4 นางเป็นแม่ลูกสาม ไม่ใช่แม่ลูกสอง
เช้าวันรุ่งขึ้น จิ่วเม่ยแต่งตัวและเตรียมของใส่มิติว่างและมีบางส่วนใส่กระบุงให้คนเห็นว่านางมีของไปขายบ้าง การไปตลาดคราแรกตั้งแต่นางมาอยู่ที่นี่ได้หนึ่งวันกว่าๆนั้นน่าตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน ส่วนเด็กๆ และสามีที่นอนอยู่ก็ฝากให้ป้าเฉินดูแลหน่อย ส่วนจิ่วเม่ยนั้นนั่งรถเทียมวัวไปกับพี่อี้สองคน ใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบหนึ่งชั่วยามทั้งสองก็เข้าสู่เขตเมืองที่เริ่มมีคนพลุกพล่านและก็มาถึงตลาดในที่สุด
ตอนแรกนางนั่งและไปกับพี่อี้มองเขาขายของป่าที่ร้าน มีบ้างที่เอาเนื้อสัตว์ที่ผ่านการชำแหละแล้วออกมาขายได้เงินไม่เยอะ แต่สมุนไพรในมิตินั้นนางยังไม่ได้ขายเลย เพราะพี่อี้ไม่ได้มีมาขาย จิ่วเม่ยจึงตัดสินใจเอ่ยบอกว่าจะขอแยกตัวไปซื้อของแล้วค่อยมาเจอกันตามที่นัดหมาย
ความทรงจำของจิ่วเม่ยคนเก่านั้นจะค่อยๆ เด่นชัดยามที่นางเจอคนหรือเหตุการณ์ใดจริงๆ ก่อน แต่ตั้งแต่มาตลาดนี้ความทรงจำที่นี่มีน้อยมาก แต่นางรู้สึกได้ว่ามันมีความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดยามมองรอบข้าง มันเหมือนมีบางอย่างที่นางควรรู้
...เพียงแต่ยังคิดไม่ออกเท่านั้น
ไม่ไกลมีร้านขายสมุนไพรร้านใหญ่เปิดอยู่ นางรีบเข้าไปเจรจาซื้อขายทันที
โชคดีที่สมุนไพรที่นางเก็บมาได้นั้นเพียงเถ้าแก่ร้านเห็นก็ตาลุกวาวแล้ว นางเอาออกไปให้เขาเท่าไหร่ก็รับหมดแถมยังถามว่ามีมากกว่านี้ไหมอีกด้วย แน่นอนเส้นทางรวยนี้จิ่วเม่ยย่อมคว้าไว้อยู่แล้ว
“เหมือนว่าจะมีนะ แต่ข้ายังไม่แน่ใจเท่าไร เพราะแหล่งเก็บสมุนไพรเหล่านี้นั้นอยู่ข่อนข้างลึกเลย สามีข้าไปเก็บมาทีก็บาดเจ็บกลับมาที คิดว่าหากได้ไม่คุ้มเสียก็คงไม่เสี่ยงแล้วเจ้าค่ะ...”
เล่นตัวหน่อย จะได้ไม่ถูกกดราคามากเกินไป ทั้งที่ตามจริงแล้วราคาที่เถ้าแก่ให้มาก็ดูไม่แย่เท่าใดแล้ว แต่จิ่วเม่ยนั้นไม่ได้ชอบถูกเอาเปรียบ นางชอบทำสิ่งใดเล็กน้อยแต่ให้ผลกำไรมาก เพราะที่บ้านนั้นนางมีทั้งสามีและเจ้าก้อนแป้งสองคนต้องเลี้ยงให้อ้วน จะมาได้เงินทีละน้อยไม่พอหรอก
“หากมีอีกข้าให้เจ้าเพิ่มมากกว่าเดิมสองเท่าเลย หรือมีชนิดอื่นอีกร้านข้าก็รับหมดนะ”
ดีล! จิ่วเม่ยตกลงทำสัญญากับเถ้าแก่ร้านสมุนไพรเรียบร้อยก็เดินออกมา ในเมื่อนางมีเงินแล้วต้องซื้อของเข้าบ้านเสียหน่อย ทั้งเครื่องปรุง วัตถุดิบต่างๆ อุปกรณ์ทำครัว และเสื้อผ้า
ซื้อของเสร็จก็เดินไปที่คนน้อยหน่อยแล้วก็เก็บไว้ในมิติว่าง จนถึงของอย่างสุดท้ายนั่นล่ะที่จิ่วเม่ยซื้อชุดเสร็จกำลังจะหาที่มิดชิดเพื่อเก็บของ แต่เจอบุรุษสามคนมาขวางทางไว้ก่อน
ภาพเหตุการณ์มากมายที่จิ่วเม่ยคนเดิมเคยเผชิญพรูออกมาไม่หยุดยั้ง คนตรงกลางสวมชุดเนื้อผ้าดีสีแดงสดพร้อมพัดจีบในมือคือ คุณชายหลวนซาน บุตรชายคนโตแห่งตระกูลอู๋ ตระกูลพ่อค้าใหญ่ของเมืองติดชายแดนนี้ เขาคือบุคคลที่เป็นเหตุให้จิ่วเม่ยคนเดิมไม่ค่อยมาตลาดนั่นเอง ส่วนบุรุษสองคนด้านหลังคือลูกสมุนคู่กาย คนหนึ่งร่างท้วมผิวขาวนามว่าอี่ ส่วนอีกคนตัวเล็กผิวคล้ำนามว่าเอ้อ
“ไม่เจอกันนาน จิ่วเอ๋อร์สบายดีหรือไม่?”
สีหน้าประหลาดใจถูกแทนที่ด้วยใบหน้ายิ้มยินดีที่ได้เจอนาง ส่วนคนถูกทักนั้นตอบกลับด้วยใบหน้านิ่งไร้การหวั่นเกรงอย่างคราก่อน
“สบายมาก แต่จะดีกว่านี้หากคุณชายหลวนเรียกข้าว่า
ฮูหยินจางเจ้าค่ะ อย่าลืมว่าข้าออกเรือนมีสามีแล้ว”
จิ่วเม่ยมองดูการเข้าหาของเขาก็ต้องรีบสกัดให้ชัดเจนเสียก่อน คุณชายหลวนผู้นี้ทั้งรวยและหน้าตาพอดูได้เขาไม่รู้ว่าไยถึงได้ติดใจจะนำจิ่วเม่ยคนเก่าไปเป็นอนุอยู่ได้นั่นล่ะ ดีที่พอจิ่วเม่ยแต่งอารุ่ยแล้ว เขาไม่รุกเร้าอย่างก่อนหน้า แต่ดูจากสีหน้าท่าทางแล้วเหมือนว่าจะยังไม่ตัดใจอย่างไรอย่างนั้น
“ข้าอยากเรียกเช่นนี้ย่อมเรียก ในอนาคตเจ้าจะยังมีสามีอีกหรือไม่นั้นใครจะรู้ได้กันเล่า”
คำพูดนี้ของหลวนซานทำให้จิ่วเม่ยนึกถึงตอนที่ร่างเดิมนี้ตายและสามีกับเจ้าก้อนแป้งน้อยถูกลักพาตัวเลย เขาคือคนที่อยู่เบื้องหลังหรือ ก็ดูเป็นไปได้ทั้งกำลังในการจ้างคนและจุดประสงค์ แต่มันขัดตรงที่ว่าไยไม่ถนอมแม่นางที่ตนอยากได้ไปเป็นอนุกันเล่า
จิ่วเม่ยเพียงเอาคนผู้นี้อยู่ในผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งไว้ก่อน ยังไม่ยืนยันว่าใช่หรือไม่...
“ข้าต้องรีบกลับแล้ว ขอตัวก่อน”
“เดี๋ยว!”
ปั่ก!
ในขณะที่จิ่วเม่ยจะเดินผ่านบุรุษสามคนนั้นก็ถูกคว้าจับข้อมือไว้ก่อน แต่หลวนซานได้เพียงสัมผัสชั่ววาบเดียวก็ถูกเจ้าของข้อมือใช้มืออีกข้างตีป๊าบจนชาทั้งแขนเสียแล้ว
“ฮูหยินของท่านรู้หรือไม่ ว่าสามีของตนชอบเกี้ยวพาสตรีอื่นไปทั่วเยี่ยงนี้”
“ข้าไม่เคยทำเช่นนี้กับสตรีอื่น เจ้าก็รู้ว่าข้าชอบเจ้ามาก่อนที่เจ้าจะมีสามีเสียอีก”
ตามจริงแล้วความทรงจำของจิ่วเม่ยคนเดิมนั้นมีสิ่งที่ดีที่
หลวนซานทำให้มากมายเลยทีเดียว เขาถือว่าเป็นสหายที่ดีคนหนึ่งของจิ่วเม่ย ไม่กดที่นางจนกว่าอีกทั้งให้ความช่วยเหลือมากมาย จิ่วเม่ยเกือบแต่งให้เขาแล้ว ติดเพียงว่าทางตระกูลอู๋นั้นบังคับให้หลวนซานแต่งกับสตรีในระดับเดียวกันนางหนึ่งไป จิ่วเม่ยคนเดิมมีความคิดที่ว่านางจะไม่ยอมเป็นรองให้ใครจึงออกห่างหลวนซานมานับแต่นั้น
จากความสัมพันธ์ที่บุรุษคอยช่วยเหลือคนที่ตนชอบก็ผันเปลี่ยนเป็นตรงข้าม แล้วยิ่งจิ่วเม่ยตัดสินใจแต่งกับอารุ่ย บุรุษที่ไม่มีอันใดเลย ไม่รู้ชาติตระกูล บุรุษที่อยู่ดีดีก็โผล่มาแต่กลับคว้าคนในดวงใจเขาไปอย่างง่ายดาย หลวนซานจึงคอยกลั่นแกล้งให้จิ่วเม่ยทำมาค้าขายไม่ได้ บางทีก็ใช้อำนาจตนสั่งไม่ให้เถ้าแก่ร้านรับซื้อของป่าจากจิ่วเม่ยเลยก็มี
