3 แสนแสบ
เมื่อชายหนุ่มตอบจบ คุณหญิงสิริก็หันไปหาสามีต่อทันทีด้วยสายตาคาดคั้น รอคอยคำตอบ
“ตามใจคุณแล้วกัน” คนเป็นสามีบอกอย่างไม่อยากจะขัด เพราะถึงอย่างไรคนที่ถูกทักก็เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของตน จึงไม่อยากให้มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับอีกฝ่าย
เมื่อได้ยินคำตอบกลับอย่างตามใจ คนเป็นภรรยาก็ยิ้มกริ่มออกมาทันทีด้วยความดีใจ ก่อนจะเดินมานั่งลงเคียงข้างสามี รอลูกชายด้วยกัน
นั่งรออยู่ครู่หนึ่ง บุรุษพยาบาลก็เข็นคนเจ็บออกมาจากห้องฉุกเฉิน ด้วยสภาพน้ำตาคลอหน่วยและริมฝีปากบวมเจ่อ คางก็มีผ้าขาวสะอาดปิดไว้ โดยที่ข้อเท้าก็มีผ้ายืดพันแผลพันไว้ไม่ให้ขยับตามที่คุณหมอได้บอกไปก่อนหน้า
“เรียบร้อยแล้วค่ะ พยายามอย่าเดินมากนะคะ ที่สำคัญห้ามนวดเป็นอันขาด เพราะจะทำให้บวมมากขึ้น ซึ่งเราสามารถใช้น้ำแข็งประคบแทนได้ค่ะ ส่วนปาก ก็ให้กินอาหารรสอ่อนๆ ไปก่อนนะคะ” พยาบาลสาวที่ตามออกจากห้องมาเอ่ยเสียงอ่อน ก่อนจะผายมือเชื้อเชิญคนทั้งหมดไปยังห้องการเงิน เพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาล
หลังจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อย ทั้งหมดก็เดินทางกลับมาบ้านทันที
เมื่อมาถึงกุนนทีก็เข้ามาอุ้มคนเจ็บเข้าบ้านเหมือนอย่างเคย โดยมีเจ้าของบ้านทั้งสองและขบวนคนรับใช้ที่มารอฟังข่าวเดินตามหลังมาด้วย
“โชคดีที่มีตากุนอยู่ด้วย ไม่งั้นลำบากแน่ๆ เลย” คุณหญิงสิริเอ่ยอย่างโล่งใจ ขณะเดินเคียงข้างสามีตามหลังเจ้าของชื่อเข้าบ้านไป
แม้บ้านหลังใหญ่นี้จะมีคนรับใช้อีกหลายคน แต่ก็เป็นหญิงเสียส่วนใหญ่ เป็นชายมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น และยังมีอายุแล้วด้วย ส่วนยามที่เฝ้าอยู่หน้าบ้านนั้น แม้จะยังหนุ่มแน่น แต่ก็คนละส่วนกัน ซึ่งเธอก็ไม่ค่อยจะไว้ใจสักเท่าไหร่ ด้วยว่าเปลี่ยนหน้าใหม่มาเรื่อยๆ ไม่เหมือนกับชายตัวสูงใหญ่ตรงหน้าที่เห็นกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก
“ครับ” เจ้าของชื่อส่งเสียงอ่อนทุ้มออกมาตอบรับด้วยรอยยิ้มอ่อน แม้ว่าคนด้านหลังจะมองไม่เห็นก็ตามที
ส่วนคนเป็นลูก หลังได้ยินคำกล่าวของคนเป็นแม่ ก็เหยียดมุมปากออกมาทันทีด้วยความหมั่นไส้ อย่างอดกลั้นไม่ไหวเพราะความเคยตัว
