ตอนที่ 5 รักไม่ได้ หรือ ไม่ได้รัก [2]
ศรัญญามองเห็นรถยนต์คันหรูแล่นผ่านเข้าไปยังโรงจอดรถ เธอจึงเตรียมตัวลุกขึ้นจากโซฟาไปยืนหน้าประตูทางเข้าด้านหน้า วันนี้เขากลับบ้านเกือบสี่ทุ่ม เธอไม่ได้ใส่ใจว่าเขาจะไปทำอะไรที่ไหนนอกจากคงมีงานค้างจนทำให้ต้องกลับบ้านเวลานี้
“งานเพิ่งเสร็จเหรอคะ?” หญิงสาวเอ่ยปากถามสามีด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา
“ทำไม?” ชายหนุ่มถามกลับเสียงห้วน เธอทำเกินหน้าที่ๆ เขาต้องการอีกแล้ว
“ปะ...เปล่าค่ะ” เธอไม่เคยคิดจะจับผิดสักนิด
“ถ้าคิดว่ามันเป็นหน้าที่ต้องมาชะเง้อรอผัวกลับบ้านทุกวันก็เลิกทำซะ ฉันเคยบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ได้ร้องขอให้ทำ” อีกครั้งที่เขาต่อว่าชนิดไม่แคร์ความรู้สึก
“ไม่ใช่หน้าที่หรอกค่ะ ทรายเต็มใจ” หญิงสาวตอบตามตรง น้ำเสียงเริ่มสั่น เกลียดตัวเองเหลือเกินที่อ่อนแอเสมอ
“ฮึ! เต็มใจ” เขาแค่นเสียงคล้ายไม่เชื่อ
“คุณอิชย์ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรค่ะ” พูดจบหญิงสาวก็ตรงเข้ามาหยิบเสื้อสูทในมือของสามี แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเจ้าตัวเบี่ยงกายหลบ
“ไม่ต้อง” นอกจากไม่แคร์แล้วเขายังเดินไปทางบันไดทางขึ้น ปล่อยให้คนไม่เจียมหัวใจมองตาม เจ็บกี่ครั้งเธอก็ไม่เคยจำ
มือเล็กปิดประตูห้องนอนลงตามหลังเขาไม่กี่นาที จากนั้นศรัญญาก็เห็นว่าสามีจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเอาผ้าเช็ดตัวมาพันไว้รอบเอวสอบ หญิงสาวเลี่ยงที่จะพูดอะไรออกไป นอกจากเดินไปเก็บชุดทำงานที่เขาถอดทิ้งไว้ลงตะกร้าหนังสือนวนิยายถูกนำมาอ่านบนเตียงเพื่อฆ่าเวลา ปกติเธอไม่ใช่คนนอนเร็วอยู่แล้ว ทั้งที่จริงจะนอนก่อนย่อมได้ เพราะทุกวันนี้เขาและเธอก็ใช้ชีวิตราวกับต่างคนต่างอยู่
~vill vill~
คุณอิชย์ วิวกำลังเข้านอนแล้วค่ะ
~vill vill~
ขอบคุณสำหรับวันนี้นะคะ
~vill vill~
ฝันดีค่ะ
เธอไม่ได้ตั้งใจจะยุ่งเรื่องของเขา แต่เสียงเตือนจากเครื่องมือสื่อสารที่วางอยู่บนหัวเตียงดังขึ้นส่งผลให้อดที่จะสนใจไม่ได้ แม้จะไม่ถือวิสาสะเข้าไปเปิดอ่าน ทว่าแจ้งเตือนบนหน้าจอโชว์ขึ้นพร้อมข้อความที่ส่งมาทำเอาเธออึ้ง ยิ่งมีEmoส่งจูบพร้อมหัวใจมาด้วย คำว่าจุกและเจ็บจนร้องไม่ออกเป็นแบบนี้นี่เอง
“คุณอิชย์ไปเจอคุณวิวมาเหรอคะ?” เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องน้ำเปิดออกมา ศรัญญาจึงตัดสินใจถาม
“เธอรู้ได้ยังไง” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน แปลกใจที่เธอรู้ นักข่าวสมัยนี้จะไวขนาดนั้นเชียวเหรอ
“คุณวิวเธอส่งข้อความมาหาคุณค่ะ” น้ำเสียงที่ตอบเต็มไปด้วยความขมขื่น เขาไม่คิดจะปฏิเสธให้เธอรู้สึกสบายใจสักนิดเดียว
“นี่เธอยุ่งเรื่องส่วนตัวฉันอีกแล้วนะทราย” เท่านั้นความโกรธก็เข้าครอบงำทันที เขาไม่ใส่ใจว่าตัวเองจะผิดหรือถูกความรู้สึกไม่ชอบใจที่อีกฝ่ายยุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวแล่นพล่านเข้าโสตประสาทจนยากจะระงับอารมณ์
“ทรายไม่ได้ตั้งใจจะยุ่งหรอกค่ะ แต่ตาทรายมันไปเห็นเอง” เธอเชิดหน้าตอบ แม้จะเสียใจจนแทบพูดไม่ออก ที่เธอนั่งรอเขาค่อนคืนค่อนวัน ในขณะที่เขาออกไปกับผู้หญิงคนอื่น หนำซ้ำยังมาสั่งให้เธอเลิกติดต่อกับพี่ภูมิทั้งๆ ที่ตัวเขาเองยังทำ
“อย่าให้ฉันหมดความอดทนกับเธอ” เจ้าของเสียงเข้มตะคอกใส่
“คุณอิชย์จะทำอะไรทรายเหรอคะ?” ความเสียใจทำให้เธอกล้าจะถามกลับไปอย่างถือดี
“เธอก็แค่ผู้หญิงที่แม่ฉันต้องการให้แต่งงานด้วย เธอคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์อะไร”
“แต่ทรายเป็นภรรยาคุณค่ะ” หญิงสาวเถียงทั้งน้ำตา
“แล้วไง! เธอคิดว่าตัวเองจะสั่งฉันได้ทุกเรื่อง” อิชย์ว่าใส่หน้าคนไม่เจียมตัว
“ทรายยอมคุณทุกอย่าง คุณช่วยเห็นใจทราย รักทรายบ้างได้ไหมคะ” เธออ้อนวอนลืมอาย ร้องขอความรักจากผู้ชายที่ไม่เคยเห็นเธออยู่ในสายตา
“ให้ฉันรักเธอ ชาติหน้าก็ไม่มีวัน” ชายหนุ่มเย้ยหยันไม่ไว้หน้า กล้าแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก ก็ต้องกล้ายอมรับความเจ็บปวด
“ทรายทำอะไรให้คุณ ทำไมต้องทำกับทรายแบบนี้” เธอพูดไปร้องไห้ไปอย่างคนสิ้นศักดิ์ศรี รักคนที่เขาไม่รักเราว่าเจ็บแล้ว คนตรงหน้ามีสถานะเป็นสามีอย่างถูกต้องตามกฎหมายแต่กลับถูกพูดใส่หน้าว่า ‘เกลียด’ มันเจ็บยิ่งกว่า
“ฉันเกลียดพวกแต่งงานเพราะเงินแบบเธอไง” คนใจดำตะคอกใส่หน้า
“ทรายไม่เคยเห็นแก่เงินของคุณ” หญิงสาวเถียงทั้งน้ำตา
“เธอไม่เห็นแต่พ่อเธอเห็นศรัญญา” คราวนี้ชายหนุ่มยิ่งเสียงดังเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวไม่ยอมรับความจริง
“ไม่จริง คุณพ่อไม่ใช่คนแบบนั้น” พอพูดถึงผู้ให้กำเนิดเธอยิ่งทนไม่ได้ที่จะให้เขามาต่อว่าท่าน ตลอดเวลาที่เติบโตมาก็มีบิดาเพียงคนเดียวที่ดูและเอาใจใส่มาตลอด
“ที่เธอมาเถียงฉันอยู่ก็เพราะรวมหัวกับพ่อสินะ” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเต็มไปด้วยความสมเพชและดูถูก
“ถ้าทรายมันเลวจนทำให้คุณรังเกียจขนาดนี้ เราหย่ากันก็ได้ค่ะคุณอิชย์” ความอดทนของเธอสิ้นสุดลงทันที ไม่มีอะไรต้องเจ็บไปมากกว่านี้อีกแล้ว
“มาขอหย่าตอนนี้ เธอยังโกบโกยไปไม่คุ้มเลยนะ เอาให้ครบปีเลยสิ เผื่อจะได้บ้านสักหลัง รถอีกสักคัน” อิชย์ตอกกลับเสียงดัง พอได้ยินเธอพูดคำว่าหย่ายิ่งโมโหจนเกือบจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
“คุณจะดูถูกทรายไปถึงไหน” พอขอหย่าจริงๆ เขากลับไม่ยอม
“ฉันดูถูกมันก็ดีแล้วไง จะได้ตามเล่ห์เหลี่ยมเธอทัน” ชายหนุ่มยังไม่วายตอกย้ำ และก่อนจะหมดความอดทนทำอะไรเขาตัดสินใจเดินออกจากห้อง ปล่อยให้อีกคนมองตามน้ำตานองหน้า ความอ่อนแอที่เธอแสดงคงทำให้เขามองว่ามันเป็นเรื่องเสแสร้ง ทั้งที่จริงเธอเกือบจะยืนไม่ไหว แต่ละคำที่เขาพูดมาเหมือนมีดกรีดลงกลางหัวใจ เธอสัญญากับตัวเองว่าสักวันต้องเข้มแข็งกว่านี้
เช้าวันศุกร์สุดสัปดาห์บนโต๊ะอาหารที่วันนี้มีเพียงประมุขของบ้านและบุตรชาย หญิงสูงวัยเองก็ไม่คิดเอ่ยถามถึงสะใภ้ในขณะที่กำลังยกถ้วยกาแฟขึ้น ตั๋วเครื่องบินสองใบถูกยื่นมาตรงหน้า อิชย์มองด้วยความงุนงงกับสิ่งที่มารดาต้องการสื่อ หากเป็นเรื่องประชุมหรือติดต่องานท่านต้องบอกล่วงหน้าทุกครั้ง
“แม่จะให้ผมไปไหนครับ”
“พาเมียแกไปพักผ่อนที่ต่างจังหวัดสักสองสามวันสิ ตั้งแต่แต่งงานแกยังไม่เคยพาแม่นั่น เอ่อ พาเมียไปไหนเลยนี่” สุจินดากล่าวหลังจากจัดการจองตั๋วเครื่องบินให้ลูกชายและลูกสะใภ้ จุดหมายปลายทางคือทะเลทางภาคใต้ที่บรรดาเพื่อนๆ แนะนำมา
“ผมไม่อยากไป” ชายหนุ่มปฏิเสธ
“อย่าขัดคำสั่งแม่นะอิชย์ แม่บอกแล้วไงว่าแกต้องมีหลานให้แม่” หญิงสูงวัยสั่งลูกชายเสียงเข้ม ถึงไม่ได้ชอบลูกสะใภ้คนนี้แต่นางก็อยากจะมีหลานไว้อุ้มในวัยใกล้ฝั่ง
“ทำไมแม่ต้องบังคับผมทุกอย่าง ผมตามใจแม่ยอมแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นมันก็มากพอแล้วครับ” สิ้นเสียงชายหนุ่มก็ลุกจากเก้าอี้ออกไปอย่างหัวเสีย
“คิดว่าฉันอยากบังคับแกนักหรือไง” สุจินดาพูดตามหลังลูกชายไปด้วยความหงุดหงิดเพราะถูกขัดใจเช่นกัน
‘ลูกชายคุณพาลูกผมไปฮันนีมูนมาหรือยัง’ ศรัญถามหญิงสูงวัยผ่านทางเครื่องมือสื่อสาร เขาเลือกที่จะไม่ถามลูกสาวโดยตรง
‘แกจะทำไม’ สุจินดาถามกลับไปเสียงลอดไรฟัน รู้ทั้งรู้ว่าปลายสายเป็นต่อตนเองก็ยิ่งแค้นใจหนัก
‘ไม่ทำไมหรอกครับ อย่าลืมแล้วกันว่าผมทำให้คุณพังได้ทุกเมื่อ’
'แกขู่ฉันอีกแล้วนะ’ น้ำเสียงที่ตอบกลับเต็มไปด้วยอารมณ์เดือดดาล
‘ถ้าไม่ทำแบบนี้ ผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าคุณกับลูกชายจะไม่รังแกลูกสาวผม’ ชายสูงวัยเลือกที่จะใช้วิธีนี้ อะไรที่ลูกมีความสุขคนเป็นพ่อย่อมต้องการมอบให้
‘สักวันแกจะรู้สึกที่กล้าทำแบบนี้กับคนอย่างฉัน’
‘ผมไม่สนใจ ถ้าภายในอาทิตย์นี้คุณไม่ทำในสิ่งที่ผมต้องการ ผมก็ไม่รับรองในสิ่งที่คุณเคยทำไว้เหมือนกัน’ พูดจบอีกฝ่ายก็ตัดสายทิ้งทันที
‘ไอ้...ไอ้เลว’ หญิงสูงวัยกัดฟันกรอด แค้นจัดกับคำขู่ ถ้าไม่เพราะเห็นแก่หน้าและภาพลักษณ์ของตัวเอง อย่าหวังเลยว่าจะยอมให้ขนาดนี้
