2 ซวยซ้ำซวยซ้อน
หลังถูกอีกฝ่ายประคองลุกยืนขึ้นได้แล้ว ภูตลาก็รีบสะบัดตัวออกจากชายที่ช่วยประคองอยู่ทันที อย่างไม่ชอบใจ ไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นว่าตัวเองอ่อนแอมากไปกว่านี้ ทว่าขณะที่ขืนตัวออก ข้อเท้าของเขาก็พลันเจ็บแปลบขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“โอ๊ย!” ชายหน้าหวานร้องออกมาด้วยความเจ็บจี๊ด พลางทรุดตัวลงไปอีกครา เพราะว่าข้อเท้าเกิดพลิกขึ้นมา เนื่องจากว่าลงน้ำหนักผิดท่านั่นเอง
แต่ก็โชคดีที่ยังไม่ทันได้ล้มลงไปกองกับพื้น เขาก็ถูกคนตัวสูงใหญ่ข้างตัว ขยับเข้ามากอดกระชับเอาไว้แน่นเสียก่อน
“เป็นไงล่ะ เรื่องมากไม่เข้าเรื่อง เจ็บตัวขึ้นมาอีกจนได้” คุณเป็นพ่อว่าให้ด้วยความมันเขี้ยวอย่างอดใจไม่ไหว กับนิสัยมากเรื่องและเอาแต่ใจของลูกชาย
ตัวเขาชื่อวศิน บดินทร์รักษ์ เป็นเจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างครบวงจร ที่รับช่วงมาจากผู้เป็นบิดาผู้ล่วงลับ มีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนหนึ่ง ซึ่งลูกชายคนนี้มีนิสัยเอาแต่ใจมาก เนื่องจากว่าเป็นทายาทเพียงคนเดียวของบ้านบดินทร์รักษ์แห่งนี้นี่แหละ
ซึ่งนอกจากนิสัยเอาแต่ใจของลูกชายแล้ว เจ้าตัวยังมีนิสัยขี้อิจฉาชายหนุ่มข้างตัวมาตั้งแต่เด็กๆ อีกด้วย เนื่องจากว่าอีกฝ่ายนั้นเรียนเก่งกว่าเจ้าตัวมาก และได้รับคำชมจากเขาผู้เป็นเจ้านายอยู่บ่อยๆ นี่เลยทำให้ลูกชายของเขาไม่ชอบใจชายตัวสูงใหญ่ตรงหน้าเรื่อยมา จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ลูกชายเลิกอิจฉาได้สักที
“พ่ออ่ะ” คนถูกว่าให้เอ่ยอย่างงอนๆ ทั้งน้ำตานองหน้า
เห็นท่าทางเจ็บมากของคนในอ้อมกอด กุนนทีจึงก้มลงช้อนตัวอีกฝ่ายอุ้มขึ้นมาแนบอก และพาเดินออกมาหน้าบ้านไม่รอช้า ถึงตอนนี้ ตัวคนเจ็บก็สิ้นฤทธิ์จริงๆ แล้ว ยอมให้ชายหนุ่มอุ้มไปแต่โดยดี โดยมีคนเป็นแม่และพ่อของเจ้าตัวเดินตามหลังมาด้วย
เมื่อมาถึงหน้าบ้าน ก็เห็นว่าพรชัยคนขับรถวัยสี่สิบกว่า ขับรถตู้คันหรูออกมารอแล้ว จึงอุ้มคนเจ็บขึ้นรถทันทีอย่างไม่ให้เสียเวลา
“ตาชัยไม่ต้องขับหรอก ให้ตากุนขับไปดีกว่า” คุณหญิงสิริบอกด้วยความร้อนใจ เพราะอยากจะไปถึงโรงพยาบาลเร็วๆ เนื่องจากอีกคนนั้นมีอายุพอสมควรแล้ว จึงกลัวว่าจะชักช้าเกินไป ไม่เหมือนกับคนวัยหนุ่มแน่นอย่างกุนนที ที่ทำอะไรก็คล่องแคล่วกว่า
“ครับ” พรชัยตอบรับแล้วลงจากรถไป เปลี่ยนให้กุนนทีขึ้นมานั่งยังตำแหน่งคนขับตามคำกล่าวของคนเป็นเจ้านายแทนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