ทว่าเมื่อเหยียดมุมปากออกมาแล้ว ภูตลาก็ต้องซี้ดปากออกมาเพราะความเจ็บจี๊ด เนื่องจากปากแตกอยู่ ก็อดรู้สึกขุ่นเคืองให้ตัวเองขึ้นมาด้วยไม่ได้ในตอนท้าย ที่ช่างขี้ลืมอะไรอย่างนี้
และขณะที่กำลังขุ่นเคืองให้ตัวเองอยู่นั้น เขาก็ได้ยินคนเป็นแม่พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“เดี๋ยวคืนนี้กุนมานอนเป็นเพื่อนน้องหน่อยน่ะ ป้าไม่วางใจ” คุณหญิงสิริเอ่ยอย่างไม่วางใจให้ลูกชายอยู่ในห้องเพียงลำพัง
“ผมแค่ข้อเท้าพลิกเท่านั้นนะครับ” คนเป็นลูกชะโงกหน้าหันกลับไปแย้งเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัด เพราะขยับปากแรงไม่ได้ กระนั้นคนถูกแย้งก็ยังฟังเข้าใจเช่นเดิม
“ก็เหมือนกันนั่นแหละ ยังไงแม่ก็ไม่วางใจอยู่ดี ซุ่มซ่ามขนาดนี้ เผื่อมีอุบัติเหตุล้มหัวแตกขึ้นมาอีกจะทำยังไง” คนเป็นแม่ตอบกลับอย่างไม่ยอมให้ปฏิเสธ และเมื่อเห็นลูกชายตั้งท่าจะขยับปากอีก ก็รีบขัด “ห้ามเถียง”
ได้ยินเสียงเข้มๆ ของคนเป็นแม่สั่งห้าม ภูตลาก็หน้างอง้ำลงไปทันที ด้วยความไม่พอใจ แล้วหันหน้ากลับไปตามเดิม พร้อมสายตาค้อนควักหลุบต่ำมองตรงหน้า
ทว่าฉับพลันที่หลุบตาลงต่ำ สายตาของเขาก็สบเข้ากับเนินเขาลูกเล็ก และยอดเขาแหลมดันเสื้อยืดสีขาวออกมาด้วย จึงยกมือขึ้นหยิกและบิดอย่างแรง เพื่อระบายความอัดอั้นของตัวเอง
“อื้อ !...” กุนนทีส่งเสียงในลำคอออกมาด้วยความตกใจ ดวงตาเบิกกว้าง เพราะความเจ็บจี๊ด ก่อนจะก้มหน้าลงไปมองคนในวงแขน ก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังหยิกและบิดยอดอกของตัวเองด้วยท่าทางเมามัน อย่างระบายความกรุ่นโกรธอยู่ จึงเอ่ยเสียงแผ่ว “เจ็บครับคุณภู ”
“เรื่องของนายสิ” ภูตลาเลิกคิ้วปรายตาตอบกลับอย่างยียวน ทั้งตั้งหน้าตั้งตาบิดตุ่มไตเล็กๆ ต่อไปอย่างมันมือ
เป็นอย่างนี้ กุนนทีจึงกัดฟันข่มกลั้นความเจ็บ เร่งฝีเท้า เดินจ้ำอ้าวไปยังโถงรับแขกไม่รอช้า
และเมื่อมาถึง ก็รีบวางคนเจ็บลงยังโซฟาเดี่ยวที่อยู่ใกล้ทันที แล้วยืดตัวขึ้นและยกมือขึ้นมาลูบหน้าอกข้างที่โดนหยิกและบิด ด้วยความเจ็บแปลบ โดยมีย่าของคนเจ็บและแม่ของตัวเองซึ่งนั่งรออยู่ มองมาด้วยความสงสัย
“แกล้งพี่เขาอีกแล้วใช่ไหมเราน่ะ” คนเป็นย่าว่าให้อย่างเอือมระอา หลังเห็นหลานของตัวเองละมือออกจากหน้าอกข้างที่ถูกลูบป้อยๆ อยู่ของชายอีกคน
“เปล่าสักหน่อย” คนถูกว่าตอบกลับอย่างไม่ยอมรับ ทั้งปรายตาขึ้นมองคนตัวโตที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยอย่างไม่พอใจ ตอบจบ ก็ได้ยินเสียงของคนเป็นพ่อถามชายตัวสูงใหญ่ข้างตัวด้วย
“มีอะไรเหรอ” คุณวศินที่เดินตามหลังเข้ามาถึงพร้อมกับคนเป็นภรรยาหันไปถามชายตัวโตตรงหน้าด้วยความสงสัย เพราะจู่ๆ อีกฝ่ายก็จ้ำอ้าวเดินเข้ามาในบ้าน และตอนนี้ก็ยังมายืนลูบหน้าอกตัวเองป้อยๆ อยู่ด้วย จึงคาดว่าลูกชายตัวดีของตนจะต้องแกล้งอะไรอีกฝ่ายเป็นแน่ เลยถามออกมา
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่คันเสื้อใหม่ที่ยังไม่ได้ซักเท่านั้น” กุนนทีเฉไฉ ด้วยไม่อยากให้ชายหน้าหวานโดนบ่นอีก ตอบจบ ก็ส่งยิ้มบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บยังไม่จางหายไปออกมายืนยัน
ยืนยันเสร็จ ก็ชำเลืองหางตาไปมองชายหน้าหวานบนโซฟาอย่างอดใจไม่อยู่ แล้วก็เห็นว่าอีกฝ่ายยกยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ด้วยท่าทางชอบอกชอบใจที่เขาแก้ตัวให้อย่างนี้ จึงอดยกยิ้มขึ้นมาด้วยความเอ็นดูไม่ได้ ซึ่งรอยยิ้มนี้ของชายหนุ่มก็ได้อยู่ในครรลองสายตาคนเป็นแม่ของเจ้าตัวด้วย
ทางด้านผู้ถูกแก้ตัวให้ หลังได้ยินคนตัวสูงใหญ่พูดออกมา เขาก็อดคิดกับตัวเองด้วยความเสียดายไม่ได้
รู้อย่างนี้น่าจะบิดให้ขาด
คนเสียดายนึกอย่างมันเขี้ยว
“อย่างนั้นเหรอ งั้นก็ไปพักเถอะ ขอบใจนะ” คุณวศินตอบรับ ทั้งยกมือตบไหล่กุนนทีเบาๆ อย่างขอบใจด้วย
“ครับ” ชายหนุ่มค้อมตัวตอบรับอย่างนอบน้อม แล้วหันหลังกลับออกจากบ้านหลังใหญ่ ไปยังบ้านหลังเล็กที่อยู่ด้านในอีกที โดยมีผู้เป็นแม่เดินตามหลังมาด้วย
“กุน”
“ครับ” คนเป็นลูกตอบรับพร้อมกับหยุดรอ
“โดนคุณภูแกล้งอีกแล้วเหรอลูก เจ็บไหม” กรกมลถามออกมาด้วยความเป็นห่วง เนื่องจากเห็นเต็มสองตาว่าลูกชายถูกภูตลาบิดหน้าอกด้วยท่าทางมันเขี้ยวเป็นอย่างมาก
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ทายาก็หายแล้ว” คนเป็นลูกตอบ พร้อมกับยกมือขึ้นโอบไหล่หญิงร่างเล็กวัยเกือบห้าสิบ ให้เข้ามาเดินเคียงข้างไปด้วยกันอย่างรักใคร่
“งั้นเอาอย่างนี้ดีไหม เพื่อไม่ให้คุณภูมาแกล้งเราได้อีก แม่ว่าลูกย้ายออกไปอยู่ข้างนอกดีไหม” คนเป็นแม่เสนอความเห็นออกมา เพราะไหนๆ ก็เรียนจบแล้ว และยังมีการงานทำแล้วด้วย จึงคิดว่าน่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับลูกชาย
“ไม่เอาหรอกครับ ถ้าจะไปเราก็ต้องไปด้วยกัน อีกอย่างอยู่ที่นี่คุณท่านทั้งหลายก็ใจดีกับผมมาก ดังนั้นถูกแกล้งแค่นี้ ผมไม่ถือสาหรอกครับ” กุนนทีตอบพร้อมโอบกระชับคนเป็นแม่ไม่ให้คิดมาก
