4 ความกลัดกลุ้มใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่
ด้านคนที่เดินกลับมาบ้าน เมื่อมาถึงบ้านหลังเล็กที่อยู่ด้านหลัง ก็ตรงเข้าห้องของตัวเองทันที เพื่อสำรวจหน้าอกที่โดนหยิกและบิด
เมื่อเข้ามาแล้ว ก็รีบถอดเสื้อยืดที่สวมใส่อยู่ออกไม่รอช้า แล้วก็เห็นว่าตุ่มไตเล็กๆ ข้างที่ถูกกระทำ แดงช้ำไปหมด เลยอดที่จะซี๊ดปากออกมาด้วยความเจ็บปวดไม่ได้
“คุณภูนะคุณภู มาทำกันเสียได้” ชายหนุ่มส่ายหัวว่าให้ผู้ที่ทำตัวเองด้วยความอ่อนใจ ก่อนจะออกจากห้องไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านนอก เพื่ออาบน้ำให้สบายตัว เนื่องจากล้างรถเมื่อเช้า เขายังไม่ได้อาบน้ำเลย
หลังอาบน้ำกินข้าวที่คนเป็นแม่ทำให้เสร็จ กุนนทีก็กลับมายังบ้านหลังใหญ่อีกครั้ง อย่างกลัวว่าคุณท่านจะลำบาก หากว่าคนเจ็บอยากจะขึ้นไปพักผ่อนบนห้องของตัวเอง
และก็เป็นเช่นที่คิด เมื่อเขาเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ คนรับใช้อีกคนก็รีบเข้ามาบอกว่า ลูกชายเจ้าของบ้านต้องการพบ จึงรีบเดินไปยังห้องนั่งเล่นที่อีกฝ่ายนั่งรออยู่ไม่รอช้า
เมื่อเข้ามาแล้ว ก็เห็นว่าคนเจ็บกำลังนั่งดูทีวีอยู่กับคนเป็นพ่อและแม่ และทันทีที่อีกฝ่ายเห็นเขา เจ้าตัวก็เอ่ยรวดเร็วออกมาอย่างไม่ให้เสียเวลาอีกต่อไป
“พาขึ้นบ้านหน่อยซิ” ภูตลาส่งเสียงอู้อี้ห้วนๆ ออกมาสั่งอย่างไม่พอใจ เนื่องจากได้ถูกคนเป็นแม่ห้ามไม่ให้ขึ้นบันไดไปเอง แต่ให้รอชายตรงหน้ามาช่วยพาขึ้นไปแทน นอกจากนี้ยังถูกห้ามไม่ให้ใช้ไม้ค้ำช่วยพยุงเดินเองอีกต่างหาก เพราะเกรงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันซ้ำขึ้นมาอีกด้วย
“ครับ” ชายหนุ่มตอบรับอย่างนอบน้อม แล้วเดินเข้ามาช้อนร่างผอมเพรียวขึ้นแนบอกและพาขึ้นบันไดไปยังห้องของเจ้าตัวที่อยู่บนชั้นสองไม่รอช้า โดยไม่ลืมสลับข้างในการอุ้ม เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรังแกยอดเขาแหลมเล็กข้างเดิมของตัวเองได้
เมื่อทั้งสองคนเดินจากไปไกลแล้ว คุณหญิงสิริก็บ่นออกมาอย่างอดใจไม่ไหว หลังเห็นท่าทีใช้คำสั่งดั่งคนมึนตึงของคนเป็นลูก
“ดู ตากุนก็ออกจะนอบน้อมเจียมตัวขนาดนั้น แต่ดูลูกของเราสิคะ ไม่รู้จะไม่ชอบใจอะไรพี่เขานักหนา” คนเป็นภรรยาเอ่ยเสียงอ่อนอย่างปวดใจ เนื่องจากสงสารชายหนุ่มที่ตัวเองรักและเอ็นดู
“จะไม่ชอบใจอะไรได้ ถ้าไม่ใช่อิจฉาที่ตากุนตัวสูงใหญ่กว่าและเรียนเก่งกว่านั่นแหละ” คนเป็นสามีบอกออกมาอย่างรู้จักลูกชายดี
“อืม คงใช่” คนเป็นภรรยาพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย เพราะกุนนทีนั้นตรงกันข้ามกับลูกชายทุกประการ
และเมื่อได้พูดถึงชายหนุ่มที่อยู่ในการอุปถัมถ์แล้ว คุณหญิงสิริก็อดถามต่อไม่ได้ “จริงสิ รูปร่างหน้าตากิริยามารยาทของตากุนหรือก็ดีพร้อม ไม่รู้ว่ามีสาวๆ ในดวงใจหรือยังนะ”
ด้วยตัวคนที่ถูกพูดถึง อายุยี่สิบแปดจะยี่สิบเก้าแล้ว ถึงวัยที่ควรจะมีครอบครัวได้แล้ว จึงคิดว่าหากมีหญิงในดวงใจ เธอก็อยากจะตบแต่งให้ เพราะอย่างไรก็รักอีกฝ่ายดุจดั่งลูกชายคนหนึ่งอยู่แล้ว
“หญิงในดวงใจผมไม่รู้หรอก ต้องถามเจ้าตัวเขา แต่ถ้าสาวๆ ที่คอยทอดสะพานให้น่ะ ยาวไปถึงสุไหงโกลกแล้วมั้ง” คุณวศินเปรียบเปรยด้วยรอยยิ้มขำ เนื่องจากว่าชายหนุ่มที่ถูกพูดถึง เป็นถึงวิศวกรอนาคตไกลในบริษัท จึงทำให้มีสาวน้อยสาวใหญ่คอยชะม้อยชะม้ายชายตาส่งมาให้ไม่ได้ขาด ขนาดเลขาหน้าห้องของเขา ยังคอยทอดสะพานให้เลย
“ขนาดนั้นเลยหรือคะ แล้วลูกของเราล่ะ มีใครส่งสายตามาให้สักคนไหม” คนเป็นภรรยาถามอย่างใคร่รู้หนักยิ่งกว่าเรื่องของชายหนุ่มเมื่อครู่เสียอีก
“รายนี้น่ะเหรอ เขาไม่ร้องไห้มาฟ้องผมก็บุญแล้ว” คนถูกถามเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง เพราะความขบขันจนหุบไม่ลง เนื่องจากผู้ถูกถามถึง ได้ถูกเขาสั่งให้ไปเรียนรู้งานในแผนกต่างๆ ในบริษัท แต่เพราะความซุ่มซ่ามอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ไปที่ไหน เป็นอันต้องมีนั่นมีนี่พังบ่อยๆ จนพนักงานไม่อยากให้ย่างกรายเข้าไปยังแผนกของตัวเองเลยสักคน
“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ” คนเป็นภรรยาหัวเราะตาม ทั้งถามออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ แม้จะรู้ว่าลูกชายซุ่มซ่ามมาก แต่อย่างไรเจ้าตัวก็เป็นถึงลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้าของบริษัท จึงคิดว่าน่าจะมีคนให้ความสนใจไม่มากก็น้อย แต่นี่กลับกลายเป็นว่าไม่มีเลยสักคน