“ข้าว่าคุณชายหลวนนำเวลาที่มาหาเรื่องข้าไปเรียนรู้ค้าขายกับบิดาดีกว่า อย่างไรเรื่องของท่านกับจิ่วเม่ยก็เป็นเพียงอดีตไปแล้ว”
คราวนี้ตอนจิ่วเม่ยเดินหนีมาไม่ถูกเขาขัดขวางอีกต่อไปแล้ว เมื่อซื้อของทุกอย่างเสร็จนางจึงไปยังจุดนัดหมายก่อนเวลา รอจนพี่อี้เดินกลับมา ทั้งสองก็พากันกลับบ้านในเวลาสายของวันพอดี
อีกไม่กี่ชั่วยามก็ใกล้ต้องทำอาหารให้ก้อนแป้งน้อยทั้งสองแล้ว ไม่รู้เด็กน้อยจะทำอันใดอยู่กันนะ...
“ท่านแม่!”
“แม่จ๋า...”
สีหน้าเต็มไปด้วยความดีใจของเด็กน้อยแก้มป่องมากเกินที่จะเห็นเพียงว่านางกลับมา ไหนจะดวงตาที่เป็นประกายเจิดจ้าจนคนที่ต้องรับรังสีเจิดจ้าอย่างจิ่วเม่ยแทบตาลายนั่นอีกเล่า
“อย่าวิ่งเร็วนักสิอาเมี่ยวเดี๋ยวล้มนะ”
“แม่จ๋า พะ พ่อจ๋า พ่อจ๋า แฮกๆ”
เด็กตัวน้อยวิ่งมาจนเหนื่อยแล้วนางฟังที่หลินเมี่ยวพูดไม่รู้เรื่อง ทำได้แต่รอให้หายเหนื่อยก่อนโดยช่วยลูบหัวลูบแขนให้ลดความตื่นเต้นลง
“พ่อจ๋าตื่นจากหลับแล้วเจ้าค่ะ...”
อา ในที่สุด อารุ่ย สามีสุดหล่อของจิ่วเม่ยร่างเดิมก็ตื่นเสียที นางเดินตามการจูงนำของอาเมี่ยวไป ส่วนหลินหมิงนั้นทำหน้าที่เปิดทางให้น้องสาว พอไปถึงบ้านก็เปิดประตูรั้วให้ พวกเขานำ
จิ่วเม่ยมาที่ห้องนอนเหมือนกับว่านางไม่เคยมาอย่างไรอย่างนั้น
บุรุษที่นั่งบนเตียงใบหน้าซีดเล็กน้อยแต่ความหล่อเหลาช่วยกลบความโทรมไปทั้งหมด เป็นภาพที่จิ่วเม่ยไม่คุ้นเอาเสียเลย ปกติมองไปก็เห็นแต่เปลือกตา ตอนนี้ได้มองดวงตาแหลมคมจ้องมองสบมาที่นางพร้อมรังสีดุดัน พอมองนานๆ แล้วเหมือนถูกดูดเข้าไปในพื้นที่สีดำมืดไร้ทางออกอย่างไรอย่างนั้น
...จิ่วเม่ยคนเดิมคงไม่เอาโจรป่า หรือ นักฆ่ามาเป็นสามีหรอกกระมัง? แววตาทำเอานางขนลุกเสียวสันหลังได้เลย
“เอ่อ สบายดีหรือไม่ อารุ่ย?”
เสียงที่ออกมาจากปากคนมั่นใจในตนเองมาโดยตลอดอย่างจิ่วเม่ยแหบเสียอย่างนั้น นางไม่รู้ตัวเลย...
บรรยากาศภายในห้องที่จิ่วเม่ยเริ่มคุ้นชินแล้วมันดูไม่สบายอีกต่อไป นางรู้สึกเหมือนเจ้าของบ้านกลับมา และผู้มาอยู่อาศัยอย่างนางกำลังจะถูกไล่ออกไปอย่างไรอย่างนั้น
ความเงียบเข้าครอบงำราวเกือบเค่อ...