“อืม ลูกแม่นิสัยดีอย่างนี้ ใครเห็นก็เอ็นดูล่ะนะ” คนเป็นแม่ตอบทั้งยกมือขึ้นโอบเอวลูกชายไว้อย่างรักใคร่ไม่ต่างกัน
“แต่คงใช้กับคุณภูไม่ได้หรอกนะครับ” คนเป็นลูกเอ่ยเสียงอ่อนด้วยความทอดถอนใจและอดยิ้มละไมขึ้นมาไม่ได้ เมื่อได้มานึกถึงวีรกรรมของชายหน้าหวาน ด้วยว่าเจอแกล้งมาบ่อยแล้วนั่นเอง
“กุนคิดอะไรกับคุณภูหรือเปล่าลูก” คนเป็นแม่ได้ทีกระซิบถามเสียงเบาอย่างไม่วางใจ ไม่อยากให้ลูกชายฝันสูงจนเกินตัว หลังเห็นรอยยิ้มละไมของอีกฝ่ายเมื่อตอนอยู่ในบ้านหลังใหญ่
“ไม่หรอกครับ ผมรู้ดีว่าตัวเองเป็นใคร คุณภูเป็นใคร ดังนั้นผมไม่อาจเอื้อมหรอกครับ” กุนนทีตอบเสียงหนักแน่นจริงจังให้อีกฝ่ายได้วางใจ
ได้ยินอย่างนี้คนเป็นแม่ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ทั้งเดินโอบเอวลูกชายกลับไปบ้านหลังเล็กด้วยกัน
ทางด้านคนในบ้านหลังใหญ่ หลังกุนนทีจากไปแล้ว คนเป็นย่าก็ถามไถ่หลานชายออกมาด้วยความเป็นห่วง “คุณหมอว่าไงบ้าง”
พลางเข้าขยับเข้าไปใกล้คนเจ็บอย่างห่วงใย ซึ่งคนเจ็บก็ได้ขยับเข้ามานั่งยังโซฟายาวด้วยกันกับคนเป็นย่าด้วยอย่างออดอ้อน
“ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอกครับ คุณแม่สบายใจได้” คุณวศินเป็นฝ่ายตอบแทนลูกชาย ที่เจ็บปากอยู่ พลางเดินเข้ามานั่งยังโซฟาเดี่ยวอีกตัว โดยที่คนเป็นภรรยาก็ได้เดินเข้ามานั่งยังโซฟาเดี่ยวที่ลูกชายเพิ่งจะลุกออกด้วย
“อืม” คุณหญิงวิลัยตอบรับคำของลูกชาย ก่อนจะหันมาพูดกับคนในอ้อมกอด “ทำอะไรก็หัดระวังเสียบ้างเถอะพ่อเอ๊ย ย่าเห็นเจ็บตัวบ่อยๆ แล้วใจไม่ดีจริงๆ กลัวว่าจะเป็นอะไรไป”
“ครับ ต่อไปผมจะระวัง” ภูตลาส่งเสียงอู้อี้ออกมาตอบรับ พลางกระชับกอดคนเป็นย่าแน่น ดั่งกำลังยืนยันคำพูดของตัวเอง
“แล้วเรื่องหมอดูนั่น แม่ว่าเราเชิญเขามาดูดวงให้ตาภูก็ดีนะ เผื่อจะได้คำแนะนำมาช่วยป้องกันอีกทาง” คุณหญิงวิลัยหันไปพูดกับลูกสะใภ้ ที่กำลังมองลูกชายด้วยความเป็นห่วงอยู่อีกคน
“สิสั่งตาชัยไว้แล้วค่ะว่าพรุ่งนี้ให้ไปรับหมอดูมาแต่เช้า” ลูกสะใภ้ตอบกลับ เพราะหลังลงจากรถได้ เธอก็สั่งการกับคนขับรถเอาไว้ทันที อย่างเกรงว่าจะลืม
“อืม” คุณหญิงวิลัยพยักหน้าตอบรับอย่างรับรู้ พลางลูบผมสีน้ำตาลนุ่มนิ่มของคนที่นอนหนุนตักอยู่ไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู
