บทที่ 9 แต่งงาน
เมื่อเดินเข้าไปในห้องปรุงยาซูเพ่ยเพ่ยก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องด้วยความสนใจ เดิมทีนางเคยเข้าใจว่าห้องปรุงยาจะเต็มไปด้วยโกร่งบดยา หม้อต้มสมุนไพร และกลิ่นสมุนไพรลอยตลบอบอวลอยู่จนเต็มห้อง แต่กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย ห้องปรุงยาแห่งนี้ทั้งสะอาดสะอ้านและมีอากาศถ่ายเทเป็นอย่างดี จวบจนสายตาของนางปะทะเข้ากับสีหน้าเย็นชาของหลี่เหวินหลางนางจึงพึ่งจะรู้สึกตัวว่ายามนี้ตนเองเข้ามาที่ห้องนี้ก็เพราะเขา
“ท่านมีเรื่องใดที่ต้องการจะพูดกับข้าหรือ” ซูเพ่ยเพ่ยเอ่ยถามพลางเดินตรงไปหาเขา
“ข้ามีข้อเสนอใหม่ให้เจ้า ทั้งเรื่องค่ารักษาและค่ากินอยู่เจ้าจะไม่ต้องกังวลอีกต่อไปหากเจ้ายอมแต่งงานกับข้า” คำพูดของหลี่เหวินหลางทำให้ซูเพ่ยเพ่ยนิ่งงันไป
“นี่ท่านกำลังขอข้าแต่งงานอยู่หรือ” คำถามของซูเพ่ยเพ่ยทำให้เขานิ่งงั้นไปครู่หนึ่งเช่นกันแต่แล้วเขาก็พยักหน้าพลางเอ่ยตอบนางด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“ใช่ ข้ากำลังขอให้เจ้าแต่งงานกับข้า” คำพูดของเขาทำให้ซูเพ่ยเพ่ยทำสีหน้าไม่ถูกอยากจะเขินอายแต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้นางไม่อาจจะเขินอายได้ ยามนี้นางไม่ได้รู้สึกขัดเขินและยินดีที่มีคนมาขอแต่งงานเลยสักนิด
“ขอโทษที่ต้องถามเช่นนี้ แต่ท่านคิดว่าตนเองชอบพอข้าจนถึงขั้นต้องการจะแต่งงานด้วย หรือว่าต้องการแต่งงานกับข้าเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องราวยุ่งยากกันแน่” คำถามของซูเพ่ยเพ่ยทำให้เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งแต่เมื่อได้เห็นร่องรอยความกังวลใจบนใบหน้าของนางเขาก็ทอดถอนใจออกมา
“ชอบพอเจ้ามากหรือไม่ข้าก็ยังตอบไม่ได้ แต่ในความรู้สึกของข้าเจ้าคือสตรีเพียงคนที่ข้าอยากใช้ชีวิตด้วย ข้าไม่ได้ช่วยเหลือผู้ป่วยที่เป็นสตรีแค่เพียงเจ้าเสียหน่อย แต่ที่ผ่านมาข้าก็ไม่เคยคิดอยากปกป้องช่วยเหลือพวกนางอย่างที่ข้าทำกับเจ้าเลยสักนิด ส่วนเรื่องหลีกเลี่ยงเรื่องราวยุ่งยากนั่นก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ก็อย่างที่เจ้าเห็นคนอย่างข้าหากไม่ยินยอมก็ไม่มีผู้ใดบังคับข้าได้” คำพูดของหลี่เหวินหลางทำให้ซูเพ่ยเพ่ยนิ่งงันไป
“หากเจ้าเป็นภรรยาของข้า ข้าขอรับรองว่าเจ้าจะมีกินมีใช้มิได้ขาด เรื่องเจ็บป่วยข้าย่อมต้องดูแลเจ้ามากกว่าผู้อื่นอยู่แล้ว และที่สำคัญหลังจากแต่งกับข้าแล้วตัวเจ้าเองก็จะหลุดพ้นจากถ้อยคำดูหมิ่นของผู้อื่น” คำพูดของหลี่เหวินหลางทำให้ซูเพ่ยเพ่ยนิ่งงันไป
‘ที่แท้เขาก็ได้ยินถ้อยคำดูหมิ่นและเสียดสีที่บรรดาสตรีภายนอกพูดกับเรา’ ซูเพ่ยเพ่ยคิดอยู่ในใจพลางจ้องมองใบหน้าของเขาอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนหน้านี้ยามที่นางติดตามหยวนซื่อไปข้างนอกไม่เพียงตกเป็นเป้าสายตาของผู้อื่นแต่ยังตกเป็นเป้านิ่งให้ผู้อื่นเอ่ยวาจาโจมตีอีกด้วย สตรีนางหนึ่งไปขออาศัยในบ้านของหนุ่มโสด หากเป็นหนุ่มโสดคนอื่นก็คงจะเป็นอะไร แต่นี่ดันเป็นหนุ่มโสดที่สตรีในแถบนี่ต่างหมายตา ทำให้นางไม่อาจจะหนีพ้นถ้อยคำเสียดสีและสายตาเกลียดชังจากบรรดาสตรีเหล่านั้น
‘รูปร่างหน้าตาก็ไม่เลว นิสัยใจคอก็ไม่แย่ ความสามารถเฉพาะตัวก็เพียงพอให้พึ่งพา หากวันหน้าไม่ดีขึ้นมาก็แค่ทิ้งเขาแล้วไปหาหนุ่มน้อยสักคนมาปลอบใจก็เป็นอันใช้ได้ จะคิดให้มากมายไปทำไม บ้านก็กลับไม่ได้แล้วอยู่ที่นี่ถ้าไม่พึ่งพาเขาก็คงยากที่จะตั้งตัวได้ ถ้าเช่นนั้นก็แต่งไปเถิดแล้วหาทางเก็บเงินเอาไว้ให้ได้มากๆ ถ้าวันหน้าได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจก็แค่ไปจากเขาก็พอแล้ว’ นี่คือความคิดของซูเพ่ยเพ่ยที่เป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง
ในโลกที่ซูเพ่ยเพ่ยจากมาเรื่องการแต่งงานสำหรับนางแล้วเป็นแค่สถานะที่เอาไว้แสดงต่อผู้คนในสังคมเท่านั้น อย่างเช่นพ่อและแม่ของนางที่ผู้คนภายนอกต่างชื่นชมในความรักและชีวิตคู่ของพวกเขา แต่แท้ที่จริงแล้วพวกเขาต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปคนละทาง ทิ้งเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้ให้ต้องดูแลตนเองเพียงลำพังกับพี่เลี้ยงในบ้านหลังใหญ่ คิดจะโอ้อวดความเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบเมื่อใดก็แค่มารับนางไปทำการแสดงต่อหน้าผู้อื่นเพียงเท่านั้น นี่คือสาเหตุที่ซูเพ่ยเพ่ยคิดว่าตนเองสามารถเป็นนักแสดงที่ดีได้ และยึดถืออาชีพนักแสดงเป็นอาชีพของตนเองมาตั้งแต่เด็ก
“ข้าไม่ใช่บุรุษเจ้าชู้หลายใจ หากคิดจะตกลงปลงใจกับผู้ใดข้าล้วนคิดคำนวณมาแล้ว แต่ถ้าหากเจ้าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่อาจจะตกลงได้ข้าก็จะไม่บีบบังคับ ต่อให้เจ้าไม่ตกลงแต่งงานกับข้า ข้าก็ไม่คิดจะขับไล่เจ้า วันหน้าเมื่อเจ้าคิดจะไปจากที่นี่ก็แค่ชดใช้ค่ารักษาและค่าอยู่กินตามที่พวกเราเคยตกลงกันเอาไว้ก็พอแล้ว” หลี่เหวินหลางเอ่ยออกมาเมื่อเห็นว่านางยืนนิ่งด้วยสีหน้าที่ดูสับสนอยู่บ้าง
“แต่งก็แต่งสิ มีบ้านให้อยู่ มีเงินให้ใช้ แถมยังมีสามีที่มีความสามารถในการรักษาอีก คนไร้ที่พักพิงเช่นข้ายังจะมีหน้าปฏิเสธท่านได้อีกหรือ” ซูเพ่ยเพ่ยเอ่ยออกมาหลังจากตัดสินใจได้แล้ว หลี่เหวินหลางสำรวจความรู้สึกบนใบหน้าของนางอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา
“เช่นนั้นก็เป็นอันตกลงกันตามนี้ ข้าจะบอกเรื่องนี้กับท่านแม่ของข้า เจ้าไม่ต้องกังวลว่าข้าจะไม่ให้เกียรติเจ้า งานแต่งของพวกเราไม่มีทางทำให้เจ้าต้องน้อยหน้าผู้อื่นเป็นแน่” หลี่เหวินหลางเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังซูเพ่ยเพ่ยก็รีบพยักหน้ารับในทันที
“ข้าเชื่อว่าท่านย่อมจะต้องไม่เอาเปรียบข้าอยู่แล้ว” ซูเพ่ยเพ่ยเอ่ยพลางยิ้มออกมา ยามนี้สิ่งที่นางกำลังคาดหวังอยู่ก็คือคนอย่างหลี่เหวินหลางย่อมต้องมอบสินสอดตามธรรมเนียมของที่นี่ให้นางเป็นแน่ แม้ว่านางจะไม่มีสินเจ้าสาวแต่เมื่อได้รับสินสอดของเขาแล้ว สินสอดเหล่านั้นก็ย่อมจะต้องกลายเป็นทรัพย์สินของนางในไม่ช้า
หลังจากตกลงกันได้แล้วคนทั้งคู่ก็เดินกลับไปที่โถงกลางของบ้าน ยามนี้แขกอย่างซ่งจือเหยากลับไปแล้วมีเพียงหยวนซื่อและโจวซือเยว่เพียงเท่านั้นที่กำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ เมื่อเห็นว่าหลี่เหวินหลางเดินเข้ามาหยวนซื่อก็เอ่ยถามเขาในทันที
“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ เหตุใดเจ้าจึงได้เอ่ยกับคุณหนูซ่งเช่นนั้น” เมื่อหยวนซื่อเอ่ยถามเช่นนี้หลี่เหวินหลางก็ส่งยิ้มให้แก่มารดา
“ก็แค่คุณหนูที่เอาแต่ใจมากคนหนึ่ง นางอยากแต่งให้ข้าแต่ข้าไม่ยอมแต่งนางก็เลยให้บิดาของนางมาพูดจาตกลงเรื่องแต่งงานกับข้า พอข้าไม่ตอบตกลงเขาก็บอกว่าต่อไปสกุลซ่งของพวกเขาพร้อมด้วยพันธมิตรทางด้านการค้าของพวกเขาจะไม่มีทางรับการรักษาจากข้าอีก ข้าก็เลยบอกกับพวกเขาว่า เช่นนั้นก็ดีเลยได้รักษาคนไข้น้อยลงข้าหรือจะไม่ยินดี” คำพูดของหลี่เหวินหลางทำให้หยวนซื่อทอดถอนใจออกมา บุตรชายของนางไม่เพียงไม่ยอมแต่งงานแถมยังสร้างศัตรูเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนแล้ว
“ท่านแม่ข้ากับเพ่ยเพ่ยตกลงกันแล้ว อีกไม่นานพวกเราจะแต่งงานกัน เรื่องนี้รบกวนท่านแม่ช่วยจัดการให้พวกข้าด้วย” เมื่อหลี่เหวินหลางเอ่ยเช่นนี้หยวนซื่อถึงกับตกตะลึงไป ส่วนโจวซือเยว่รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเอ่ยถ้อยคำแสดงความยินดีในทันที
“ขอแสดงความยินดีต่อท่านอาจารย์และอาจารย์หญิงด้วยขอรับ” คำพูดของเขาทำให้หยวนซื่อได้สติในที่สุด
“เจ้าไม่ได้ล้อแม่เล่นใช่ไหม พวกเจ้าจะแต่งงานกันจริงๆ หรือ” คำถามของนางทำให้หลี่เหวินหลางคลี่ยิ้มออกมา
“เรื่องเช่นนี้ข้าไม่กล้านำมาล้อเล่นหรอกขอรับ” คำพูดของเขาทำให้หยวนซื่อหันไปส่งสายตาถามซูเพ่ยเพ่ยในทันที ซึ่งนางก็พยักหน้าอย่างเขินอายให้แก่หยวนซื่อทำให้หยวนซื่อดีใจจนทำอันใดไม่ถูกในทันที
“แต่งงาน ลูกชายของข้ากำลังจะแต่งงานแล้ว” หยวนซื่อพึมพำออกมาด้วยสีหน้ายินดี ท่าทีของนางเรียกรอยยิ้มจากทุกคนในห้องรวมทั้งซูเพ่ยเพ่ย ว่าที่แม่สามีไม่ได้คิดรังเกียจนี่นับว่าเป็นเรื่องดีอีกเรื่องมิใช่หรือ