“เป็นอย่างไรบ้างลูก อดทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว” คนเป็นแม่เอ่ยเสียงสั่นน้ำตานองหน้า ทั้งเช็ดหน้าแผ่วเบาให้ลูกชายไปด้วย อย่างสงสารจับใจ จนอยากจะเป็นฝ่ายเจ็บแทนเสียเอง
“โอ๊ย !เจ็บครับ เจ็บ” คนเจ็บร้องเสียงดัง น้ำตาก็พลอยไหลพรากออกมามากกว่าเดิม พร้อมปัดป้องไม่ให้คนเป็นแม่เช็ดหน้าให้อีก
“อดทนหน่อยสิ แค่ล้มเองน่ะ ไม่ได้โดนรถชนสักหน่อย” คนเป็นพ่อที่นั่งคู่คนขับหันไปว่าให้ลูกชายอีกครั้งอย่างทนไม่ไหว ที่อีกฝ่ายไม่มีความอดทนต่อความเจ็บเลยสักนิด โดยมีคนขับช้อนสายตาขึ้นมองกระจกหลัง มองดูด้วยความเป็นห่วงด้วย
แล้วก็เห็นว่าคนเป็นลูกเม้มปากงอง้ำลงไปอย่างไม่พอใจ ทว่าเพิ่งจะเม้มปากเข้าหากัน ตัวคนเจ็บก็สะดุ้งเบิกตาค้างขึ้นมาด้วยท่าทางเจ็บปวด เพราะริมฝีปากบวมเจ่อ เห็นอย่างนี้กุนนทีก็อดที่จะยกยิ้มขำขันขึ้นมาไม่ได้
“นี่นายกล้าหัวเราะเยาะฉันเหรอ” ภูตลาที่เห็นท่าทางของคนขับผ่านกระจกมองหลัง ที่อยู่ตรงหน้าคนขับและอยู่ในระดับสายตาของตัวเองพอดี เอ่ยอย่างไม่พอใจ เลยคิดอาศัยจังหวะนี้ระบายความกรุ่นโกรธที่ถูกผู้เป็นพ่อว่าให้ออกมาด้วย จึงยกขาถีบไปที่ด้านหลังเบาะของอีกฝ่าย
ทว่าเพิ่งจะออกแรงถีบไปได้ไม่เท่าไหร่ ตัวคนก็ร้องลั่นรถออกมาอีกครั้ง “โอ๊ย!ขาฉัน”
พลางหดขาที่ยืดออกไปกลับเข้ามาลูบป้อยๆ เพราะความเจ็บจี๊ด เนื่องจากว่าเป็นขาข้างที่พลิกไปนั่นเอง ก่อนจะร้องไห้เสียงดังขึ้นมาอย่างข่มกลั้นเอาไว้ไม่ไหว เพราะความอัดอั้นตันใจกับเรื่องราวที่พบเจอในวันนี้ “ฮือๆ วันนี้มันเป็นวันอะไรวะเนี่ย ทำไมซวยอย่างนี้ อื้อ เจ็บคออีก”
สุดท้ายก็ยกมือขึ้นมากุมลำคอเอาไว้ด้วยความเจ็บอีกต่างหาก เพราะพึมพำมากเกินไป
ได้ยินคำตัดพ้อจากคนเจ็บ กุนนทีก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ไปด้วยกันกับอีกฝ่ายดี เพราะความซวยของชายด้านหลังนั้น ช่างมาพร้อมกันจริงๆ อย่างกับนัดกันไว้อย่างไรอย่างนั้น
ก่อนจะละสายตากลับไปมองทางข้างหน้า แล้วตั้งหน้าตั้งตาขับรถพาคนเจ็บไปโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ๆ ให้เร็วที่สุด เพื่อคลายกังวลให้คนเป็นเจ้านายทั้งสอง ที่มองลูกชายด้วยความเป็นห่วงและสงสารอยู่
โชคดีที่วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ทำให้ขับรถมาไม่นาน ก็มาถึงโรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งตามที่ตั้งใจเอาไว้
หลังจอดรถดีแล้ว กุนนทีก็รีบลงจากรถ อ้อมมาอุ้มคนเจ็บ ลงนั่งรถเข็นพยาบาลอย่างไม่รอช้า เมื่อเสร็จแล้วก็ขึ้นรถขับออกไปยังลานจอดอีกที
ขณะที่นั่งรออยู่บนรถ เขาก็อดที่จะเอ่ยกับตัวเองออกมาอย่างลังเลไม่ได้
“จะตามเข้าไปดีไหมวะ” ชายหนุ่มงึมงำออกมาด้วยความเป็นห่วงคนเจ็บ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบหน้ากัน แต่เขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ จะอย่างไรครอบครัวนี้ก็มีบุญคุณกับครอบครัวเขามาก ดังนั้นเขาจึงไม่เคยคิดที่จะโกรธเกลียดกลับเลยสักครั้ง กลับกัน กลับมีแต่ความรัก ความห่วงใยอยากให้อีกฝ่ายได้เจอแต่สิ่งดีๆ เท่านั้น
ตัวเขาเป็นลูกของคนรับใช้ที่ทำงานอยู่กับครอบครัวนี้มานาน ตั้งแต่ยังไม่เกิด และพอเขาเกิดขึ้นมาแล้ว คุณท่านทั้งหลายในบ้านหลังนี้ก็เอ็นดูเขาเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่าตอนนั้นเขาเป็นเด็กเพียงคนเดียวในบ้าน จนกระทั่งอีกสามปีให้หลัง หนุ่มหน้าหวานถึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา
ถึงแม้ว่าคุณท่านทั้งหลาย จะมีลูกและหลานชายที่แท้จริงถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว แต่ตัวเขาก็ยังคงได้รับความเอ็นดูอยู่เช่นเดิม ไม่มีน้อยลงเลยสักนิด จวบจนพ่อของเขาจากไป ครอบครัวนี้ก็ไม่เคยทอดทิ้งเขากับแม่เลย จนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นเขาจึงสำนึกบุญคุณของนายท่านทั้งหลายมาโดยตลอด
ทว่าหลังจากงึมงำออกมาแล้ว เขาก็พลันนึกขึ้นได้ว่าตัวเองใส่แค่เสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นเก่าๆเท่านั้น ดูไม่สุภาพเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไปด้านใน เพราะไม่อยากให้นายท่านทั้งสองขายหน้า
แต่รอไปอีกสักพัก ความเป็นห่วงก็ตีตื้นขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่วางใจ กลัวว่าคนเจ็บจะเป็นอะไรมากไปกว่าที่เห็น จึงตัดสินใจลงจากรถ และเดินเข้าไปในโรงพยาบาล แล้วหาซื้อเสื้อผ้าเปลี่ยนก่อนเป็นอันดับแรก
เนื่องจากว่าโรงพยาบาลใหญ่แห่งนี้ เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะเคยมานอนเฝ้าพ่ออยู่ที่นี่ตั้งหลายวัน ก่อนที่จะล่วงลับไป จึงรู้ว่ามีร้านขายของกินของใช้ให้เลือกซื้อหลายร้าน เสมือนเป็นห้างแห่งหนึ่งเลยก็ว่าได้
หลังจากซื้อเสื้อยืดมาได้ เขาก็สวมใส่ทันที ก่อนที่จะเดินต่อไปยังแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน
เมื่อเดินใกล้ถึงจุดหมาย กุนนทีก็ได้ยินเสียงร้องที่คุ้นเคยดังลั่นออกมาด้านนอก และก็เห็นว่าคุณผู้หญิงของบ้านกำลังเดินกระวนกระวายอยู่ตรงทางเดิน ส่วนนายท่านวศินกลับเอาแต่นั่งนิ่งเงียบรออยู่ที่เก้าอี้ยาวหน้าห้องเท่านั้น จึงเดินเข้าไปยืนกุมมืออยู่ไม่ไกลจากบุคคลทั้งสองอย่างต้องการรักษาระยะห่างให้ความเป็นส่วนตัว
