7.ความเจ็บแสบของความรู้สึก Ep4
“เฉลา เฉลา..”
เมื่อเดินมาได้ครู่ใหญ่ รักษ์สิยาก็มองไปรอบตัวเมื่อมองไม่เห็นเฉลา แม้จะร้องเรียกก็เงียบกริบ ทำให้เธอรีบเดินต่อไปอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง ขอเพียงมองเห็นว่าเป็นทางที่เหมือนมีการสัญจรเธอก็รีบเดินไปทันที
แต่จนแล้วจนรอด เธอก็ไม่สามารถจะมองเห็นเฉลา และไม่อาจจะมองเห็นใครแม้แต่สิ่งมีชีวิต เพราะเส้นทางที่เธอเดินอยู่มันเป็นป่าทึบและรกชัฏ
“เฉลาจ๊ะ เฉลา เธออยู่ไหน..เฉลา..”
จากเช้า เลื่อนไปจนสาย เลยไปจนตะวันตรงศีรษะแล้วบ่ายคล้อย จนกระทั่งความมืดเข้ามาเยือน รักษ์สิยาก็ยังพยายามที่จะคลำทางไป แม้ต้องล้มลุกคลุกคลานไปตลอดก็ตาม
จนกระทั่งเธอรู้สึกเหนื่อยล้า จึงนั่งเอนหลังพิงต้นไม้แล้วหอบหายใจถี่ ราวกับจะขาดใจ อีกทั้งความหวาดกลัวก็แล่นเข้ามาครอบครองความรู้สึกของเธอ เมื่อแว่วได้ยินเสียงเหมือนเสียงสัตว์
เธอยกมือกอดอกเมื่ออากาศเย็นลง ทั้งหิวทั้งกลัว แล้วยิ่งหวาดหวั่นเมื่อสำเหนียกได้ว่า ในยามค่ำคืนอาจจะมีสัตว์ที่ออกหาเหยื่อ หาอาหาร สิ่งแรกที่เธอนึกถึงคือ..งู..เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่เธอกลัวสุดชีวิต
“เฉลา เธออยู่ไหน เฉลา..”
เธอพยายามร้องเรียกแต่ไม่กล้าแม้แต่จะขยับออกจากที่
“คุณ นายหัว นายหัวคะ..คุณกีรติ คุณกีรติคะ ได้ยินไหมคะ คุณกีรติคะ..”
รักษ์สิยาตัดสินใจร้องเรียกเขา เพราะคิดว่าเขาน่าจะส่งคนออกติดตามค้นหาเธอ หลังจากที่เธอหายไป
--------------------------------------------------------
“นายหัวคะ ดึกมากแล้วนะคะ ทำไมยังไม่เห็นนายผู้หญิงตามเฉลามาเลยล่ะคะ..”
เฉลาตัดสินใจร้องถามเขาหลังจากที่เดินวนไปวนมาอยู่นาน แต่ก็เห็นเขานิ่งเงียบ
“ภูเขาลูกนั้น กลางคืน..มันน่ากลัวมากไม่ใช่หรือคะนายหัว..”
“มันเป็นเขตของนายหัว จะมีอันตรายอะไรเล่าเฉลา..”
สุกิจหันไปบอกเฉลาเบา ๆ อย่างระมัดระวัง
“ไม่ใช่ว่าจะกลัวใครไปทำร้ายนายผู้หญิง แต่ฉันหมายถึงสัตว์..”
เฉลาหันมามองหน้านายสุกิจชายวัยเกือบสี่สิบปี ที่หันไปมองใบหน้าด้านข้างของผู้เป็นนายนิ่ง
“ภายในวันสองวันนี้อาจจะมีแขกไม่ได้รับเชิญมาที่บ้าน ถาวรจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วใช่ไหม..”
“ครับนายหัว..”
นายถาวรที่เป็นมือขวาของเขาตอบเมื่อก้าวเข้ามาใกล้
“ผมสั่งทุกคนไว้แล้วว่า นายหัวพานายผู้หญิงไปฮันนีมูน ไม่มีกำหนดกลับ และได้สั่งปิดบ้านนั้นอย่างดีหลังจากที่แขกไม่ได้รับเชิญกลับไป..”
“ให้ทุกคนปิดปากด้วย ไม่ว่าใครจะถามถึงฉันหรือใคร และที่สำคัญ..”
เขาหันมามองหน้านายถาวรตรง ๆ
“อย่าให้นายแม่รู้เรื่องนี้..”
