1 นางไม่น่าจะได้กลับมาอีกแน่
กว่าจิ่วเม่ยจะพาร่างแสนจะหนักของสามีกลับมาถึงบ้านได้ก็แทบขาดใจตาย ดีที่พอกลับมาถึงบ้านเก่าแสนเก่าแล้ว ก้อนแป้งน้อยทั้งสองที่แสนจะรู้ความก็จัดแจงแบ่งหน้าที่ คนหนึ่งไปเอาน้ำมาให้จิ่วเม่ยดื่มแก้กระหาย ส่วนอีกคนก็จัดแจงเตะของในบ้านที่ถูกรื้อจนกระจัดกระจายให้พ้นทางเพื่อให้สี่ชีวิตมีที่นั่งบ้าง
“พวกลูกก็ไปนอนพักเถอะ ดึกแล้ว”
“แล้วท่านแม่จะไปไหนหรือขอรับ?”
จิ่วเม่ยพักยังไม่ทันหายเหนื่อยก็ลุกขึ้นหมุนตัวจะเปิดประตูออกจากบ้านไปอีกรอบ หลังจากที่บอกเด็กน้อยให้เข้านอนแล้ว แต่ใครจะคิดว่าเด็กน้อยเพียงขึ้นไปบนเตียงข้างบิดาแต่ไม่ล้มตัวลงนอน แต่จ้องมองมาที่จิ่วเม่ยตาใสแทน
“แม่ต้องไปจัดการอันใดสักหน่อยเดี๋ยวกลับมา ไม่ต้องรอแม่หรอก”
“แต่เมี่ยวเอ๋อร์ยังกลัวอยู่เลย แม่จ๋าไม่อยู่หนูก็นอนไม่ได้นะเจ้าคะ”
ดวงตาคู่สวยกลมโตเริ่มมีม่านน้ำตาสีใสปกคลุมแล้ว ทำให้จิ่วเม่ยตัดสินใจเดินกลับไปกล่อมเด็กสามขวบสองคนจนเข้าสู่นิทราก่อน ค่อยย่องออกไปทำธุระเงียบๆ
มองจากสภาพการรื้อของกระจัดกระจายในบ้านแล้ว เผินๆ อาจมองว่าโจรสามคนนั้นมาเพื่อขโมยของมีค่าแล้วบังเอิญเจ้าของบ้านขัดขืนจึงถูกฆ่าตาย แต่จิ่วเม่ยกลับไม่คิดเช่นนั้น นางคาดว่าพวกเขาอาจจะสร้างสถานการณ์ให้คนที่มาพบคราหลังคิดเช่นนั้น แต่จริงๆ แล้วพวกมันมาเพื่อลักพาตัวคนต่างหาก เพราะหากต้องการทรัพย์สินควรเอาแต่สิ่งของมีค่าไปสิ ไยต้องพาคนให้ลำบากตนเองในการหลบหนีด้วยเล่า
หากมีจุดประสงค์เพื่อมาลักพาตัวคนจริงไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด จิ่วเม่ยย่อมต้องจัดการเจ้าพวกนั้นให้สิ้นเพื่อความปลอดภัยของนางเอง
ดีที่โจรสามคนนั้นยังไม่คลายฤทธิ์จากยาสลบเลย นางมาถึงก็จับพวกมันมัดกับต้นไม้ด้วยเชือกที่หยิบๆ มาจากบ้าน จากนั้นเพื่อเร่งความเร็วให้ฤทธิ์ยาสลบคลายหน่อยก็กดไปที่จุดหนึ่งเพื่อให้พวกมันฟื้นคืนสติกลับมาในทันที
“ใครสั่งให้พวกเจ้ามาจับตัวคนไป? และมีจุดประสงค์อันใด!?”
น้ำเสียงกดข่มทำให้มันรีบหันมองตาม พอเห็นใบหน้าของเจ้าของเสียงเท่านั้นแหละก็ตาเบิกกว้างทันใด
“เจ้ายังไม่ตายอีกหรือ ข้าว่า ข้าจัดการ...”
“ชั่งเถอะว่าข้าตายหรือไม่ แต่หากเจ้าไม่ตอบคำถามมาเจ้านั่นแหละต้องตายแน่!!! พูด!!”
“พวกเราไม่รู้จริงๆ พวกเราเป็นเพียงคนรับจ้างทั่วไปเท่านั้น พอเห็นว่ามีงานที่เงินดีก็รับไว้ ไม่รู้อันใดเลยจริงๆ อย่าฆ่าข้าเลยนะ...”
“ข้าไม่เชื่อ จะบอกหรือไม่ มิเช่นนั้น...”
