บ้านใหญ่หวัง 2
"หรือจะให้พวกเราแจ้งทางการ นายที่ทำร้ายคนอื่นก็ต้องได้รับโทษของตัวเอง ส่วนหวังซินกับหวังฮุยก็ต้องถูกส่งตัวไปที่สถานกักกันเพื่อใช้แรงงาน ในเมื่อพ่อแม่สอนได้ไม่ดี ก็เหมาะสมแล้วที่จะส่งตัวไปให้ทหารดัดนิสัยเสีย ๆ ก่อนที่จิตใจจะชั่วร้ายตกต่ำไปมากกว่านี้"
หวังเต๋อ หวังหลิว และหวังฮุยสีหน้าซีดลงทันทีเมื่อได้ยินคำตัดสินเช่นนั้น ความหวังในใจของพวกเขาหมดลงไปในทันที คนบ้านใหญ่หวังถึงกับอ้าปากค้าง พวกเขาคิดไม่ถึงว่าการกระทำของตัวเองจะต้องเสียค่าปรับจำนวนมากเช่นนี้
"สองร้อยหยวน? ทำไมถึงต้องมากขนาดนี้? แค่ปลาตัวเดียวเท่านั้นเอง"
หัวหน้าหมู่บ้านหันไปมองหวังฮุยด้วยสายตาจริงจัง
"นายไม่ควรทำสิ่งที่ไม่ดีโดยไม่คิดถึงผลลัพธ์ที่ตามมา วันที่รังแกคนอื่นแล้วแย่งของไปได้ นายกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างมีความสุข หลังจากนี้ไปก็รับโทษที่นายก็ไปเถอะ"
เจียหนิงพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อความยุติธรรม แต่ยังเป็นการเตือนสติหวังฮุยให้รู้ว่า การทำผิดมีราคาที่ต้องจ่าย
"ตกลงจะเอายังไงหวังเต๋อ วันนี้พวกเราเสียเวลามากแล้ว ยังต้องไปทำงานที่คอมมูนต่อ ถ้านายไม่จ่ายเงินค่าปรับฉันจะให้คนไปแจ้งทางการมารับครอบครัวของนายไปที่สถานกักกัน"
"จ่าย! ฉันจะจ่าย แต่เรื่องทุกอย่างต้องจบ"
"แน่นอน แล้วนายก็ควรดูแล้วครอบครัวตัวเองให้ดี อย่าปล่อยให้ไประรานคนอื่น ไม่อย่างนั้นโทษครั้งที่สองย่อมหนักกว่าครั้งแรกเพราะไม่รู้จักหลาบจำ"
"รู้แล้ว อ่ะนี่ เอาไปสองร้อยหยวน อาหลิว อาฮุย กลับบ้าน"
หวังเต๋อจำต้องควักเงินสองร้อยหยวนออกมาจ่ายอย่างจำใจ ก่อนจะเรียกลูกชายและหลานรักเดินหน้าตั้งกลับบ้านของตัวเองไปทันที
"เก็บไว้ให้ดีนะเซียวเหริน ถ้ามีเรื่องอะไรก็บอกลุงกับผู้อาวุโสในหมู่บ้านได้ตลอด"
"ขอบคุณครับลุงจาง/ขอบคุณค่ะลุงจาง ขอบคุณผู้อาวุโสทุกท่านที่ช่วยออกหน้าด้วยนะคะ"
หวังเซียวเหรินกับภรรยาโค้งคำนับเพื่อเป็นการขอบคุณทุกคน จากนั้นชาวบ้านก็แยกย้ายกันกลับไปเตรียมตัวเพื่อจะไปทำงานที่คอมมูน
"ถ้าไม่มีอะไรแล้วลุงกลับเลยนะเซียวเหริน"
"สักครู่นะครับลุงจาง ผมมีเรื่องหนึ่งอยากจะปรึกษาครับ"
"ว่ามาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ"
