บทที่ 10 เมียนาย
10
เมียนาย
คฤหาสน์ฤกษ์ฤทธิชัย เวลา 19.00 น.
รถสปอร์ตคันหรูของศศิ วิ่งเข้ามาจอดที่หน้าคฤหาสน์ ด้านหลังรถนั้นมีถุงช้อปปิ้งมากมาย ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า รวมถึงเครื่องสำอางและเครื่องประดับ ทั้งหมดล้วนแล้วเป็นของแสนรัก ซึ่งเธอไม่ได้เลือกเองเลยแม้แต่อย่างเดียว เป็นฝีมือของศศิ ที่รู้ใจเจ้านายว่าชอบสไตล์แบบไหน ถึงได้คัดสรรมาให้แสนรักได้สวมใส่ เพื่อทำให้เขาพึงพอใจ
“ใส่ทุกอย่างที่ฉันเลือกให้ และแต่งหน้าด้วย” ศศิเอ่ยขึ้น เมื่อเดินนำหน้าเด็กสาวเข้ามาในบ้าน
“แต่...”
“รู้ไหมว่าวันนี้เธอพูดแต่คำว่าแต่ ข้อแม้จะเยอะไปไหน? ไหนว่าตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นเมียนาย?”
“ถึงหนูจะบอกว่าตัดสินใจแล้ว แต่มันก็ยังรู้สึกกลัว...หนูไม่รู้จริงๆว่าการเป็นเมียของนาย จะต้องทำยังไง”
“นอนกับเขาสิ”
“คะ?”
“ฮะๆๆ ดูหน้าเธอสิ...ซีดเป็นไก่ต้ม เพียงแค่ฉันบอกให้นอนกับเขา” ศศิยกยิ้มชอบใจที่ได้เห็นท่าทีเกรงกลัวของแสนรัก “เธอกล้ามีอะไรกับเขาไหมล่ะ?”
“นะ...หนูเพิ่งจะอายุสิบแปดเองนะคะ จะทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง?”
“ทำไมจะทำไม่ได้? ฉันมีเซ็กส์ครั้งแรกตอนอายุสิบเจ็ด”
“คะ?!” ความตรงไปตรงมาของศศิทำให้เด็กสาวตกใจไม่น้อย
“แถมยังไม่ใช่แฟน และฉันก็ไม่ได้รักเขาด้วย จะบอกให้นะสาวน้อย...เซ็กส์น่ะ มันก็แค่กิจกรรมที่ทำกันเพื่อความสนุก มันไม่เกี่ยวกับความรัก ถ้าทั้งสองคนยินยอมพร้อมใจ ก็แค่...เอากัน”
“คุณพูดเหมือนอยากให้หนูมีอะไรกับนาย โดยที่ไม่ต้องรักก็ได้”
“ฉันอยากให้เธอรักเขานะ และถ้าจะเธอจะมีเซ็กส์กับเขาเพราะความรัก มันก็เป็นเรื่องที่ดีมาก แต่...ในตอนที่เธอยังไม่ทันคิดว่าจะรักเขา ถ้านาย...อยากมีเซ็กส์กับเธอขึ้นมา แล้วเธอจะไม่ยอมเหรอ?”
“...” ความกลัวผุดขึ้นมาบนใบหน้าเด็กสาวอีกครั้งเมื่อคิดถึงภาพที่ปราณนต์ต้องการจะมีอะไรกับเธอ
“เอาเถอะ ฉันว่านายคงยังไม่เร่งรัดอะไรตอนนี้หรอก อีกอย่าง...เขาน่ะเชิงเยอะจะตายไป”
“แล้วหนูจะรู้ได้ยังไงคะว่านายต้องการจะ...”
“เธอจะรู้ด้วยตัวเธอเอง เผลอๆอาจเป็นเธอก็ได้ที่ต้องการมันก่อน...ถ้าเป็นแบบนั้นมันต้องสนุกแน่” รอยยิ้มร้ายกาจของศศิเพิ่มความหวาดหวั่นให้กับแสนรักมากขึ้นกว่าเดิม “ฉันไปล่ะ ใกล้จะถึงเวลาที่นายของเธอจะกลับมาแล้ว ฉันขี้เกียจเจอหน้าเขาน่ะ” หญิงสาวโบกมือลา ก่อนที่จะเดินออกไปจากบ้าน ในเวลาเดียวกันนั้น เจ้าจันทร์ก็โผล่มาพร้อมกับแผนการในใจ
“ไงจ๊ะ ศศิพาเธอไปไหนมาบ้าง?”
“ไปห้างค่ะ”
“มีเวลาสักเดี๋ยวไหม? ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอหน่อย”
“ค่ะ”
แสนรักเดินตามเจ้าจันทร์มาที่ห้องนั่งเล่นทางปีกซ้ายของตัวบ้าน ไม่นานแม่บ้านคนหนึ่งก็นำชาร้อนมาเสิร์ฟให้คนทั้งสอง เจ้าจันทร์หยิบมันขึ้นมาจิบเบาๆ ก่อนจะไล่สายตามองเด็กสาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“ดื่มสิ ชานี้รสชาติดีนะ ฉันได้มันมาจากเมืองจีน”
“ค่ะ” แสนรักทำตามที่คุณผู้หญิงของบ้านบอกอย่างว่าง่าย หยิบชาขึ้นมาจิบ...ครั้งแล้ว ครั้งเล่าเพราะรสชาติแสนดีของมัน
“ฉันเป็นเมียคนที่สองของเจ้าสัวคิด เธอคงรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว”
“ค่ะ”
“แม่ของปราณน่ะ เสียไปตั้งแต่ที่เขายังอายุไม่ถึงห้าขวบ ต่อมาเจ้าสัวก็ได้เจอฉัน...เราสองคนตกหลุมรักกันตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ ไม่นานเราก็ได้แต่งงานกัน ฉันได้เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ มาเป็นแม่เลี้ยงของปราณ แน่นอน...เขาเกลียดฉัน แต่ฉันก็เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เจ็ดขวบจนตอนนี้อายุสามสิบเข้าไปแล้ว รู้ไหมว่าฉันมาพูดเรื่องนี้กับเธอทำไม?”
“ไม่ทราบค่ะ” เด็กสาวส่ายหน้า
“แหงสิ ถ้ารู้...เธอก็ฉลาดจนฉันต้องกลัวแล้ว” เจ้าจันทร์ยกยิ้ม “ฉันไม่เคยถูกเรียกว่าแม่ ตลอดยี่สิบสามปีที่อยู่กับปราณนต์ คำว่าแม่ไม่เคยหลุดออกจากปากเขาเลยสักครั้ง หลายคนบอกว่าเขารักฉัน เพียงแต่เขาเป็นคนปากแข็ง ทั้งเจ้าสัว ทั้งป้าเบญ ทุกคนบอกแบบนั้น...แต่มันจะน่าเชื่อได้ยังไง? ในเมื่อฉันไม่เคยได้ยินจากเจ้าตัว”
“งั้นคุณอยากให้หนูเรียกคุณว่าแม่ไหมคะ?”
“ฮะๆๆๆ” คำถามของเด็กสาวนั้นช่างใสซื่อเสียจนเจ้าจันทร์ถึงกับหัวเราะออกมา
“ได้สิ เรียกฉันว่าคุณแม่...อย่างน้อย ฉันจะได้แน่ใจว่าเธออยู่ข้างฉัน”
“คุณแม่...”
“ดีมากสาวน้อย...ต่อไปนี้เราทีมเดียวกันแล้วนะ”
“ทำไมคุณแม่ถึงอยากให้หนูมาอยู่ทีมเดียวกันเหรอคะ?”
“เพราะฉันกลัวน่ะสิ” เจ้าจันทร์หลุบตามองต่ำ “ฉันกลัวว่าสักวันหนึ่ง หากมีอะไรที่ผิดพลาดไป ปราณนต์จะทอดทิ้งฉัน เพราะฉันไม่ใช่แม่แท้ๆของเขา มันไม่มีอะไรมารับประกันได้เลย ว่าเขาจะเก็บฉันไว้แบบนี้ไปตลอด”
“คุณแม่เป็นภรรยาของเจ้าสัว แล้วทำไมถึงยังต้องกลัวด้วยคะ?”
“เพราะชีวิตมันไม่มีอะไรแน่นอนไงล่ะ เห็นไหม...ว่าอยู่ๆเธอก็ได้เข้ามาอยู่ที่นี่ ทั้งๆที่เมื่อวันก่อน เธอยังอยู่ที่บ้านเล็กเท่ารูหนูในซอยลึกๆนอกเมืองอยู่เลย เพราะแบบนี้ไง...คนเราถึงทำประกันชีวิตเอาไว้”
“...” เด็กสาวได้แต่คิดตามที่เจ้าจันทร์พูด
“และประกันชีวิตของฉันก็คือเธอ”
“คะ?”
“ฉันจะสนับสนุนเธอทุกอย่าง เพียงแค่เธอทำให้ปราณนต์รักเธอได้ก็พอ เพราะถ้าหากว่าเขารักเธอแล้ว ฉันเชื่อว่าคำพูดของเธอจะสำคัญต่อเขา ไม่ต่างจากคำสัญญา”
“คุณแม่อยากให้หนูทำอะไรเหรอคะ?”
“ไม่ต้องทำอะไร...นอกจากรักเขา และทำให้เขารัก และเธอต้องอยู่เคียงข้างฉัน อยู่เป็นทีมเดียวกับฉันไปตลอด แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ”
“ทำไมถึงเป็นหนูเหรอคะ?”
“เพราะฉันคิดว่าเธอสำคัญ ต้องสำคัญมาก ไม่อย่างนั้นลูกชายตัวดีของฉันไม่มีทางพาเธอมาอยู่ที่นี่แน่”
“...” เด็กสาวยังคงสงสัยว่าเธอสำคัญยังไง แต่ก็ยังมีอีกเรื่องที่เธออยากรู้ “แล้วประกันชีวิตของหนูคืออะไรเหรอคะ?”
“ฮะๆๆๆ” เจ้าจันทร์หัวเราะออกมาอีกครั้งกับคำถามน่าขำของแสนรัก
“ก็ตัวเธอไง ทำตัวดีๆเข้าไว้ เชื่อฟังเขา ทำให้เขาพอใจ นั่นแหละคือประกันชั้นหนึ่งของเธอ”
ร่างบางนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงนอน ในหัวของเธอมีความคิดและคำถามมากมาย วันนี้ทั้งเจ้าจันทร์และศศิพูดเหมือนกันว่าทั้งสองจะสนับสนุนเธอ อยากให้เธอรักปราณนต์ และเธอต้องทำให้เขารักเธอ เธอไม่รู้ว่ามันมีเหตุผลอะไรที่เธอต้องทำแบบนั้น มันเป็นเพราะเขาช่วยเธอไว้? เพราะเขาเป็นผู้มีพระคุณ? หรือเพราะชีวิตเธอกลายเป็นของเขาแล้วกันแน่?
ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ เธอก็ยังไม่ได้เจอหรือแม้แต่พูดคุยกับเขาเลย เธอยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าการเป็นเมียของเขาจะต้องทำยังไงบ้าง? ไม่รู้แม้กระทั่งว่าจะทำยังไงให้เขาพึงพอใจ ไม่ต้องถามถึงวิธีที่จะทำให้เขารักเธอได้เลย เธอไม่มีไอเดียเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย
“เห้อ!” เด็กสาวลุกขึ้นมานั่งบนเตียง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ในห้องนี้มันอุดอู้เกินไปแล้ว มันทำให้เธอหายใจไม่ออก เธออยากจะออกไปสูดอากาศข้างนอก จึงลุกจากเตียง ออกจากห้องมาทั้งชุดนอนลายลูกไม้สุดเซ็กซี่ที่ศศิเป็นคนเลือกให้ แต่เมื่อออกมาที่หน้าห้อง เธอกลับได้พบปราณนต์ที่กำลังออกจากห้องนอนของเขามาพอดี
“นาย?”
“...” ชายหนุ่มนิ่งงัน สอดสายตามองร่างบางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เพ่งเล็งที่ชุดนอนสุดวาบหวิวของเธอ
“นายยังไม่นอนเหรอคะ?”
“ใส่ชุดบ้าอะไร?” เขาไม่สนใจคำถามของเธอ แต่กลับถามคำถามใหม่ออกไปด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่พอใจ
“นายไม่ชอบเหรอคะ? คุณศศิบอกว่านายชอบชุดแบบนี้”
“ศศิ!”
“ถ้างั้น...หนูจะเข้าไปเปลี่ยน” เด็กสาวรีบหันหลัง เตรียมจะกลับเข้าไปในห้อง ทว่าเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าชุดที่ซื้อมาทั้งหมด มันก็มีแต่ชุดแบบนี้ จะต่างกันก็แค่ดีไซน์กับสีของมันเท่านั้น “เอ่อ”
“ทำไม?”
“คุณศศิเลือกมาแต่แบบนี้ค่ะ ไม่มีชุดแบบอื่นเลย”
“แล้วออกมาจากห้องทำไม?”
“นอนไม่หลับค่ะ” เขาถามมา เธอก็ซื่อพอที่จะตอบตามความจริง
“ทำไมนอนไม่หลับ?”
“เพราะคิดมากค่ะ”
“คิดอะไร?”
“คิดเรื่องนายค่ะ”
“คิดเรื่องฉันทำไม?”
“...” ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคนซื่อ แต่ก็พอจะรู้ว่าอะไรที่ควรพูดหรือไม่ควรพูด
“ตอบ!”
“ฮึก!” แล้วเมื่อเขากระแทกเสียงดัง เด็กสาวก็สะดุ้งด้วยความกลัว
“ตอบมาว่าเธอคิดอะไรเกี่ยวกับฉัน?!”
“ทำไมนายต้องขึ้นเสียงด้วยคะ? หนูไม่ชอบ...”
“?” ปราณนต์ถึงกับนิ่งไป เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้ามาบอกกับเขาตรงๆว่าไม่ชอบอะไร
“การขึ้นเสียงใส่คนอื่นมันไม่ดีนะคะ”
“งั้นก็บอกมาว่าเธอคิดอะไร” เขาปรับเสียงให้เรียบนิ่งลงในทันที
“บอกไม่ได้ค่ะ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของหนู” เด็กสาวเม้มปากสนิทแน่น หลุบตามองต่ำ ขณะนั้นร่างสูงก็เดินเข้ามาใกล้เธอ...ใกล้มากจนแทบไม่เหลือระยะห่าง เขาโน้มใบหน้าลงไปใกล้ จนได้กลิ่นหอมอ่อนๆของแชมพูครีมอาบน้ำจากตัวเธอ “นะ...นาย?”
“เธอเป็นของฉัน ไม่มีสิทธิ์มีเรื่องส่วนตัว บอกแล้วไง...ว่าฉันเป็นเจ้าของชีวิตเธอ บอกมาว่าเธอคิดอะไร”
“นาย...ถอยออกไปได้ไหมคะ?”
“บอกมา”
“ถอยออกไปก่อนค่ะ นายเข้าใกล้หนูมากเกินไปแล้ว”
“ฉันเข้าได้มากกว่านี้อีก ถ้าอยากจะเข้า เพิ่งบอกไปนี่...ว่าเธอเป็นของฉัน”
“แต่...”
“จะบอกไม่บอก? หรืออยากให้ฉัน...เข้าใกล้มากกว่านี้?” หัวใจของคนตัวเล็กเต้นรัวขึ้นมาเมื่อคนตัวสูงเชยคางกลมมนให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา ปลายจมูกของเขาและเธอสัมผัสกัน เรียวปากเกือบจะแตะกัน อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นเอง เพียงชั่วลมหายใจเท่านั้น...
“บอกค่ะ! บอกแล้วก็ได้...” แสนรักรีบเบือนหน้าหนี เธอเกือบจะเสียจูบแรกให้เขาไปแล้วเชียว
“ว่าไง”
“หนู...แค่...กำลังคิดว่าการเป็นเมียนาย ต้องทำยังไงก็แค่นั้นเองค่ะ”
“...” คำตอบของเด็กสาวทำเอาปราณนต์พูดอะไรไม่ออก
“หนูเข้าห้องก่อนนะคะ”
“เดี๋ยว!”
“คะ?”
“ไหนบอกว่านอนไม่หลับ?”
“ตอนนี้ง่วงแล้วค่ะ”
“ยังนอนไม่ได้ มานี่...” ว่าแล้วเขาก็คว้าข้อมือเล็ก แล้วพาเดินออกไปจากหน้าห้องอย่างรวดเร็ว
“นายจะไปไหนคะ?” และคำถามของเธอก็เปรียบเสมือนความว่างเปล่า เพราะเขาไม่คิดจะตอบ...