“ขนาดนั้นแหละ แต่ผมคิดว่าพนักงานในบริษัท คงไม่มีใครกล้าอาจเอื้อมเสียมากกว่า” คนเป็นสามียิ้มวิเคราะห์ออกมาอย่างอารมณ์ดี ด้วยว่าฐานะของลูกชายนั้นอยู่สูงกว่าใครในบริษัท เลยคิดว่าพนักงานเหล่านั้นคงจะไม่กล้าทอดสะพานให้ก็เป็นได้
“อืม ก็จริง” คุณหญิงสิริพยักหน้าให้อย่างเห็นด้วยอีกครั้ง ทั้งถอนหายใจออกมาอีกต่างหาก “เฮ้อ อย่างนี้เราคงจะไม่ได้เลี้ยงหลานกันง่ายๆ แน่เลย”
คนถอนหายใจบ่นออกมาอย่างเงียบเหงา เพราะอยากมีหลานตัวน้อยๆ ออกมาให้เลี้ยงแล้ว
“ไม่ต้องรีบหรอก ได้เลี้ยงตอนไหนก็ตอนนั้นแหละ แต่ที่สำคัญคือตาภูจะดูแลลูกเมียได้เหรอ ซุ่มซ่ามขนาดนี้” คนเป็นสามีเอ่ยอย่างหนักใจกับนิสัยไม่ระมัดระวังของลูกชาย
“นั่นสิคะ” ผู้เป็นภรรยาตอบรับอย่างหนักอกหนักใจไปด้วยกัน
และขณะที่กำลังหนักใจอยู่นั้น คุณหญิงสิริก็พลันเห็นกุนนทีเดินลงบันไดมาจากชั้นสอง เห็นอย่างนี้ ความคิดดีๆ ในหัวก็พลันสว่างวาบขึ้นมาจึงเอ่ยออกมา “ถ้าตาภูดูแลใครไม่ได้ เราก็หาคนมาดูแลตาภูแทนเสียสิคะ”
คุณหญิงสิริเอ่ยความคิดของตัวเองให้คนเป็นสามีได้รับรู้ด้วยแววตาเป็นประกายอย่างมีเลศนัย
ได้ยินคำกล่าวของคนเป็นภรรยา คุณวศินก็ตาโตขึ้นมาทันที ด้วยความสนใจ “แล้วเราจะหาใครมาดูแลล่ะ ลูกของเพื่อนคุณเหรอ”
“ลูกของเพื่อนฉัน เขาจะยอมมาดูแลลูกเราเหรอ แต่ละคนมีแต่คุณหนูคุณชายกันทั้งนั้น” คนถูกถามตอบกลับไปตามตรง ด้วยเพื่อนๆ แต่ละคน ก็มีแต่อยู่ในระดับเดียวกันทั้งนั้น ดังนั้นเธอจึงคิดว่าคงจะไม่มีใครยอมลดตัวมาดูแลลูกของเธอหรอก
“ผมถึงได้ถามคุณไง” คนเป็นสามีเอ่ยเสียงทุ้ม เพราะคิดเห็นเช่นเดียวกัน
“แล้วลูกของเพื่อนๆ คุณล่ะคะ” คุณหญิงสิริถามกลับ พลางเอนตัวเท้าแขนกับพนักพิงด้านหลัง จ้องสบตาสามี รอคอยคำตอบด้วย
“ลูกของเพื่อนๆ ผมเหรอ” คนถูกถามทำท่าครุ่นคิด พักนึงถึงได้ตอบออกมา “ที่ยังโสดก็เหลือแต่พวกอารมณ์ศิลปินทั้งนั้น เอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้หรอก”
ได้ยินคำตอบคนฟังก็ถอนหายใจออกมาด้วยความห่อเหี่ยว
“เฮ้อ...หรือว่าดวงลูกเราจะอาภัพคู่กันนะคะ” คุณหญิงสิริเอ่ยอย่างทอดถอนใจ ก่อนจะละสายตาจากคนเป็นสามีมองไปข้างหน้า แล้วก็เห็นว่าชายรูปร่างสูงใหญ่กำลังถือซองเจลประคบเย็นเดินกลับขึ้นไปยังชั้นสองอีกครั้ง เห็นดังนี้ คุณหญิงสิริจึงถามออกมา ด้วยว่ามีความคิดดีๆ เกิดขึ้นอีกแล้ว “คุณคิดยังไงกับตากุนคะ”
“คิดยังไงเหรอ ก็รักเหมือนลูกคนหนึ่งเหมือนคุณนั่นแหละ” คนถูกถามตอบเนิบนาบออกมา ทั้งส่งสายตาที่บ่งบอกว่ารู้แล้วยังถามอีกไปให้อีกฝ่ายด้วย
“งั้นคุณจะว่าอะไรไหม ถ้าฉันจะเสนอตากุนมาดูแลลูกของเรา” คนเป็นภรรยาถามด้วยแววตาจริงจัง ไม่มีแววล้อเล่นเลยสักนิด
“แต่ลูกเราเป็นผู้ชายนะ” คนถูกถามเอ่ยอย่างกลัวว่าอีกฝ่ายจะลืมว่ามีลูกชาย
“ผู้ชายแล้วยังไงคะ คุณลืมแล้วเหรอว่าเมื่อหลายวันก่อนเรายังไปงานแต่งงานของลูกชายคุณประไพเลย ซึ่งทั้งสองก็เป็นคู่รักชายชายเหมือนกัน” คนเป็นภรรยาเตือนความจำกลับด้วยว่าสมัยนี้คู่รักเพศเดียวกันได้ถูกยอมรับกันหมดแล้วนั่นเอง
“ที่ผมแย้งเพราะคุณบอกว่าอยากจะอุ้มหลานไม่ใช่เหรอ หากว่าลูกเราแต่งกับตากุน คุณก็จะไม่ได้อุ้มหลานนะ” คนเป็นสามีอธิบายเสียงอ่อน เมื่อเห็นภรรยาเข้าใจผิด
ได้ยินคำกล่าวคุณหญิงสิริก็กลอกตาใส่อีกฝ่ายทันที
“คุณลืมไปแล้วเหรอคะว่าตอนตาภูอายุสิบห้าเกิดอะไรขึ้น” คนเป็นภรรยาถามเสียงห้วนอย่างไม่พอใจ ที่ชายตรงหน้าลืมเรื่องสำคัญนี้ไปเสียได้ เพราะหากจำได้อีกฝ่ายคงจะไม่พูดอย่างนี้ออกมา
ได้ยินคำถาม คนเป็นสามีก็นิ่วหน้าขึ้นมาทันทีด้วยท่าทางครุ่นคิดหนัก เห็นอย่างนี้คนเป็นภรรยา จึงเฉลยออกมา อย่างอดใจรอให้อีกฝ่ายนึกขึ้นได้เองไม่ไหว “ก็ที่ตาภูปวดท้องจนเป็นลมไปนั่นไงคะ คุณหมอบอกว่าเป็นอาการข้างเคียงจากการที่รังไข่ในตัวตาภูเจริญเติบโตสมบูรณ์พร้อมตั้งครรภ์ได้ยังไงละคะ”
คุณหญิงสิริกระแทกเสียงออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ที่อีกฝ่ายลืมเรื่องสำคัญของลูกชายไปจริงๆ
ได้ฟังคำเฉลย คนคิดหนักก็พลันนึกขึ้นได้
“จริงด้วย ผมลืมไป ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้มานานเลยลืมไปเลย” คนลืมสารภาพด้วยรอยยิ้มแห้ง ก่อนจะส่งยิ้มขอโทษขอโพยไปให้คนเป็นภรรยา ที่ตัวเองกล้าลืมเรื่องสำคัญ แล้วก็ได้สายตาขัดเคืองไม่จริงจังจากอีกฝ่ายส่งมาให้ จึงเอ่ยต่ออย่างเป็นกังวล เนื่องจากรู้จักนิสัยลูกชายดี “ว่าแต่ลูกเราจะยอมเหรอ ไม่ชอบเขาเสียขนาดนั้น”
“ถ้าฉันมีวิธี คุณจะยอมรับตากุนไหมคะ” เจ้าของความคิดถามพลางสบตารอคอยคำตอบด้วยใจจดจ่อและรอลุ้น
