บทที่ 9 การตัดสินใจ
9
การตัดสินใจ
รถสปอร์ตคันหรูวิ่งเข้ามาจอดที่หน้าคฤหาสน์ ก่อนที่หญิงสาวในสุดรัดรูปสีดำสนิทจะลงมาจากรถ แล้วเดินเข้าไปในบ้าน ราวกับว่าที่นี่เป็นบ้านของเธอเอง เธอมาที่นี่เพราะมีงานที่ได้รับมอบหมายให้ทำ และเธอก็อยากจะมาดูให้เห็นกับตาว่าเจ้านายของเธอกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่
“คุณศศิมาแล้วเหรอคะ?” เบญจาเดินเข้ามาหาศศิ
“คุณหนูคนนั้นอยู่ไหนคะป้าเบญ?”
“อยู่ที่สวนดอกไม้ด้านหลังค่ะ กำลังร้องไห้อยู่...”
“ร้องไห้ทำไมคะ? อย่าบอกนะว่าบอสดุเธอก่อนไปทำงาน”
“เปล่าหรอกค่ะ แต่บอสของคุณศศิน่ะ ดันบอกว่าซื้อตัวเธอมาทำเมียน่ะสิคะ” เบญจาทำหน้าเจื่อน
“ฉันคิดว่าเขาพูดเรื่องจริงค่ะ บอสคงอยากจะหาใครสักคนแล้วล่ะ แล้วก็เลือกได้...ดีจริงๆ” ศศิกลอกตาประชดพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเดินผ่านเบญจาไปยังสวนดอกไม้ด้านหลังคฤหาสน์
ดอกไม้นานาชนิดที่อยู่ตรงหน้า แม้จะสวยงามเพียงใด ก็ไม่อาจปลอบประโลมความหวาดหวั่นที่อยู่ในใจของแสนรักได้ หากเธอรู้สึกนิดว่าปราณนต์คิดจะซื้อเธอมาทำเมีย เธอคงไม่มีทางมากับเขา และจะยอมตายอยู่ที่สะพานนั่น เธอผิดถนัดที่คิดว่าการขายชีวิตนี้ไปจะทำให้มีอะไรดีขึ้นมา ตอนนี้แม้แต่จะเดินหน้า ก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปต่อยังไง แต่ถึงจะหันหลังกลับ...เธอก็ไม่มีเงินแสนมาคืนเขา และไม่กล้าที่จะกลับไปตายอีกแล้ว
“ฮึก!” เด็กสาวสะอื้นร้อง หมดหนทางที่จะทำอะไรได้ กลัวไปหมดทุกสิ่งอย่าง และไม่กล้าที่จะไว้ใจใคร ไม่มีใครที่นี่ที่อยู่เคียงข้างเธอ และที่ข้างนอกนั่น...เธอก็ไม่มีใครอีกแล้วเหมือนกัน
“ไง...” เสียงเรียบนิ่งดังขึ้น ก่อนที่ร่างสะโอดสะองจะเดินเข้ามานั่งข้างๆเด็กสาว
“...” แสนรักยกมือขึ้นปาดน้ำตา จ้องมองศศิด้วยความสงสัยว่าเธอเป็นใคร ทำไมถึงได้ดูสวยและดูฉลาด เพียงแค่มองด้วยตาเปล่า
“ฉันชื่อศศิ เป็นเลขาของคุณปราณนต์ ฉันมาที่นี่เพื่อให้ความช่วยเหลือกับเธอ” ศศิแนะนำตัวเองพร้อมรอยยิ้มบางๆ
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อแสนรัก”
“ฉันรู้...แต่ที่ไม่รู้ก็คือ อะไรที่ทำให้เธอร้องไห้?”
“...” เด็กสาวนิ่งเงียบ ไม่กล้าที่จะตอบออกไป
“เชื่อสิ ว่าเธอไว้ใจฉันได้ พอๆกับที่ไว้ใจตัวเอง” เพียงแค่มอง ศศิก็พอจะรู้ว่าแสนรักกำลังคิดอะไร
“แต่เราเพิ่งเจอกัน”
“เธอเองก็ตัดสินใจมากับบอส ทั้งๆที่เพิ่งเจอเขา รู้ไหมว่ามันแปลว่าอะไร?” หญิงสาวยกยิ้มอีกครั้ง “มันแปลว่าเธอต้องการที่พึ่งพิง”
“ฮึก!” แสนรักเริ่มอยากจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง เมื่อศศิรู้ว่าเธอนั้นไม่มีที่พึ่งเลยแม้แต่คนเดียว
“เธอคงกลัวที่จะต้องเป็นเมียของบอส” ศศิเอื้อมมือไปเช็ดคราบน้ำตาที่พวงแก้มแดงก่ำของเด็กสาว “แต่รู้ไหม? ว่าที่ตรงนั้น...เป็นที่ที่ผู้หญิงทุกคนต้องการ”
“รวมถึงคุณด้วยเหรอคะ?”
“เอ่อ...ยกเว้นฉันไว้คนนึงก็แล้วกัน”
“งั้น...ยกเว้นหนูด้วยได้ไหมคะ? หนูไม่ได้มาที่นี่เพราะอยากเป็นเมียของนาย...หนูไม่อยากเป็นเมียใครทั้งนั้น”
“ใจเย็นๆ การเป็นเมียนาย มันไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไรเลย ออกจะเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ”
“มันจะดียังไงคะ? ในเมื่อหนูไม่ได้รักนาย แล้วนายก็ไม่ได้รักหนู” แววตาของแสนรักฉายแววความใสซื่อ
“งั้นเธอก็แค่รักเขา”
“คะ?”
“เธอจะรักเขาได้ไหม? ผู้ชายคนนั้นน่ะ” ศศิเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “รักและซื่อสัตย์กับเขา เชื่อฟังเขา แล้วเธอจะได้ทุกอย่างที่ต้องการ”
“แต่...”
“ให้ความสุขกับเขา แล้วเธอจะได้รับมันด้วย ทั้งเงินทอง อำนาจ ความสุขสบาย การศึกษา แม่เลี้ยงและพี่สาวจะอยู่ภายใต้เธอ เธอจะกลายเป็นผู้หญิงที่มีคุณค่า มีราคา มีทุกสิ่งที่ทุกคนหมายปอง ฉันว่ามันคุ้มนะ...กับการแค่รักนาย เท่านั้นเอง”
“หนูรักนาย มันก็ไม่ได้แปลว่านายจะรักหนูนี่คะ แล้วอีกอย่าง...ที่คุณพูดมาทั้งหมด หนูไม่ได้ต้องการ”
“โถ่...เด็กน้อย ที่เธออยากจะตาย มันไม่ใช่เพราะเธอไม่มีสิ่งเหล่านั้นหรอกเหรอ?”
“...” เวลานี้แสนรักได้แต่คิด ว่าทำไมหลายคนที่นี่ทำเหมือนกับว่ารู้จักเธอ ทุกคนรู้พื้นเพและที่มาที่ไปของเธอ แล้วทำไมทุกคนถึงอยากให้เธอเชื่อฟังแต่นาย “หนูอยากตาย เพราะหนูไม่เหลือใครให้รักอีกแล้ว...”
“เพราะแบบนั้นไง ฉันถึงอยากให้เธอรักนาย และยินยอมที่จะเป็นเมียนายซะ เพราะมันคือทางเดียวที่จะทำให้ชีวิตของเธอสบาย ในตอนที่เธอคิดว่าชีวิตของตัวเองนั้นไร้ค่า จำได้ไหม...ว่ามีแค่นายที่เข้าไป ยื้อเธอเอาไว้ และขอซื้อสิ่งที่เธอไม่ให้ค่ามันอีกแล้วเอาไว้”
“...”