ส่วนผู้ที่นั่งรออยู่หน้าห้อง เมื่อเห็นชายหนุ่มเดินไปยืนอยู่ห่างๆ ด้วยท่าทางนอบน้อมก็เอ่ยเรียกให้มานั่งด้วยกัน อย่างไม่อยากให้ทำตัวห่างเหิน
“มานั่งนี่เถอะ” พลางตบเก้าอี้ข้างตัวเรียกอีกฝ่ายให้มานั่งด้วยกัน
“ครับ” กุนนทีตอบรับ แล้วเดินไปนั่งลงเคียงข้างด้วยท่าทางเรียบร้อย “คุณหมอว่ายังไงบ้างครับ”
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่ปากแตกเพราะล้มกระแทกพื้น ส่วนที่แหกปากร้องลั่นอยู่นี่ ก็เป็นเพราะต้องอ้าปากกว้างๆ ให้หมอคีบเอาก้างปลาออกน่ะ ส่วนขาที่พลิกก็แค่พันผ้าไว้ไม่ให้เคลื่อนไหวเท่านั้น” คนถูกถามตอบไปตามที่พยาบาลแจ้งก่อนทำการรักษาอย่างไม่มีตกหล่น ด้วยรู้ว่าคนถามนั้นห่วงใยลูกชายตัวเองมากเพียงไหน
“ครับ” กุนนทีตอบรับอย่างโล่งใจ ก่อนที่คนยืนกระวนกระวายจะเอ่ยขึ้น
“เฮ้อ...สงสัยว่าตาภูคงจะมีเคราะห์อย่างที่หมอดูทักจริงๆ” คุณหญิงสิริพึมพำออกมาอย่างปักใจเชื่อว่าเป็นจริงตามที่ถูกทัก เนื่องจากเป็นคนเชื่อเรื่องราวอย่างนี้อยู่ไม่น้อย ถึงได้เข้าวัดไปทำบุญบ่อยๆ เพื่อความสบายใจในยามที่ว่าง
“ยังไงเหรอครับ” กุนนทีขมวดคิ้วมองคนพูดด้วยความสงสัย ดังนั้นคุณหญิงสิริจึงเล่าเรื่องราวที่ไปทำบุญมาเมื่อวานให้ชายหนุ่มฟังอย่างไม่ปิดบัง ทว่าเมื่อเล่าจบ คนเป็นสามีกลับขัดขึ้น
“ไม่เกี่ยวกันสักหน่อย ตาภูไม่ระวังเองต่างหาก มีอย่างที่ไหน โตจนป่านนี้แล้วยังกินข้าวให้ก้างติดคออีก” คนเป็นสามีแย้ง ด้วยเป็นคนไม่เชื่อเรื่องอย่างนี้สักเท่าไหร่ เพราะคิดว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวบุคคลมากกว่า
“ไม่เกี่ยวได้ยังไง วันเดียวเกิดอุบัติเหตุตั้งสามอย่างอย่างนี้ คุณว่ามันปกติเหรอ” คนเป็นภรรยาแย้ง แล้วก็เห็นว่าผู้เป็นสามีนิ่งเงียบไป ไม่แย้งออกมาแล้ว จึงเอ่ยต่อ “ไม่รู้ล่ะ ยังไงฉันก็ไม่วางใจอยู่ดี ฉันว่าพรุ่งนี้ฉันให้ตาชัยไปเชิญหมอดูคนนั้นมาที่บ้านดีกว่า เผื่อจะมีทางแก้ไข หรือกุนคิดเห็นว่ายังไงลูก”
คุณหญิงสิริหันหาชายหนุ่มเพื่อหาพวกในตอนท้าย ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นเพียงลูกของคนรับใช้ ทว่าเธอก็ไม่เคยเห็นเป็นคนอื่นคนไกลเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม กลับรักและเอ็นดูมากเป็นพิเศษ จนแทบจะรับเป็นลูกคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ มีแต่ชายหนุ่มตรงหน้าเท่านั้นที่นอบน้อมและถ่อมตัวมากเกินไปจนเธอปวดใจไปหมด แต่เพราะนิสัยอย่างนี้นี่แหละถึงทำให้เธอรักและเอ็นดูเรื่อยมา
“ผมว่าลองฟังดูก่อนก็ไม่เสียหายนะครับ เผื่อจะมีแนวทางป้องกันที่ดีได้” ชายหนุ่มตอบไปตามความคิด ไม่ให้ผิดใจทั้งสองคน
