1 นางไม่น่าจะได้กลับมาอีกแน่ (ต่อ)
ในมือของอาหมิงมีถาดไม้เก่าๆ ขนาดใหญ่กว่าตัวอยู่ ดูน่าจะถือลำบากแต่เจ้าตัวน้อยกลับถือได้สบายอย่างคนทำมาจนชิน
“อ้อ พี่ชายต้มข้าวมาให้พวกเรากินเจ้าค่ะ แม่จ๋าตื่นมาได้เวลาพอดีเลย...”
ก็ว่าแล้ว มีกลิ่นข้าวอ่อนๆ โชยมาแต่ไม่ชัดเจนมาก พอหลินหมิงวางถาดลงบนพื้นเท่านั้นล่ะ จิ่วเม่ยจึงเข้าใจเลยว่าไยกลิ่นถึงเบาบางไม่เหมือนยามต้มข้าวต้มปรกติเลย
ก็เพราะว่าชามใบเท่าฝ่ามือสี่ชามมีข้าวสีขาวที่สุกจนบานเพียงชามละไม่กี่สิบเม็ดเท่านั้น นอกนั้นเป็นน้ำ!
“ท่านแม่กับอาเมี่ยวกินไปก่อนเดี๋ยวลูกไปปลุกท่านพ่อมากินมื้อเช้าเองขอรับ”
“ไม่ต้องเดี๋ยวแม่ไปเอง”
นางมองเด็กน้อยอายุสามขวบที่ทำตัวโตเกินอายุแล้วรู้สึกสงสาร อีกอย่างนางอยากไปดูอาการของสามีที่นางยังไม่เคยเห็นลูกกะตาดำของเขาเลยด้วย เพราะตั้งแต่นางมาเกิดในร่างนี้เขาก็เอาแต่นอนหลับไม่ฟื้นอีกเลย
โอ แย่แล้ว บุรุษใบหน้าหล่อเหล่ายิ่งกว่าดาราชื่อดังในชาติก่อนผู้นี้ดูเหมือนว่ากำลังจะมีไข้เสียแล้ว ผิวตัวร้อนผ่าวราวกับจะลวกมือนางยามแตะเพื่อเรียกเขาเลยล่ะ
“อารุ่ยๆ ตื่นเถอะ ”
สามีของจิ่วเม่ยมีนามว่ารุ่ย เป็นชื่อที่จิ่วเม่ยคนเดิมเป็นคนแต่งให้ มันแปลว่าความโชคดี
จากการที่ผ่านมาหนึ่งคืนแล้วความทรงจำบางอย่างเริ่มเรียบเรียงในหัวให้นางเข้าใจบ้างแล้ว หนึ่งในนั้นก็คือ ที่มาของสามีที่มีนามว่า รุ่ยนี่ล่ะ บุรุษหน้าตาหล่อเหลาผู้นี้มิใช่คนของหมู่บ้านชายแดนเหมือนอย่างจิ่วเม่ย เขาเป็นบุรุษที่จิ่วเม่ยไปเจอว่าบาดเจ็บหนักและช่วยไว้เมื่อสี่ปีที่แล้ว เนื่องด้วยไม่รู้บาดเจ็บหนักมากขนาดไหนทำให้เขาจำอันใดไม่ได้แม้กระทั้งตนคือใคร ประจวบเหมาะกับที่ช่วงนั้นบิดาและมารดาของจิ่วเม่ยเพิ่งตายไปนางที่เป็นสตรีใบหน้างดงามที่สุดในหมู่บ้านก็อยู่อย่างยากลำบาก เพราะล้วนถูกบุรุษมากหน้าหลายตามาตามราวีไม่ขาด จึงตัดสินใจแต่งบุรุษไร้ความทรงจำผู้นี้มาเป็นสามี ดูแลและอยู่ด้วยกันจนมีเจ้าก้อนแป้งแฝดขึ้นมานี่ล่ะ
แต่ตอนนี้ความทรงจำในช่วงชีวิตที่ได้เป็นสามีภรรยากันนั้น จิ่วเม่ยยังไม่อาจเข้าใจได้ เพราะเหมือนยังวิ่งวนสับสนในหัว นางจึงไม่อาจเดาได้ว่าสามีนามรุ่ยผู้นี้มีนิสัยใจคออย่างไร
ตอนนี้สิ่งที่สำคัญคือนางต้องหายามารักษาเขาก่อน...
“ที่บ้านเราเก็บสมุนไพรไว้ที่ใดกันแม่ลืมไปเสียแล้ว เจ้าก้อนแป้งน้อย?”
“สมุนไพรคืออันใดหรือเจ้าคะ แม่จ๋า???”
เมื่อก้อนแป้งฝ่ายหญิงไม่รู้จักก็คงต้องพึ่งก้อนแป้งฝ่ายชายเสียแล้ว...
“ไม่มีขอรับ...”
“แล้วเวลามีใครในบ้านเจ็บป่วยทำอย่างไรเล่า?”
“ต้องนอนเยอะๆขอรับ เดี๋ยวก็จะหายเอง...”
อา ไม่แปลกอันใดขนาดกับข้าวยังไม่มีเลย สมุนไพรที่ราคาแพงจะไปมีได้อย่างไรเล่า อย่างนั้นนางคงต้องเอาเงินออกไปซื้อมาเองนั่นล่ะ
ว่าแต่เงินน่ะจะมีหรือไม่กัน...
“ท่านพ่อเจ้าป่วยเสียแล้ว เดี๋ยวอาหมิงกินข้าวให้เสร็จ กินไปคนละสองชามเลยไม่ต้องกลัวหมดเดี๋ยวแม่ไปหาใหม่ให้เอง จากนั้นค่อยไปเช็ดตัวให้ท่านพ่อเจ้านะ เดี๋ยวแม่ไปหายามาประเดี๋ยวเดียว อ้อ อาหมิงเจ้าไปหยิบเงินมาให้แม่ทีซิ”
นางเนียนให้เด็กน้อยที่รู้ความไปหยิบเงินเพราะความทรงจำของร่างนี้ในช่วงหลังแต่งสามีแล้วยังประมวลผลไม่เสร็จ นางจำอันใดไม่ค่อยได้เท่าไหร่เลย
ทว่าสายตางุนงงอีกทั้งการที่หลินหมิงนั่งนิ่งไม่ขยับไปไหนทำเอาจิ่วเม่ยพอจะเดาคำตอบได้แล้ว
“บ้านเราไม่มีเงินขอรับ ท่านแม่”
ได้เลย จิ่วเม่ยสรุปให้เลยนะว่าบ้านนี้ไม่มีอะไรที่เหมาะแก่การใช้ชีวิตเลย...
นางตัดสินใจแล้วว่าสิ่งแรกที่นางจะทำคือการหาอาหารและยา เพราะด้วยความไม่เชื่อว่าที่บ้านนี้จะไม่มีอันใดจริงๆ นางได้ไปสำรวจในครัวขนาดเล็กมาแล้ว ข้าวสารหมดถัง ไม่มีเนื้อสัตว์ใดใดเลย
จิ่วเม่ยเดินออกจากบ้านมาและตัดสินใจไปเคาะเรียกเพื่อนข้างบ้านที่อยู่ห่างจากบ้านนางไม่ไกล ครอบครัวตระกูลหวัง
“มีอันใด อย่าบอกว่าจะมาขออาหารกินนะ ข้าไม่มีให้หรอก!”
เป็นสตรีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับจิ่วเม่ยออกมาเปิดประตูก่อนตะคอกทันใด แม่นางคนนี้น่าจะเป็นแม่นางซูอิ่งกระมัง
“พอดีสามีข้าป่วยน่ะ ต้องการสมุนไพรแก้ไข้หน่อยเดียวเท่านั้น ได้หรือไม่?”
แม่นางซูอิ๋งหยักยิ้มมุมปากแกมสมเพชก่อนเอ่ยตอบเสียงแข็ง
“สามีเจ้าป่วยไม่ใช่สามีข้า เจ้าก็ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรเองเถอะ นู่นน่ะ!!!”
พูดพร้อมชี้มือไปทางหลังบ้านของพวกนางเอง ไกลออกไปมองดูแลเป็นภูเขารกทึบลูกหนึ่ง ที่น่าจะอุดมสมบูรณ์ จิ่วเม่ย
มองแล้วนิ่งคิดเพียงชั่วจิบชาเดียวก็หมุนตัวกลับบ้านไปเตรียมของให้พร้อมเพื่อขึ้นเขาทันที
“เมื่อสักครู่นางจิ่วเม่ยมาหรือ?”
เสียงของสตรีวัยกลางคนเอ่ยถามซูอิ๋งที่ยืนยิ้มพอใจอยู่ที่เดิม มองแผ่นหลังของจิ่วเม่ยที่เดินออกจากบ้านไปทางเขาลูกที่นางชี้
“เจ้าค่ะท่านแม่ ข้าให้นางไปเก็บสมุนไพรเองที่เขาปราบเซียนลูกนั้นแล้ว คงไม่มีทางเลือกแล้วแน่ นางไม่น่าจะได้กลับมาอีกแน่ ลูกมั่นใจ ฮึ!”
