3 แป้งทอดกรอบยัดไส้
“ท่านแม่ / แม่จ๋า!!!”
สามีภรรยาสกุลหวังนั้นแม้ไม่อยากปล่อยมือก็ต้องปล่อยแล้ว พวกเขาเกือบแกะผ้าที่อุดปากไม่ให้เด็กสองคนส่งเสียงร้องออกไปจนคนข้างนอกได้ยิน แต่ไฉนเลยคนพวกนี้ถึงเปิดประตูเข้ามาจนได้
ในตอนที่กลุ่มชาวบ้านตามจิ่วเม่ยมาแถวบ้านพวกเขาพร้อมเสียงพูดคุยนั้นคนสกุลหวังก็ตกใจจนแทบหยุดหายใจที่สตรีนางนี้ยังมีชีวิตอยู่ คิดว่าจะรอให้พวกจิ่วเม่ยพาคนออกไปห่างจากแถบนี้แล้วเอาสามีและเด็กน้อยทั้งสองคนไปปล่อยก็ไม่ทันแล้ว
ตอนนี้มีแต่ต้องตีเนียนไปก่อนอย่างเลือกไม่ได้
“พวกเจ้าสองคนไยมาอยู่ที่บ้านสกุลหวังได้กัน แม่นึกว่าถูกใครจับไปแล้ว...”
“พวกเราถูกป้าลากมาที่นี่ขอรับ ....อีกทั้ง...”
“ลากอันใด เราเห็นอาหมิงกับอาเมี่ยวอยู่บ้านไร้คนดูแลเลยชวนมาเล่นที่นี่ต่างหาก ใช่ไหมเจ้าคะท่านแม่ แหะๆ”
ซูอิ๋งรีบพูดเสียงดังแทรกทันที ใครมองก็ล้วนดูรู้ว่าร้อนรนเพียงใด ก็ใครให้พวกนางมั่นใจว่าจิ่วเม่ยจะตายคาป่าเขา จนรีบร้อนนำของๆ คนอื่นมากันเล่า!
“หวังดีต่อข้ามากเชียว ขนาดแนะนำให้ข้าไปเก็บสมุนไพรที่เขาลูกนั้นแล้วยังช่วยดูแลบุตรของข้าโดยไม่บอกกล่าวเพียงนี้ นู่นทั้งยังดูแลอารุ่ยให้ข้าอีกด้วย สกุลหวังช่างประเสริฐโดยแท้...”
ไม่พูดก็ว่าไปอย่าง แต่พอจิ่วเม่ยพูดสิ่งที่เกิดขึ้นหมดแล้วชวนให้ขัดแย้งสิ้นเชิง หากนางประสงค์ดีจริงย่อมไม่แนะนำให้สตรีร่างผอมบางเข้าป่าที่ภูเขาปราบเซียนลูกนั้นหรอก ชาวบ้านแห่งนี้ต่างรู้ดีว่าป่าแห่งนั้นรกและเต็มไปด้วยสัตว์นักล่า หากไม่ใช่ฤดูแล้งจริงไม่มีใครเข้าป่าแห่งนั้นหรอก
“ก็ ก็บ้านใกล้เรือนเคียงกันย่อมต้องช่วยกันอยู่แล้ว เจ้าคุยจบก็พาลูกและสามีเจ้ากลับไปเถิด เดี๋ยว เดี๋ยวเราต้องไปทำกับข้าวแล้ว...”
หากจิ่วเม่ยจะจบเพียงได้ลูกๆ และสามีคืน นางจะพากลุ่มชาวบ้านมาทำไมเยอะแยะเล่า!
จิ่วเม่ยต้องตัดไฟแต่ต้นล้ม จัดการเพื่อนบ้านที่มีเจตนาไม่ดีให้หายไปเพื่อความสงบสุขของตนเองในอนาคต...
“อ้าว อาเมี่ยวเหตุใดใบหน้าเจ้าถึงมีรอยแดงราวกับมีใครเอาผ้ามารัดไว้เยี่ยงนี้เล่า โอ้ อาหมิงด้วย!”