“เรื่องที่มีแขกมาหาหรือครับ..”
“ใช่..รวมทั้งเรื่องที่ฉัน มาอยู่ที่นี่ ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปไม่ว่ากับใคร และที่สำคัญ อย่าให้ใครพูดถึงเธอ ให้ทำเหมือนเธอคือคนงานใหม่ของที่นี่..”
นายถาวร สุกิจและเฉลารับคำ
“ไปไหนครับนายหัว..”
สุกิจร้องถามเมื่อเห็นเขายืนเงียบอยู่อีกพักใหญ่แล้วก็ทำท่าเหมือนจะออกจากที่พัก
“ไม่ต้องตาม..ฉันจะไปเพียงลำพัง..”
หันมามองหน้านายสุกิจก่อนจะเดินฝ่าความมืดออกไป
“ทำไมนายหัวไม่ให้ตาม..”
สุกิจเอ่ยถามทำให้นายถาวรก้าวมายืนใกล้ ๆ เมื่อมองตามร่างสูงใหญ่ของเขาที่กำลังมุ่งหน้าสู่ภูเขาสูงชันที่รกชัฏ
“คงจะไปหานายผู้หญิง..”
“ทำไมนายหัวเพิ่งไปหาล่ะ ทั้งที่นายผู้หญิงพลัดหลงกับฉันตั้งแต่ตอนสาย..”
“ก็ทำไมเธอไม่หันกลับไปตามหาล่ะ..”
เฉลาก้มหน้านิ่ง
“ฉันกลัวนายหัวจะลงโทษหากฉันมาไม่ทันภายในเวลาที่นายหัวกำหนด แล้วคิดว่า นายผู้หญิงคงจะตามมาทัน..”
“พวกเราเคยชินกับสภาพแถวนี้ แต่นายผู้หญิงคงไม่ใช่..”
“ผู้หญิงที่อ้อนแอ้นอรชรอย่างนั้น จะฝ่าด่านนายหัวไปได้หรือเปล่าก็ไม่รู้..”
“ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมนายหัวต้องเลือกเมียด้วยวิธีการประหลาดแบบนี้ อยากจะหาผู้หญิงที่อดทนหรือสมบุกสมบันเก่งก็น่าจะหาจากที่นี่ ไม่น่าจะไปหาจากกรุงเทพฯ..”
ทั้งสุกิจและถาวรต่างหันมามองหน้าเฉลาที่รีบเดินออกไปจากที่นั่น
-------------------------------------------------------------
เมื่ออากาศเริ่มเย็นลง อีกทั้งลมยังพัดแรงทำให้เกิดเสียงการเสียดสีของกิ่งไม้และใบไม้ ฟังดูผิวเผินก็เพลินดี แต่ในเวลานี้ รักษ์สิยารู้สึกว่าความกลัวมันมีมากกว่าความรู้สึกอื่นใด เธอไม่ได้เกิดความยินดีในธรรมชาติเลยแม้แต่น้อย เพราะมันทั้งหนาว ทั้งหิวและทั้งกลัว
สายตางามพยายามสอดส่ายฝ่าความมืด แม้ว่าเดือนจะหงายพอจะให้เธอเห็นอะไรได้บ้าง แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความกลัวของเธอลดน้อยลง ยิ่งทำให้เธอกลัวมากขึ้นเมื่อมองเห็นอะไรบางอย่างตะคุ่ม ๆ ใกล้เข้ามาพร้อมเสียง..กอกแกก ๆ
เธอขยับร่างหลบเข้าหลังต้นไม้ที่อาศัยเอนอิงหลัง สายตางามยังคงจับนิ่งอยู่ที่ความเคลื่อนไหวที่ใกล้เข้ามา ประกอบกับเสียงที่ดังเหมือนฝีเท้าที่เหยียบย่ำไปบนพื้นที่มีใบไม้แห้งอยู่เหนือแผ่นดิน
เมื่อเสียงเริ่มใกล้เข้ามา ทำให้เธอยิ่งกลัวจนต้องขยับร่างหลบลึกเข้าไปพลางโน้มใบหน้าลง แต่ว่า มันเหมือนมีบางอย่างที่กำลังเคลื่อนที่ไต่ขึ้นมาบนร่างของเธอ ช้า ๆ
มันลื่นแล้วเคลื่อนที่ยาวผ่านขา ไต่ขึ้นมาที่เอว เคลื่อนไปที่หลัง มันกำลังจะเลื่อนสูงขึ้นไปที่คอ เพียงแค่นึกว่ามันคืออะไร ความอดทนทั้งหมดก็หยุดลงอย่างฉับพลัน เมื่อรักษ์สิยาขยับตัวลุกพรวด
...กรี๊ดดดดด..
เธอกรีดร้องสุดเสียงพร้อมกับวิ่งออกจากที่หลบซ่อน มุ่งไปด้านหน้าอย่างไม่คิดชีวิต จนลืมนึกถึงไปเลยว่า มีสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวอยู่ด้านหน้าที่ทำให้เธอต้องหวาดกลัวอีกครั้ง
เมื่อร่างบางระหงวิ่งชนเข้ากับสิ่งนั้นอย่างแรงจนร่างบางกระเด็นหงายออกมา ความหวาดกลัวและตกใจจากสิ่งมีชีวิตที่พลาดผ่านลำตัวของเธอค่อย ๆ เลือนหายไป แต่ความเคลื่อนไหวตรงหน้าทำให้เธอจำต้องรนรานถอยหนีทั้งที่ร่างบางแนบซบอยู่กับพื้น
“ไม่ ไม่ ฉันกลัวแล้ว ฉันกลัวแล้ว ช่วยด้วย ช่วยด้วย..”
เธอหลับหูหลับตาร้องด้วยความหวาดกลัว ทันใดนั้นเอง แสงไฟก็ส่องสว่างขึ้น
“ตามฉันมา..”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ดังอยู่นั้นปลุกให้เธอตื่นจากความหวาดกลัวสุดชีวิต เพ่งสายตามองตรงไปยังเบื้องหน้า เธอเห็นเขาถือไฟฉายกระบอกใหญ่แล้วกำลังหันหลังเดินห่างออกไป เพียงเท่านั้นเธอไม่รอช้ารีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตามเขาไปทันที
“รอด้วยค่ะนายหัว รอด้วย..”
เธอร้องบอกเขาทั้งที่ยังวิ่งแทบไม่หยุด แต่เขาก็ยังไม่ยอมหยุดยังคงเดินต่อไป ทำให้เธอรีบเร่งฝีเท้า สายตามองไปที่ร่างของเขาจนไม่ได้ดูที่เท้า เมื่อจังหวะที่เธอก้าว หากเธอก้าวสูงอีกนิดก็จะพ้น แต่เพราะความอ่อนล้า ทำให้เท้าเรียวสะดุดกับรากไม้เข้าอย่างจัง
“โอ๊ย!!..”
ร่างบางถลันกลิ้งคะมำไปเบื้องหน้า ฝ่ามือทั้งสองไถลไปกับพื้นเมื่อยื่นขึ้นค้ำยัน มันไปสัมผัสเข้ากับกิ่งไม้แห้งที่ตกลงมาจากต้น จนเลือดไหลซึมออก
เสียงนั้นทำให้ปลายเท้าเรียวหนักหยุดก่อนจะขบกรามแน่นเมื่อรู้ดีว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอสักอย่าง ใจของเขาอยากจะเดินต่อไปแล้วทิ้งให้เธอเดินตาม
“เป็นอะไรไป..”
เขาค่อย ๆ หันกลับมาแต่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
“ฉันสะดุดอะไรไม่ทราบค่ะ..”
เธอค่อยยันกายลุกแล้วร้องบอกเขา หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะกลับมาช่วยพยุงให้เธอลุกขึ้น แต่เปล่าเลย เขาเพียงแค่ส่องไฟมามอง
“ลุกขึ้น แล้วตามมา..”
“นายหัวคะ?..”
เขาเตรียมจะหันหลังเธอจึงเรียกเขา เพราะรู้สึกเจ็บที่ข้อเท้าอย่างมาก
“มีอะไร..”
“ฉันลุกไม่ขึ้นค่ะ ปวดที่ข้อเท้ามาก ที่มือก็แสบ..”
“จะให้ฉันอุ้มเธอไปหรือ..”
คำถามนั้นทำให้เธอนิ่งงัน ก่อนจะพยายามที่จะทรงกายยืนด้วยความยากลำบาก แต่พอยืนได้ เมื่อขยับจะก้าวเดินก็ต้องทรุดลงอีกครั้งพร้อมกับยื่นมือไปบีบนวดที่ข้อเท้าข้างหนึ่ง
พฤกษ์ เดินกลับมาพร้อมกับหันไปจับกิ่งไม้ที่ยังสด เขาฉวยเอามีดที่เหน็บอยู่ด้านหลังของเขาออกมาแล้วตัดไม้กิ่งนั้นโยนมาให้เธอ ก่อนจะหันหลังเดินห่างออกไป
“ใช้ไม้นั่นพยุงตัวขึ้น..”
เขาบอกเธอโดยไม่ยอมหันมามอง แต่เธอก็ยอมทำตามด้วยการหยิบไม้นั้นมาพยุงตัวก่อนจะค่อย ๆ ก้าวเดิน แต่เขากลับเดินจ้ำไปเบื้องหน้าอย่างไม่คิดจะสนใจ ทำให้เธอรีบเร่งที่จะเดินให้ทันเขา แต่ก็พลัดเมื่อกิ่งไม้ที่เธอใช้ค้ำยันร่างมันปักลงไปในหลุมเล็ก ๆ อาจจะเป็นที่ชื้นแฉะมีน้ำขัง มันจึงทรุดทำให้ร่างบางเสียหลักล้มลง
“โอ๊ย!!..”
เสียงร้องนั้นทำให้เขาหยุดกึกก่อนจะหันกลับไปพร้อมกับสาดแสงไฟส่อง เห็นเธอล้มอยู่กับพื้น มันทำให้เขาขบกรามแน่น ใจหนึ่งก็อยากจะเข้าไปแล้วช่วยเธอให้ลุกขึ้นพากลับไปยังบ้านพัก แต่อีกใจก็อยากจะให้เธอรับรู้ถึงความเจ็บปวดทรมาน ให้สาสมกับบาปเวรที่เธอทำให้พ่อของเขาต้องตาย
“หากเธอขืนชักช้าแบบนี้ อาจจะเจอสัตว์ร้ายที่ออกหากินตอนกลางคืน เมื่อถึงเวลานั้น แม้แต่ตัวเธอก็จะต้องกลายไปเป็นอาหารของพวกมัน..”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ก็ทำให้เธอนึกถึงสัตว์เลื้อยคลานตัวนั้น จึงรีบยันกายลุกนั่งแล้วใช้ไม้เท้าค้ำยันรีบเดินตรงมาหาเขา แต่เขาก็ไม่ยอมรอ ก้าวเดินต่อไป
“รอด้วยค่ะนายหัว รอด้วย..”
เธอร้องเรียกเขา แต่เขาก็เพียงแค่รับฟังแต่ไม่ยอมหยุด
“คนใจร้าย..ใจดำ..”
เมื่อรู้สึกว่าที่เท้ามันทั้งเจ็บทั้งปวดจนระบมแทบจะเดินไม่ไหว เธอก็ตะโกนไล่หลังเขาพลางสะอื้นไห้เบา ๆ ทำให้เขาหยุดแล้วหันมามอง พร้อมกับส่องไฟมาหา
“การที่คุณไปสู่ขอผู้หญิงมาเป็นภรรยา แล้วดูแลเธอด้วยวิธีนี้หรือคะ..”
“สำหรับผู้หญิงที่ดี ที่ผู้ชายปรารถนาจะเอามาทำเมีย แน่นอนเขาต้องดูแลเธออย่างดี..”
“แล้วทำไมคุณทำกับฉันแบบนี้ล่ะคะ..”
“ฉันทำอะไรเธอ ฉันยังไม่ได้แตะต้องเธอแม้แต่ปลายก้อยด้วยซ้ำ..”
เธอเม้มปากแน่น ใช่ เขาไม่ได้แต่ต้องเธอแม้แต่ปลายก้อย แต่การกระทำของเขาในระยะห่างนี่แหละที่ทำให้เธอไม่พอใจอย่างมาก
“หรือจะให้อุ้ม..เอาอย่างนั้นหรือ..”
เมื่อเขาย้อนคำถามมาอีกครั้งทำให้เธอจำใจก้าวเดินต่อไปทั้งที่รู้สึกปวดจนร้าวไปทั่วทั้งขา
“ไปสิคะ..”
เมื่อเดินไปหยุดใกล้ ๆ เขาเธอก็มองหน้าเขาแล้วร้องบอก
“ออกหน้า..”
เขาหลีกทางพร้อมกับส่องไฟไปด้านหน้าทำให้เธอก้าวเดินด้วยความยากลำบาก โดยมีเขาเดินตามแล้วทำหน้าที่ส่องไฟให้
“ซ้าย..”
เขาร้องบอกเมื่อมาถึงทางแยกที่จะขึ้นเขาอีกลูกและเป็นทางลาดลงเขา
“ฉันไม่รู้ทางนี่คะ..”
“เวลาฉันออกหน้าเธอก็ตามไม่ทัน อ้างโน่นอ้างนี่ พอให้ออกหน้าเธอก็บอกไม่รู้ทาง สรุปว่าจะเอาอย่างไง..”
เขาก้าวมาหยุดตรงหน้าแล้วพูดออกมาอย่างติดรำคาญ
“คุณก็เดินออกหน้าสิคะแต่รอฉันบ้าง ฉันเดินไม่ค่อยถนัด เพราะว่าเจ็บที่ข้อเท้าตอนนี้มันลามไปทั่วทั้งขา แล้วที่มือก็..”
“ฉันไม่อยากรู้อาการของเธอ ฉันไม่ใช่หมอ ไม่จำเป็นต้องอธิบายถึงอาการของเธอให้ฉันฟัง..”
เขาตัดบทพร้อมกับก้าวเดินนำหน้าแล้วก็ไม่ยอมรอเธอ จนกระทั่งเขาผ่านทางลาดชันที่จำเป็นต้องกระโดดข้ามเพราะมันเป็นรอยต่อของเขาสองลูก หากพลัดตกลงไปก็ยากจะรอดชีวิต
เขาขบกรามแน่นเมื่อหันไปมองเธอที่กำลังเดินตามมาแล้วก็หยุดกึกตรงรอยต่อนั้น เธอมองหน้าเขา พลางมองรอยต่อที่เป็นเหวลึกนั้นอย่างชั่งใจ
“มัวมองอะไรอยู่..ส่งมือมา..”
เขาร้องบอกพร้อมกับยื่นมือไปให้เธอ ที่ค่อย ๆ ยื่นมือบางมาหามือใหญ่ของเขาที่รวบไว้แล้วกระตุกร่างบางของเธออย่างเร็วและแรงจนร่างบางของเธอเซถลาไปกับอกกว้างของเขา
ใบหน้าหวานละไมซุกซบกับอกกว้างที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ ในหัวใจรู้สึกหวาดหวั่นและสั่นไหวอยู่ลึก ๆ ไม่ต่างจากเขามากนักที่ได้สัมผัสกับเนื้อกายที่อ่อนนุ่มและหอมกรุ่นของกลิ่นสาบสาว ทำให้เขาต้องขบกรามแน่นก่อนจะผลักร่างบางออกห่างแล้วเตรียมจะเดินต่อ แต่เธอก็ทรุดกายลงพร้อมกับยกมือคลำที่ข้อเท้า
“โอ๊ย”
เขาหันกลับมาอย่างนึกรำคาญ
“อะไรอีกล่ะ..หรือนี่เป็นวิธีเรียกร้องความสนใจ..”
รักษ์สิยาเม้มปากแน่นก่อนจะค่อย ๆ ทรงกายยืนหยัดแล้วก้าวเดินด้วยการกางมือทั้งสองออก หวังว่าไม่ว่าจะเอียงด้านใด ก็จะทิ้งน้ำหนักตัวมาอีกด้านเพื่อให้มันสมดุลกัน
พฤกษ์มองดูท่าทางของเธอก่อนจะเดินต่อไปแล้วไม่หันกลับมาสนใจอีก เพราะเมื่อลงจากตรงนั้นมาจะเป็นทางเรียบริมหาดทราย เขาจึงเดินลงไปรอด้านล่าง แล้วก็ต้องวนไปวนมาอยู่พักใหญ่กว่าจะมองเห็นเธอเดินตามลงไป
“คนใจร้าย ใจดำ ฉันจะจำไว้..”
เธอคิดในใจเมื่อมองเห็นเขาแล้วก็รีบโขยกเขยกเดินมาใกล้
“เดินเลาะชายหาดไปอีกหนึ่งกิโล เฉลารออยู่..”
เขาบอกเธอแล้วก็เดินไปอีกทางทำให้เธอทำได้เพียงแค่มองตามไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แต่ก็จำเป็นต้องอดทนเดินตามทิศทางที่เขาบอกไปอีกหนึ่งกิโล เมื่อมาถึงก็ดีใจที่เห็นเฉลาวิ่งมาประคองแล้วพาเธอเข้าไปพักผ่อน