“ลองคิดดูสิ ว่าถ้าวันนั้นนายไม่เข้าไปรั้งเธอไว้ ป่านนี้เธอคงตายจากโลกนี้ไปแล้ว ความตายจะไม่เปิดโอกาสอะไรให้เธออีก ตายไปแล้ว...เรียนต่อก็ไม่ได้ กินของอร่อยก็ไม่ได้ เธอจะไม่ได้เจอเพื่อน...ไม่ได้ไปเที่ยวหรือแม้แต่ใส่เสื้อผ้าสวยๆ และแม้แต่แฟนสักคนเธอก็ไม่เคยได้รับรู้ว่ามันเป็นยังไง เธอจะจบชีวิตไปทั้งๆที่เพิ่งเกิดมาได้แค่สิบแปดปีน่ะเหรอ? บนโลกใบนี้...ถึงแม้ว่ามันจะโหดร้ายสำหรับเธอ แต่มันยังมีอะไรอีกมากมายให้เธอได้เรียนรู้ และรู้เอาไว้ซะ...ว่านายเขาช่วยเธอเอาไว้ เขาคือผู้มีพระคุณของเธอนะแสนรัก”
“ฮึก!” ศศิพูดถูกทุกอย่าง ถ้าตายไป...ทุกอย่างมันจะจบ และเธอจะไม่มีโอกาสได้เรียนรู้อะไรทั้งนั้น ถ้าไม่มีปราณนต์...เธอคงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ และคงไม่ได้ตระหนักว่าตัวเองนั้นโง่แค่ไหนที่คิดจะปลิดชีวิตที่พ่อกับแม่ให้มา “หนูโง่มากเลยใช่ไหมคะ ที่คิดจะฆ่าตัวตายแบบนั้น”
“เราทุกคนเคยผิดพลาดกันทั้งนั้น เพียงแต่โอกาสดีๆจะไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน ตอนนี้โอกาสดีๆมันรออยู่ตรงหน้า...เธอแค่ต้องตัดสินใจว่าจะคว้ามันเอาไว้หรือเปล่า”
“หนูแค่ต้องรักและเชื่อฟังนายเหรอคะ?”
“ใช่ มันง่ายแบบนั้นแหละ”
“การรักใครสักคนมันเป็นเรื่องง่ายเหรอคะ?”
“อืม...ก็คงงั้นมั๊ง” ศศิเองก็ไม่แน่ใจ เพราะเธอยังไม่เคยรักใครมาก่อนเลย “เอาเป็นว่าเธอสบายใจขึ้นแล้วใช่ไหม?”
“นิดหน่อยค่ะ”
“งั้นเราไปทำเรื่องสนุกๆกัน”
“เรื่องสนุกคือเรื่องอะไรคะ?”
“ก็ใช้เงินของนายซื้อของทุกอย่างที่ขวางหน้าไง”
KID Construction เวลา 14.50 น.
ภายในห้องประชุมเต็มไปด้วยความตึงเครียด ทีมวิศวกรที่ทำโปรเจคใหญ่ของโรงแรมนาวามารวมตัวกันเพื่อรายงานความคืบหน้าให้กับปราณนต์ พวกเขาคาดหวังให้ปราณนต์ยอมเซ็นอนุมัติให้เริ่มการก่อสร้าง ทว่า...มันไม่ง่ายแบบนั้น
“ทุกอย่างถูกเตรียมการจนพร้อมในทุกขั้นตอน เราเตรียมซัพพลายเออร์ทั้งหมดที่มีไว้แล้ว วัสดุรอการขนส่งไปยังไซต์งานแล้วครับ”
“แล้วพวกคุณรออะไร?” ปราณนต์หรี่ตาถามหัวหน้าวิศวกร
“รอการอนุมัติจากท่านประธานครับ เพียงท่านเซ็น...เสาเข็มต้นแรกจะถูกตรอกลงทันที”
“แล้วคุณรู้ไหมว่าผมรออะไรอยู่ ถึงไม่ยอมเซ็นสักที?”
“เอ่อ...”
“รอเงินไง เครือนาวายังไม่พอใจกับใบเสนอราคาที่เรายื่นไป โครงการนี้จะไม่มีกำหนดการเริ่มสร้างจนกว่าผมจะได้เงิน จบประชุม” สิ้นคำนั้นร่างสูงก็เดินออกไปจากห้องประชุมทันที
“ต้องให้รอไปถึงเมื่อไหร่?! ผมไม่เข้าใจท่านประธานเลย...เครือนาวาเองก็เป็นคู่ค้ากับเรามานาน ตั้งแต่สมัยเจ้าสัวแล้ว ทำไมถึงยอมดึงราคาลงหน่อยไม่ได้” วิศวกรปลายแถวผู้ไม่รู้เรื่องราวเอ่ยขึ้น เมื่อท่านประธานเดินพ้นห้องประชุมไปแล้ว
“ผู้ถือหุ้นคนอื่นๆต้องไม่ยอมแน่ ถ้าเครือนาวาจะเลือกใช้ที่อื่นแทนที่จะทำกับเราต่อ แล้วอีกอย่าง...คุณพสุ เจ้าของเครือนาวาก็มีหุ้นอยู่ในนี้ งานนี้มีสงครามภายในแน่ๆ”
“หึ! ให้เด็กหนุ่มเลือดร้อน หัวแข็ง มาบริหารองค์กรใหญ่ระดับประเทศมันก็เป็นแบบนี้แหละ ไม่รู้เจ้าสัวคิดอะไรอยู่...ก่อนตายถึงได้ยกบริษัทให้ลูกชาย แทนที่จะเป็นเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนใหญ่อย่างคุณพสุ”
“นี่มันบริษัทของเจ้าสัวนะครับ เขาส่งมันต่อให้ลูกชายก็น่าจะถูกแล้วนี่ คุณพสุเป็นแค่เพื่อน...ถึงจะหุ้นส่วน แต่ก็แค่สิบเปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับหุ้นในมือของคุณปราณนต์ ซึ่งมีถึงหกสิบเปอร์เซ็นต์แล้วใครก็มองออกว่ามันต่างกันมาก และคุณพสุก็ไม่ใช่เจ้าของอยู่ดี” เป็นนักรบที่เอ่ยขึ้นมา เขายืนอยู่ที่มุมห้องมาตั้งแต่แรก และเหล่าวิศวกรก็ลืมไปว่าการจะนินทาปราณนต์ลับหลังนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
นักรบเดินเข้ามาในห้องทำงานของปราณนต์เพื่อที่จะรายงานตารางงานต่อไปของวัน แต่ยังไม่ทันได้เริ่มพูดอะไร เจ้านายกลับตั้งคำถามขึ้นมาเสียก่อน
“ศศิเป็นยังไงบ้าง?”
“นายถามถึงศศิหรือแสนรักครับ?”
“ฉันถามว่าศศิเป็นยังไง?” ปราณนต์ส่งสายตาพิฆาตใส่นักรบเมื่อลูกน้องกล้าย้อนถามเจ้านาย
“ทุกอย่างปกติดีครับ”
“แค่นั้น?”
“ครับ”
“อยากตายเหรอ?! บอกมาให้หมด!”
“ก็บอกมาตั้งแต่แรกสิครับว่าจะถามถึงแสนรัก...” นักรบยกยิ้มเพราะรู้ทันเจ้านาย “ตอนนี้สองคนนั้นกำลังช้อปปิ้งอยู่ที่ห้างครับ ศศิจัดการเปิดบัญชีธนาคารให้เธอแล้ว ส่วนเรื่องบัญชีหุ้น อายุเธอยังไม่ถึงครับ เลยยังเปิดไม่ได้”
“ไม่เป็นไร เรื่องเงินปันผล ฉันจะจัดการให้เธอเอง”
“ว่าแต่...นายคิดจะแบ่งหุ้นให้แสนรักจริงๆเหรอครับ?”
“ยังไม่ใช่ตอนนี้”
“แต่ศศิรายงานเรื่องหนึ่งกับผม”
“อะไร?”
“แสนรักร้องไห้หลังจากที่ได้รู้ว่าต้องมาเป็นเมียนาย เธอบอกว่าไม่อยากเป็นครับ”
“ว่าไงนะ?”
“แสนรัก...เด็กคนนั้น เธอไม่อยากเป็นเมียของนายครับ”
“ทำไม?!”
“ไม่ทราบครับ” นักรบแอบหันไปยิ้ม ก่อนจะหันกลับมาทำหน้านิ่ง “แต่ผมได้เจอผู้หญิงอีกคนที่ไม่อยากเป็นเมียนายแล้วล่ะครับ”
“นักรบ!”
“นึกว่าจะมีแค่ศศิคนเดียว...แต่แสนรักก็เอาด้วย ดูเหมือนว่าตอนนี้เรตติ้งของนายอาจจะตกนะครับ”
“ออกไป!”
“ครับ”