เด็กน้อยที่ยังตกใจกับข่าวร้ายที่มารดาตายไม่หายแม้จะพบหน้ามารดาแล้วก็ดูเศร้าสร้อยไม่กระปรี้กระเปร่าอยู่ดี พอถูกสะกิดต่อมความรู้สึกทรมานเมื่อครู่เสียหน่อยก็ร้องโอดโอยน้ำตาไหลทันที
อ้อ คนน้ำตาไหลคืออาเมี่ยวน่ะนะ ส่วนอาหมิงนั้นความรู้สึกแสดงออกทางสายตาแต่ใบหน้านิ่งอย่างที่ผู้ใหญ่บางคนยังทำไม่ได้ยามเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เยี่ยงนี้
“ฮือ ฮือ แม่จ๋า เมี่ยวเอ๋อร์เจ็บมากเลย ฮึกๆ คนนั้นเอาผ้ามามัดปากตอนหนูจะร้องหาแม่จ๋าเจ้าค่ะ เมี่ยวเอ๋อร์หายใจแทบไม่ออกเลย ฮือๆ”
“ลูกด้วยขอรับ ก่อนหน้านี้ป้าซูบอกว่าท่านแม่ตายแล้วให้พวกเราเรียกนางว่ามารดา และบอกว่าต่อไปนี้ข้าและน้องสาวต้องรับใช้พวกนางมากมาย หากท่านแม่ไม่กลับมาก่อน...”
“ลูกของเจ้าคงเข้าใจผิดไปน่ะ ข้าไหนเลยจะให้พวกเขาเรียกว่ามารดาได้ เด็กๆ คงฝันไปนั่นล่ะ บุรุษผู้นั้นจนเพียงนี้ไยข้าต้องเอาเขาทำสามีด้วย!”
“ใช่ๆ อาจิ่วเจ้าสอนลูกอย่างไรให้แต่งเป็นเรื่องราวเพียงนี้ ดูเถอะคนอุตส่าห์หวังดี ให้สามีเจ้าได้ดื่มยาต้มจนไข้ดีขึ้น ไฉนกลับถูกใส่ร้ายเอาเสียได้...”
ภรรยาสกุลหวังการแสดงใหญ่จนจิ่วเม่ยอยากปรบมือให้ แต่นางก็เกรงใจอาหมิงที่หน้าบึ้งเพราะถูกหาว่าเป็นเด็กโกหก ส่วนชาวบ้านที่ตามมานั้นดูเหมือนว่าจะสับสนไม่รู้จะเชื่อใครแต่จิตใจก็คงเอนเอียงเชื่อผู้ใหญ่มากกว่าเด็กสามขวบนั่นแล
“เมื่อเจอลูกเจ้าแล้วก็แล้วกันไปเถอะ แม่นางจิ่วพาลูกและสามีกลับบ้านเถอะ”
ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา และก็มีหลายคนเริ่มพยักหน้าเห็นด้วยคงเพราะอยากให้จบไปเสียทีแล้วนั่นแหละ
“ได้เลย ข้าขอนำที่นอนนี้กลับไปด้วยได้ไหม อ้อ แล้วก็หีบไม้ใส่ของใบนั้นด้วย ไม่รู้ว่าเพียงช่วยดูแลคนของข้าไยต้องนำของบ้านข้ามาเสียหมดบ้านเลยกันนะ...”
“อา นั่น เอ่อ เจ้าก็เอากลับไปให้หมดเลย ข้าเพียงเอามาด้วยเผื่อช่วยดูแลระหว่างที่เจ้าไม่อยู่ก็เท่านั้น”
จิ่วเม่ยมองสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกและการแถจนสุดเท้าแล้วก็พอใจแล้วล่ะ แม้ว่าเรื่องจะจบลงเพียงเท่านี้แต่สิ่งหนึ่งทำให้จิ่วเม่ยพอใจก็คือการได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความไม่น่าวางใจไว้ในใจของชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้ทุกคนแล้ว คอยดูเถอะ ต่อแต่นี้อย่าได้หวังเลยว่าสกุลหวังจะได้รับการไว้วางใจจากใครอีก
“ขอบใจพวกท่านมากเจ้าค่ะ ข้าจะนำของที่คนสกุลหวังช่วยดูแลโดยที่ข้าไม่ได้ขอกลับไปทั้งหมด แล้วก็ต่อแต่นี้บ้านใดจะเข้าป่าหรือไปไหนก็คงไม่กังวลเรื่องโจรขึ้นบ้านแล้ว เพราะสกุลหวังอาจจะช่วยพวกเราเฝ้าของเป็นแน่ หรือแม้แต่สามีพวกสกุลหวังก็เต็มใจช่วยดูแลให้โดยไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน...”