธรรมดา แต่คนฟังอย่างเฟยเมี่ยวที่มีความเจ็บปวดเรื่องม้าของตนตัวเล็กกว่านั้น พอถูกเขาเรียกว่า เสี่ยวไป๋ แล้วเลือดขึ้นหน้าอยากแก้แค้นแทนทันที เฟยเมี่ยวไม่เอ่ยสวนแต่นางเลือกที่จะบังคับไป่ไป๋ของตนให้ออกวิ่งเข้าสู่สนามม้าทันที เป็นการบอกว่าพร้อมแข่งแล้วนั่นล่ะ

เฟยเมี่ยวผู้นี้จะพาเจ้าไป๋ชนะเจ้าเฉียวจนเจ้านายของมันเสียหน้าให้ได้ !

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel