สามี... ลืมไปแล้วหรือว่าเราหย่ากันแล้ว

141.0K · จบแล้ว
กัญจารีย์
82
บท
20.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ทะลุมิติมาเป็นภรรยาได้วันเดียวก็โดนสามีขอหย่า เพราะความจำเป็นหย่าแล้วจำต้องอาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกัน ทว่าเขายังทำท่าคล้ายหึงหวงเธออีก สามี… นี่เราหย่ากันแล้วนะ

นิยายรักโรแมนติกข้ามมิติแฟนตาซี นิยายย้อนยุคคนธรรมดามีลูกเหนือธรรมชาติ

ตอนที่ 1 ป่วยโรคประหลาด

รถยนต์คันสีดำเลี้ยวเข้าไปจอดในวัดแห่งหนึ่งแถบชานเมืองขอนแก่น วัดแห่งนี้เป็นวัดขนาดใหญ่มีผู้คนมาทำบุญไม่เคยขาด

ฝนทิพย์สาววัยสี่สิบก้าวขาลงจากรถทางฝั่งคนขับแล้วเดินไปพยุงร่างเพื่อนที่ฝั่งคนนั่งพลางเอ่ยถาม “แกแน่ใจนะว่าอยู่ได้”

           “แน่ใจสิฉันอยู่วัดนี้มาตั้งสิบห้าปีเชียวนะ” ปานตะวันตอบ เดิมทีเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่มีคนนำมาทิ้งไว้หน้าวัดแห่งนี้ เจ้าอาวาสจึงเอามาเลี้ยง หลังจากเรียนจบชั้นมอสาม เธอจึงออกไปทำงานส่งตนเองเรียนจนจบปวส. ชีวิตตกระกำลำบากเรียนรู้จากประสบการณ์ไปเรื่อย ๆ กระทั่งอายุยี่สิบแปดปีเธอกลายเป็นเจ้าของร้านขายขนมจีบและซาลาเปาชื่อดังแห่งหนึ่งในเมืองขอนแก่น ปานตะวันมีบ้านหลังใหญ่มีเงินเก็บเป็นล้านก็เพราะขายขนมจีบกับซาลาเปา

แต่เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกเมื่อจู่ ๆ เธอก็ล้มป่วยด้วยโรคประหลาดที่หมอยังระบุชื่อของโรคไม่ได้ รู้เพียงว่าตามร่างกายเธอมีตุ่มพุพองขึ้นเต็มตัว ร่างกายตอนนี้ซูบผอมเพราะกินได้น้อย ตอนนี้เธอป่วยมาสามปีแล้วเรี่ยวแรงจะเดินยังแทบไม่มี เธอรู้ตัวเองดีว่าเหลือเวลาอีกไม่มาก ก่อนจากโลกนี้ไปเธอจึงอยากกลับมาที่ที่เป็นเหมือนบ้านเธออีกสักครั้ง เพื่อทำจิตใจให้สงบสักสิบวัน และสมบัติของเธอทุกอย่างที่หามาได้ เธอก็ได้ยกให้กับวัดแห่งนี้ทั้งหมดแล้ว อีกทั้งเจ้าอาวาสที่เคยเลี้ยงเธอมาตั้งแต่เด็กก็มรณภาพไปแล้ว เช่นนั้นเธอจึงไม่มีอะไรให้ห่วงแล้ว

           ปานตะวันไม่เคยโทษชะตาตัวเองที่เธอเกิดมาไม่มีพ่อแม่ และต้องต่อสู้ดิ้นรนใช้ชีวิตมาเพียงลำพัง แถมยังมาป่วยด้วยโรคประหลาดเช่นนี้ เพียงแต่เธอสงสัยว่าตลอดเวลาตั้งแต่เล็กจนโตชีวิตเธอยังชดใช้กรรมไม่พออีกหรือ ถึงต้องให้เธอมาเป็นโรคนี้อีก

แต่ก็ช่างเถอะ! เมื่อชาตินี้เป็นเช่นนี้แล้ว ชาติหน้าหากได้เกิดเป็นมนุษย์อีก ก็ขอมีชีวิตที่ราบรื่นบ้าง เธอเหนื่อยเหลือเกินกับการต่อสู้มาเพียงลำพังเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไรเธอก็มีเพื่อนดี ในวันสุดท้ายของชีวิตยังมีฝนทิพย์อยู่เคียงข้าง

           ขณะที่ฝนทิพย์กำลังพยุงเพื่อนซึ่งนุ่งขาวห่มขาวเดินไปตามถนนคอนกรีตเล็ก ๆ เพื่อไปหาแม่ชีที่กำลังกวาดลานวัดอยู่ก็มีหญิงชราคนหนึ่งเดินผ่านมา และถามปานตะวันว่า “ซื้อกำไลไหมลูก” หญิงชราเอ่ยถาม ในถาดไม้ไผ่สานที่เธอถือมามีกำไลโบราณอยู่หลายอัน

           ปานตะวันซึ่งมีจิตเป็นกุศลชอบช่วยเหลือผู้อื่นเป็นปกติมาโดยตลอด พอเห็นยายแก่ ๆ ถือถาดกำไลมาจึงหยุดเดิน ถามออกเสียงแหบเครือ “ขายยังไงคะยาย”

           “อันละสองสลึง”

           “หือ? ยังมีของที่ราคาถูกขนาดนี้อยู่อีกเหรอคะ”

           “มันเป็นกำไลของหนูอยู่แล้วทำไมต้องขายแพง” ยายคนนั้นว่าหน้าตาเรียบเฉย

           “แต่หนูไม่มีเงินสองสลึงหรอกค่ะยาย” ปานตะวันล้วงเงินในกระเป๋าออกมาหนึ่งร้อยบาท “หนูซื้อยายด้วยเงินหนึ่งร้อยบาทได้ไหมคะ”

           “ได้ แล้วแต่หนูจะให้เถอะ”

           ว่าแล้วปานตะวันก็เลือกกำไลหัวบัวมาหนึ่งชิ้น ยายจึงพูดขึ้นว่า “สวมตอนนี้เลยนะ”

           “ค่ะ” ปานตะวันสวมกำไลใส่ในแขนอันเรียวเล็กของตนได้อย่างพอดิบพอดี

           หญิงชราพูดจบก็เดินห่างออกไป ฝนทิพย์จึงพูดออกมาเบา ๆ “กำไลอะไรราคาแค่สองสลึง”

           “นั่นน่ะสิ” พูดพร้อมกับเอี้ยวหน้ากลับไปมองทางที่ยายเพิ่งเดินไป แต่มองหาเท่าไรก็หาไม่เจอ “หายไปไหนแล้ว เดินไวจัง”

           “รีบไปเถอะ ยืนนานเดี๋ยวแกเป็นลม” ฝนทิพย์บอกเพื่อน

           ปานตะวันจึงเดินไปตามทางช้า ๆ แม้ในใจจะสงสัยว่ายายคนนั้นเดินหายไปไหนแล้ว

           ฝนทิพย์เดินมาส่งเพื่อนที่กุฏิของแม่ชีหลังหนึ่ง ก่อนกลับจึงบอกเพื่อนว่า “รับโทรศัพท์ด้วยนะ เดี๋ยวฉันโทร. หาทุกวัน”

           “จ้ะ”

           “อีกสิบวันมารับนะ” อย่างไรปานตะวันก็ต้องกลับไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลต่อ

           “โอเค” ทั้งที่ตอบโอเค แต่ปานตะวันรู้ดีว่าตนคงอยู่ได้ไม่ได้นานขนาดนั้น

           ปานตะวันใช้เวลานั่งสมาธิเจริญภาวนาอยู่ในวัดมาห้าวันแล้ว ตอนกลางวันสมองยังปลอดโปร่งโล่งสบาย แต่พอตกกลางคืนเมื่อหลับตาลงก็มักจะฝันเห็นภาพเรื่องราวต่าง ๆ ของใครหลายคนที่เธอไม่เคยรู้จัก เป็นภาพของสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งทะเลาะกันทุกวัน มีลูกชายหญิงทั้งสองร้องไห้มองดูพ่อกับแม่ทะเลาะกัน เธอต้องสะดุ้งตื่นกลางดึกทุกคืน แม้ร่างกายเหนื่อยล้าแค่ไหนยังนอนไม่หลับ

           “ทำไมต้องฝันแบบนี้ทุกครั้งเลยนะ” ปานตะวันพึมพำกับตัวเอง

           เข้าสู่คืนที่หก ปานตะวันฝันว่าหญิงชราที่เจอเมื่อหกวันก่อนมายืนมองเธออยู่ข้าง ๆ และพูดออกมาว่า “เราช่วยเจ้าได้แค่นี้ ที่เหลือก็แล้วแต่เวรแต่กรรมของเจ้าแล้ว” รอบกายผู้หญิงคนนั้นมีแสงสว่างทอประกายออกมา

           “ยายเป็นนางฟ้าเหรอคะ” เธอจำได้ว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือคนคนเดียวกันกับยายที่มาขายกำไลให้

           “อืม! วันนี้เรามาส่งเจ้าให้ไปอยู่ภพภูมิใหม่”

           “หนูตายแล้วเหรอคะ”

           “ใช่ หมดหน้าที่ของเราแล้ว เจ้าก็รีบเดินทางเถอะ”

           สิ้นคำร่างของหญิงชราก็เลือนหายไป ร่างของปานตะวันผวาเฮือกขึ้นมาคราหนึ่ง ก่อนจะสงบลงอีกครั้ง และคืนนั้นเธอก็หลับไม่ตื่นอีกเลยไปตลอดกาล

           วันต่อมาฝนทิพย์จึงมาหาเพื่อนที่วัด เพราะปานตะวันไม่รับโทรศัพท์ ในเวลาต่อมาจึงได้รู้ว่าเพื่อนเสียชีวิตแล้ว ฝนทิพย์จึงจัดการเรื่องฌาปนกิจศพที่วัดแห่งนั้นตามความต้องการของเพื่อนที่ได้สั่งเสียเอาไว้ในคราแรก