“แล้วทำไมผมถึงจะไม่ยอมรับล่ะ ในเมื่อก็รักเหมือนลูกคนหนึ่งอยู่แล้ว ที่สำคัญคือมั่นใจด้วยว่าตากุนนั้นสามารถดูแลลูกของเราได้อย่างแน่นอน และจะไม่มีวันทำให้เสียใจด้วย” คุณวศินเอ่ยอย่างเชื่อใจในตัวชายหนุ่มที่ตัวเองรักและเอ็นดูเต็มที่
“ฉันกลัวว่าคุณจะอายนี่นา ที่รับลูกของคนรับใช้ในบ้านมาเป็นลูกเขย” ผู้เป็นภรรยาเอ่ยเสียงอ่อย พร้อมรอยยิ้มแห้ง
“คนเรามันเลือกเกิดไม่ได้หรอกนะคุณสิ ถึงแม้ตากุนจะเป็นแค่ลูกของคนรับใช้ แต่คนรับใช้ที่ซื่อสัตย์และภักดีขนาดนี้ หากันไม่ได้ง่ายๆ เลยนะ คุณก็รู้ อีกอย่างความรู้ความสามารถของตากุน ผมมั่นใจว่าเขาจะถีบตัวเองไปได้ไกลอย่างแน่นอน ซึ่งตรงนี้จะเป็นผลดีต่อกิจการของบ้านเราในอนาคตด้วย บอกตรงๆ ว่าถ้าให้ตาภูดูแลเอง ผมว่าคงไม่แคล้วต้องเจ๊งหรือขายไปอย่างแน่นอน” คนเป็นสามีตอบเสียงทุ้มต่ำตามตรงอย่างยินดีรับ เนื่องจากรู้ดีว่าผู้ถูกพูดถึงมีความสามารถมากเพียงไหน ไม่อย่างนั้นจะก้าวขึ้นมาเป็นวิศวกรคุมงานในโครงการใหญ่ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยเอ่ยปากฝากฝังใครไว้เลยสักคน ก่อนจะถามกลับด้วยอย่างอยากรู้ “แล้วคุณล่ะ อายหรือเปล่า”
“แรกๆ ฉันก็คงจะอายบ้าง แต่ถ้าได้เห็นลูกเรามีคนรักและดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ฉันก็รู้สึกว่าคุ้มค่าพอที่จะอายอยู่นะคะ” คนถูกถามตอบตามตรง เพราะหากจะบอกว่าไม่อายเลยก็คงจะโกหก เนื่องจากในแวดวงสังคมแบบนี้การได้คู่ครองที่อยู่ในระดับเดียวกัน ก็นับเป็นเรื่องที่สามารถทำให้เชิดหน้าชูตาได้อยู่ แต่ถ้าได้คนที่ต่ำกว่า ก็จะตกเป็นขี้ปากเพื่อนร่วมสังคมไปอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก นอกเสียจากว่าจะไม่ใส่ใจจริงๆ เท่านั้น ถึงจะไม่รู้สึก
แต่จะไม่ให้เธอรู้สึกอายมันก็เป็นไปได้ยากอีก เพราะอย่างไรเธอก็ยังเป็นปุถุชนคนหนึ่ง ที่ยังมีรักโลภ โกรธ หลงอยู่ ดังนั้นมันจึงจะมีช่วงเวลาที่ใส่ใจและไม่ใส่ใจคำนินทา สลับสับเปลี่ยนกันไปเป็นช่วงๆ อยู่นั่นเอง
และเมื่อใดที่เธอใส่ใจกับคำนินทาของเพื่อนร่วมสังคม เธอก็คิดไว้ว่าจะนึกถึงลูกชายที่ถูกดูแลเอาใจใส่อย่างดีมาชดเชยความรู้สึกอายนั้นแทน
ได้ยินคำกล่าว คนเป็นสามีก็พยักหน้าให้อย่างคิดเห็นเช่นเดียวกัน แล้วถามกลับด้วยความสนใจ “อืม แล้วคุณจะใช้วิธีไหนล่ะ”