"คือ..ผมกับเจียหนิงอยากจะรับอาโต้วเป็นลูกบุญธรรม เรื่องนี้ลุงช่วยทำเอกสารรับรองให้ผมได้ไหมครับ"
หัวหน้าหมู่บ้านจ้องมองลูกบ้านทั้งสองด้วยความแปลกใจ ยุคนี้ไม่มีใครอยากจะรับเลี้ยงใครเพราะข้าวปลาอาหารล้วนหายาก แต่พอเห็นแววตาที่มุ่งมั่นของทั้งคู่หัวหน้าจางจึงเรียกอาโต้วมาถาม หากอาโต้วมีคนดูแลก็นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเด็ก แต่ก็ต้องดูความสมัครใจของเด็กก่อน
"อาโต้วมานี่เร็วเข้า มาหาตาหน่อย"
อาโต้วที่ได้ยินคำพูดก่อนหน้าของเหรินเซียวก็พลันอุ่นซ่านในใจ
"ครับคุณตาจาง"
"เซียวเหรินอยากรับนายเป็นลูกบุญธรรม นายยินดีไหม? ถ้านายตอบตกลงก็คำนับพ่อกับแม่ของนายซะ จากนี้ไปหวังเซียวเหรินกับเจียหนิงก็คือพ่อแม่ของนาย"
"อึก ยินดีครับ ผมยินดี พ่อ แม่"
ภาพที่เด็กชายตัวน้อยคุกเข่าคำนับอยู่ตรงหน้าทำให้น้ำตาของเจียหนิงไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ พอหนูน้อยซูซูเห็นแบบนั้นก็รีบมานั่งคุกเข่าคำนับตามที่พี่ชายคนใหม่ของเธอพาทำ
"พอแล้วลูก ลุกขึ้นได้แล้ว เดี๋ยวเราไปเก็บของที่บ้านโน้นย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ด้วยกันนะ เมื่อเช้าแม่จัดห้องแล้วก็เตรียมเสื้อผ้าไว้ให้อาโต้วแล้ว รับรองว่าลูกต้องชอบแน่ ๆ"
"ครับ"
"จากนี้ไปก็ฝากทั้งสองดูแลเด็กคนนี้แล้วนะ ส่วนเรื่องเอกสารคืนนี้ลุงจะเตรียมไว้ให้ พรุ่งนี้เช้าก็เข้าไปรับแล้วเข้าไปที่สำนักงานทะเบียนได้เลย พอดีพวกเธอสองคนจะได้ไปจดทะเบียนสมรสกันอย่างถูกต้อง เวลาไปไหนมาไหนจะได้สะดวก"
"ขอบคุณครับลุงจาง/ขอบคุณค่ะลุงจาง/ขอบคุณครับคุณตาจาง/ขอบคุณค่าคุณตา"
"จ้า ๆ ตากลับก่อนนะเด็ก ๆ"
ทั้งสี่คนยืนมองทุกคนจากไปจนสุดสายตา บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นมากจากเมื่อครู่
"สุดท้ายเราก็ได้พูดความจริง"
เซียวเหรินกล่าวด้วยรอยยิ้ม สองวันที่ผ่านมาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขากังวลใจมากแค่ไหน
"มันเป็นเรื่องดีที่คนอื่นได้เห็นความร้ายกาจของพวกเขา ฉันหวังว่าพวกเขาจะได้เรียนรู้จากความผิดพลาดนี้ และไม่มายุ่งเกี่ยวกับพวกเราอีก"
"แม่เจียหนิง เราจะทำอาหารอร่อย ๆ อีกครั้งไหม?"
เสียงน้อย ๆ เอ่ยขึ้นอย่างสดใส
"แน่นอน! เย็นนี้แม่จะทำอาหารอร่อย ๆ ให้ทุกคนกินเพื่อฉลองต้อนรับลูกชายคนใหม่ แต่ตอนนี้เรารีบไปขนของช่วยพี่ชายลูกกันเถอะ เสร็จแล้วจะได้มากินข้าวเช้า เรายังต้องเข้าไปเก็บผักป่าอีกนะ"
"วันนี้พี่จะเข้าป่าด้วยนะ พี่จะไปตัดไม้ไผ่มาทำไซดักปลาอันใหม่ให้"
"พี่รอที่บ้านไม่ดีกว่าเหรอคะ เดี๋ยวฉันกับลูก ๆ จะตัดมาให้เอง"
คำพูดของเจียหนิงทำให้สีหน้าของเซียวเหรินดูหม่นลง
"ขอโทษนะที่พี่ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ จนทำให้ทุกคนต้องลำบากไปด้วย"
พอเจียหนิงได้ยินแบบนั้นเธอจึงจับมือของเขาเอาไว้ พร้อมกับปลอบโยนให้เขาสบายใจขึ้น เธอไม่ได้รังเกียจเขาเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำครอบครัวนี้ยังทำให้เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นที่เธอโหยหา
"พี่อย่าคิดแบบนั้น อีกไม่กี่ปีข้างหน้าการแพทย์ก็จะก้าวหน้าขึ้นมาก ถึงตอนนั้นฉันจะเก็บเงินซักก้อนแล้วพาพี่ไปรักษา รับรองว่าพี่จะต้องกลับมามองเห็นอีกครั้ง"
"อาหนิงปลอบใจคนเก่งจริง ๆ"
"พี่ต้องมีความหวัง อย่าอยู่แบบสิ้นหวังสิคะ เรายังมีลูก ๆ ตั้ง 2 คนที่ยังต้องเลี้ยงดูนะ"
พรึบ
ร่างของเจียหนิงถูกเซียวเหรินดึงเข้าไปกอด นอกจากแม่ก็มีเพียงเธอที่ให้กำลังใจเขา
"พี่ขอกอดเธอเพื่อเติมพลังหน่อยนะ"
"ได้เลย ฉันจะเป็นสถานีเติมพลังให้กับทุกคนในบ้าน ถ้าใครรู้สึกว่าพลังงานเหลือน้อยก็มาเติมพลังได้ตลอดเวลาเลยนะ"
"หู้ว..กอดด้วย ซูซูกอดด้วยพ่อจ๋า พี่ชายมากอดเติมพลังเร็วเข้า"
เซียวเหรินกับเจียหนิงรีบหันไปตามเสียง ก่อนจะอ้าแขนรับลูกน้อยทั้งสองเข้าสู่อ้อมกอด
หลังจากเก็บเสื้อผ้าข้าวของของอาโต้วมาทั้งหมดแล้ว เจียหนิงก็พาลูกชายคนใหม่ไปดูห้องนอนที่เธอเตรียมไว้ให้ มีที่นอน ผ้าห่มและเสื้อผ้าของใช้บางอย่างที่เธอนำออกมาจากมิติ อาโต้วพอได้เห็นห้องของตัวเองก็ดีใจมากและขอบคุณแม่เจียหนิงของเขาไม่หยุดปาก
จากนั้นเจียหนิงก็พาเด็ก ๆ ไปเก็บผักป่าและตัดไม้ไผ่ลงมาหลายลำ ระหว่างที่สามีกับลูก ๆ กำลังนำผักป่าไปส่งที่คอมมูนเธอก็เริ่มเตรียมอาหารมื้อเย็นมื้อใหญ่ เพื่อฉลองต้อนรับอาโต้วเขามาเป็นสมาชิกในครอบครัว
"มีปลาช่อนหลายตัวเลย ทำอะไรดีน๊าที่เด็ก ๆ ชอบกิน"
ยืนคิดอยู่ไม่นานเจียหนิงก็ตัดสินใจจะทำปลาช่อนต้มเผือก เพราะมีหัวเผือกที่เก็บมาจากในป่าเหลืออยู่หลายหัว อีกอย่างหนึ่งที่เธอมั่นใจว่าเด็ก ๆ ต้องชอบก็คือปลาทอดราดซอสเปรี้ยวหวาน
ปลาตัวใหญ่ที่เธอขังไว้ถูกนำมาขอดเกล็ดแล้วหั่นเป็นชิ้นเอาแต่เนื้อ ขณะที่เจียหนิงจะตักน้ำมาล้างปลา ปรากฏว่าน้ำในอ่างดันหมดเสียได้ แต่เธอไม่อยากทิ้งอาหารไว้แบบนี้จึงตัดสินใจเอาน้ำในลำธารที่อยู่ในมิติออกมาเติมเพื่อความสะดวก
ระหว่างที่เธอทอดปลาอยู่เธอก็เตรียมทำซอสเปรี้ยวหวาน พร้อมกับต้มน้ำแกงและหุงข้าวไปพร้อมกัน โชคดีที่ในชนบทสามารถหาหินก้อนใหญ่มาทำเป็นเตาไปได้หลายเตา ทั้งยังมีฟืนให้ใช้มากมาย
พอสามคนพ่อลูกกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบ 5 โมงเย็นแล้ว เจียหนิงจึงให้ทุกคนไปอาบน้ำก่อนที่ความมืดจะมาเยือน ถึงตอนนั้นอากาศจะเย็นลงและอาจจะทำให้ไม่สบายได้
ฟืด ฟืด
"หอมจังเลยแม่เจียหนิง วันนี้ทำอะไรให้ซูซูกินน๊า"
พออาบน้ำเสร็จเด็กหญิงตัวน้อยก็รีบเดินมาออดอ้อนมารดาอย่างน่ารักน่าเอ็นดู
"มีปลาต้มเผือก กับปลาทอดเปรี้ยวหวานจ้ะ แล้วพี่ชายของลูกล่ะ"
"พี่ชายกำลังพาพ่อมาโน้นแล้วค่ะ ซูซูช่วยแม่ตั้งโต๊ะนะคะ"
"เด็กดี งั้นเอาถ้วยช้อนแล้วก็ตะเกียบไปวางไว้ให้ทุกคนให้ครบนะลูก"
"ได้เลยค่า แต่แม่เจียหนิงไปซื้อช้อนมาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอคะ ซูซูจำได้ว่าบ้านเราไม่มีช้อนแล้วนะ"
หนูน้อยเอ่ยถามอย่างใสซื่อ มือเล็ก ๆ ก็ช่วยมารดาจัดวางถ้วย ช้อนและตะเกียบไปด้วย
"แม่เอาติดตัวมาด้วยจ้ะ มากันครบแล้วงั้นลงมือกินข้าวได้เลยนะ"
ทุกครั้งก่อนจะกินข้างเจียหนิงจะจับมือสามีมาสัมผัสดูสิ่งของที่อยู่ตรงหน้าทุกอย่าง อยู่ด้วยกันมาหลายวันเธอพอจะรู้แล้วว่าเซียวเหรินเป็นคนที่ค่อนข้างทะนงตน เขาไม่ต้องการให้ใครมาสงสารเขา และพยายามที่จะใช้ชีวิตโดยไม่เป็นภาระของคนอื่น
"ปลาต้มเผือกอร่อยมาก"
เซียวเหรินเอ่ยชมภรรยา ปลาที่เขากัดกินทุกชิ้นไม่เหลือก้างปลาให้เป็นกังวลใจเลยแม้แต่น้อย ดูก็รู้ว่าคนทำใส่ใจขนาดไหนว่าในบ้านมีแต่เด็กกับคนที่มีปัญหาด้านการมองเห็น
"ซูซูชอบปลาเปรี้ยวหวานม๊ากมาก วันหลังถ้าจับปลาได้แม่เจียหนิงทำให้ซูซูกินอีกนะคะ เดี๋ยวซูซูจะเป็นลูกมือให้เอง"
ปากเล็ก ๆ ช่างฉอเลาะจนคนฟังใจอ่อนยวบ
"ได้เลย ว่าแต่อาโต้วชอบไหมลูก"
"ชอบครับ กับข้าวฝีมือแม่เจียหนิงอร่อยทุกอย่างเลย ผมกับน้องโชคดีที่สุดที่ได้เป็นลูกแม่"
"เด็กดี อร่อยก็กินเยอะ ๆ ยังมีข้าวให้เติมอีกเยอะเลยนะ"
"ครับ/ค่า"
หวังเซียวเหรินนั่งกินข้าวไปเงียบ ๆ ในหัวของเขามีเรื่องมากมายที่เกิดความสงสัยถึงเรื่องเสบียงอาหารในบ้าน แต่ถ้าภรรยาบอกว่าเสบียงเหล่านั้นเธอนำมาจากบ้านเดิมก็พอจะเข้าใจได้
หลังจากจบมื้ออาหารทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน เจียหนิงเป็นคนสุดท้ายที่อาบน้ำเธอจึงแอบเข้าไปอาบในมิติเพราะนอกบ้านเริ่มมืดจนอันตรายเกินไปแล้ว คืนนี้เป็นคืนแรกที่เธอจะได้นอนเตียงเดียวกับสามี มันทำให้เธอตื่นเต้นไม่น้อย