“ภรรยาจ๋า ข้าหิวน้ำมากเลย”
คนถูกเรียกด้วยเสียงหวานหูปานน้ำผึ้งป่าเพิ่มน้ำตาลไปอีกมุมปากกระตุกทันใด ไยหน้าโหดๆ นัยน์ตาคมเข้มถึงได้ขัดกับคำพูดคำจาและการกระทำเยี่ยงนั้นเล่า!
“เดี๋ยวข้าไปเอาน้ำให้ท่านพ่อเองขอรับ เมี่ยวเอ๋อร์ไปดูแลท่านพ่อก่อนเถอะ”
“ได้เลยพี่ชาย ข้าจะกล่อมพ่อจ๋าให้ใจเย็นๆ รอพี่ชายกลับมาเอง...”
ส่วนจิ่วเม่ยยืนนิ่งมองคนในครอบครัวของนางสามคนจัดการทั้งหมดอย่างไม่ติดขัดอย่างไม่รู้ว่าตนเองควรทำอย่างไรดี นางได้แต่มองอาเมี่ยวปีนเตียงขึ้นไปนั่งตบไหล่บิดาของนางดังปั่กๆ ส่วนอาหมิงก็เดินกลับมาพร้อมน้ำหนึ่งชามใหญ่ แต่เด็กชายตัวน้อยไม่ได้เดินเข้าไปให้บิดาดื่มเอง เขาส่งต่อให้ถึงมือของจิ่วเม่ยเลย
“ท่านพ่อไม่ชอบให้ใครป้อนนอกจากท่านแม่ขอรับ ท่านแม่เชิญเลย...”
ตัวโตเพียงนี้ต้องป้อนน้ำกันอยู่อีกหรือ?
จิ่วเม่ยไม่ขัดใจก้อนแป้งน้อยที่รอนางทำตามอย่างจดจ่อ นางเดินไปหาอารุ่ยแล้วก็ยื่นน้ำให้ตรงหน้าของเขา
“ดื่มให้หายกระหายเถอะ อารุ่ย”
“ไยเมียจ๋าเรียกข้าเช่นนั้น ไยยังเรียกอาเมี่ยวและอาหมิงเหมือนเดิมแต่เรียกข้าไม่เหมือนเดิมกัน...”
เอ่า ใครจะไปรู้ว่าจิ่วเม่ยคนเดิมเรียกว่าอันใดเล่า ความทรงจำเกี่ยวกับสามีตรงหน้านี้ไยไม่ปรากฎขึ้นเลยเหมือนความทรงจำอื่นกันนะ
“กินน้ำก่อนเถอะ...”
“ไม่ เรียกเหมือนเดิมก่อน!”
“รุ่ยเอ๋อร์?”
“ไม่ใช่!”
โอ บุรุษดวงตาโหดหายไปไหนแล้ว ไยพอเปิดปากพูดกลายเป็นอาเมี่ยวคนที่สองไปได้เล่า!
“...”
นางจำไม่ได้จริงๆ ดังนั้นจึงขอความช่วยเหลือทางสายตาไปที่หลินหมินคนเก่งก็ได้รับเพียงสายตาว่างเปล่าไม่คิดจะช่วยมารดาผู้นี้เอาเสียเลย
“ภรรยาจ๋า ต้องเรียกข้าว่าสามี สิ ไยจำสามีไม่ได้แล้ว...”
คำพูดประชดกันไม่พอปากบางเหยียดตรงบิดเบ้คว่ำลงไม่ต่างจากอาเมี่ยวตอนร้องไห้เลย เขาทำราวกับว่าหากนางยังทำเรื่องไม่ถูกใจเขาอีกจะร้องไห้อย่างไรอย่างนั้น
“สามี ท่านดื่มน้ำก่อนเถอะ แล้วก็นอนเสีย เดี๋ยวข้าไปทำมื้อกลางวันมาให้ทุกคนเอง...”
นางอยู่ในห้องนั้นไม่ไหวแล้ว จากที่คิดไว้ว่าพออารุ่ยตื่นก็คงมีคนมาช่วยแบ่งเบาภาระบ้าง ไฉนกลายเป็นนางได้ลูกคนที่สามมาดูแลเพิ่มเสียได้!!
นางไม่เข้าใจความคิดของจิ่วเม่ยคนเดิมเลยว่าคิดสิ่งใดอยู่ถึงเอาบุรุษที่มีนิสัยเยี่ยงเด็กสามขวบมาทำสามี หากไม่ใช่เพราะจิ่วเม่ยคนเดิมมีเหตุผลอื่นที่ไม่อยู่ในความทรงจำนางตอนนี้ก็ต้องเพราะหลงรักที่หน้าตาและรูปร่างน่ากินของเขานั่นล่ะ...