“พวกเราเพียงได้เห็นรูปบุรุษนั่นและบังเอิญจำได้เท่านั้น จึงจะนำเขาไปแลกเงิน แต่ๆ ยังไม่มีใคร ระ รู้ว่าพวกเจ้าอยู่นี่แน่นอน... ฮือ ข้าบอกไปหมดแล้ว...”
จิ่วเม่ยนำมีดอีโต้ที่คว้ามาจากในครัวขึ้นมาขู่ให้เขากลัวก็แล้วแต่นางก็ไม่ได้รับคำพูดที่เป็นประโยชน์มากไปกว่านี้ นอกจากเขาไม่พูดแล้วนั้น ทั้งสามคนยังพร้อมใจกันฉี่ราดอีกต่างหาก
จิ่วเม่ยพอจะเชื่อแล้วแหละว่าพวกมันไม่ได้พูดโกหก แต่ถึงอย่างไรนางก็ไม่สามารถใจดีปล่อยให้คนที่มาทำร้ายและฆ่าจิ่วเม่ยคนเดิมตายไปแล้วลอยนวลได้ เพื่อลดโอกาสไม่ให้คนตามมาได้ในภายหลังนางต้องจัดการให้เจ้าพวกนี้ไม่สามารถพูดได้นั่นล่ะ
นางจัดการอาศัยจังหวะที่ทุกคนไม่ทันตั้งตัวจับบิดหัวจบชีวิตในชั่วพริบตา การจบชีวิตคนด้วยวิธีนี้ทำยากเพราะต้องรู้เทคนิคและอาศัยจังหวะแต่สายลับอย่างนางวิธีนี้ทั้งเงียบและทรงพลังนางย่อมฝึกจนชินมือแล้ว
เพื่อไม่ให้ชาวบ้านแถวนี้มาพบเข้าแล้วแตกตื่น นางต้องทำลายหลักฐานด้วย เนื่องจากบริเวณนี้เป็นป่าลึกการทำลายหลักฐานที่ง่ายและธรรมชาติที่สุดย่อมคือการให้พวกเขาเป็นอาหารสัตว์ป่า
จิ่วเม่ยเอ๋ย ข้าแก้แค้นให้เจ้า ไอ้พวกที่มันฆ่าเจ้าตายตามไปรับใช้เจ้าแล้ว จากนี้ไปข้าจะใช้ชีวิตนี้ให้ดีที่สุดต่อเอง เจ้าไปเกิดใหม่อย่างมีความสุขเถิด
ฉับพลันกระแสลมเบาบางพัดผ่านมาจนผมยุ่งเหยิงของจิ่วเม่ยปลิวไสว ราวกับว่าใครบางคนนั้นแสดงตนว่ารับรู้แล้วอย่างไรอย่างนั้น...
เช้าวันต่อมาจิ่วเม่ยตื่นมาในท่าเอนตัวพิงประตูบ้านอย่างก่อนที่นางจะเผลอหลับไปเมื่อคืนด้วยความเหนื่อยล้า มีผ้าห่มผืนบางมาคลุมกายเพิ่มเติมเท่านั้น
เมื่อคืนนางกะจะนั่งเฝ้าบ้านไม่หลับเผื่อมีพวกผู้ร้ายมาอีกจะได้ปกป้องคนในบ้านได้ทัน ทว่าเพราะความเหนื่อยและร่างกายที่ไม่แข็งแรงเท่าชาติก่อนจึงเผลอหลับไปเสียได้ อีกทั้งยังหลับสนิทจนเช้า แสงอาทิตย์รอดตามซี่กำแพงไม้เข้ามาจนแยงตานางถึงตื่นได้
“แม่จ๋าตื่นแล้วเจ้าค่ะ พี่ชาย!”
เสียงเล็กแหลมแต่หวานหูของหลินเมี่ยวมาพร้อมกับร่างนุ่มนิ่มพุ่งเข้ามานั่งบนตัก ใบหน้ากลมเงยขึ้นสบตาจิ่วเม่ยอย่างออดอ้อน รอยยิ้มหวานถูกส่งเข้าหัวใจของจิ่วเม่ยอย่างแรง
“อาเมี่ยวปลุกท่านแม่ใช่หรือไม่ ลุกออกมานี่เลย พี่บอกแล้วว่าให้ท่านแม่นอนก่อน...”
“ไม่ใช่ๆ แม่จ๋าเรียกเมี่ยวเอ๋อร์ไปหาด้วยสายตา เมี่ยวเอ๋อร์ก็เพียงทำตามเท่านั้น ใช่ไหมเจ้าคะ แม่จ๋า?”
แม้นจิ่วเม่ยจะไม่รู้ตัวว่าตนแสดงสายตาเชิงเรียกเจ้าก้อนแป้งน้อยขี้อ้อนแต่เมื่อใด แต่เพื่อเอาใจคนบนตักก็พยักหน้าไปทางหลินหมิง
“นั่น อาหมิงถืออันใดมาน่ะ?”